“คุณหนู” เสี่ยวอวี่ได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา
ซูิเยว่เองก็ชะงักไปครู่หนึ่ง หลันจาวอี้ไม่ให้พาไปแม้แต่สาวใช้
“ก็ได้” ซูิเยว่พูดปลอบเสี่ยวอวี่เสียงเบา “เช่นนั้นเ้ารอข้าที่จวนก็แล้วกัน”
“แต่ว่าคุณหนู....”
“ข้าไม่เป็อะไรหรอก” ซูิเยว่พูดแล้วมองสตรีคนนั้น “เมอเมอ ขอข้าคุยกับสาวใช้สักครู่ได้หรือไม่?”
สตรีคนนั้นมองซูิเยว่ แต่ไม่ได้พูดอะไร นางเพียงแค่พยักหน้า
หลังจากได้รับอนุญาต ซูิเยว่ก็ยื่นหน้าไปใกล้เสี่ยวอวี่ นางพูดเสียงเบาโดยให้พวกนางได้ยินกันแค่สองคน “หากหลังจากสองชั่วยามนี้ข้ายังไม่กลับมา เ้าก็ไปหาป้ายที่มีตัวอักษรสลักเอาไว้ใต้หมอนในห้องของข้า เอาสิ่งนี้ไปที่จวนองค์ชายสามแล้วอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟัง”
เสี่ยวอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง นางมองซูิเยว่อย่างตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าหนักแน่น “รับทราบเ้าค่ะ คุณหนูวางใจได้เลย”
“เรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ เมอเมอ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด”
นางมองมาด้วยสายตาพิจารณาและสงสัยซูิเยว่อยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่านางบอกอะไรกับสาวใช้กัน แต่ก็ไม่นับว่าเป็ปัญหาแต่อย่างใด นางจึงหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
หน้าประตูจวนสกุลซูมีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ ดูจากรูปทรงแล้วไม่ใช่จากในจวน แต่คงจะเป็รถม้าจากในวัง
เมอเมอคนนั้นเปิดผ้าม่านขึ้นไปบนรถม้าก่อน ซูิเยว่ก็รีบตามหลังไป
ตลอดทางทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน ซูิเยว่พิงกำแพงรถแล้วหลับตาลง ดูเหมือนกำลังพักผ่อน ความจริงแล้วในใจกำลังวางแผนว่าอีกเดี๋ยวเข้าวังไปแล้วจะรับมือหลันจาวอี้อย่างไร
หลันจาวอี้คนนี้จะต้องมาขัดขวางตำแหน่งของหลินโม่บิดาของนางแน่ ไม่มีทางที่นางจะทำอะไรอย่างเปิดเผย แต่ก็ควรจะป้องกันไว้ก่อน ดังนั้นเพื่อป้องกันเื่ที่ไม่คาดคิด เมื่อครู่นางถึงได้สั่งเสี่ยวอวี่เอาไว้ หากมีเื่อะไรเกิดขึ้นก็ให้ไปหาจี๋โม่หาน
พอคิดถึงเื่นี้ซูิเยว่ก็รู้สึกตลกเล็กน้อย ในเวลาแบบนี้คนที่จะช่วยนางได้กลับมีแค่จี๋โม่หานเท่านั้น
รถม้าส่ายไปมา หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดที่หน้าประตูวัง
ในวังหลวงมีกฎว่ารถม้ามาได้ถึงตรงนี้เท่านั้นโดยไม่มีข้อยกเว้น
ซูิเยว่กับเมอเมอคนนั้นลงจากรถม้าตามกันมา จากนั้นเมอเมอก็นำทางไปที่ตำหนักจิ่นเหอ
จากตรงนี้ไปถึงตำหนักจิ่นเหอใช้ระยะทางพอสมควร ทั้งสองใช้เวลาเดินอีกสิบห้านาทีก็มาถึงตำหนัก
ตำแหน่งของตำหนักจิ่นเหอในวังหลังถือว่าค่อนข้างไกลมาก ตลอดทางก็ไม่ได้เจอใครเลย จะเจอก็แค่นางกำนัลไม่กี่คน
ตอนนี้เป็เวลากลางวันภายในตำหนักจึงค่อนข้างเงียบมาก ซูิเยว่เดินตามหลังเมอเมอมา เพิ่งจะพ้นเข้าประตูใหญ่ก็ได้ยินเสียงร้องไห้กับเสียงกรี๊ดของสตรีคนหนึ่งดังขาดๆ หายๆ ออกมา
ต่อมาซูิเยว่ก็เห็นประตูตำหนักที่อยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าเปิดอยู่ นางกำนัลหลายคนต่างออกมาจากด้านในอย่างตื่นตระหนก
ซูิเยว่มองอยู่ไม่นานก็ดึงสายตากลับมา เสียงสตรีที่ได้ยินเมื่อครู่ ถ้านางฟังไม่ผิดคงจะเป็เสียงขององค์หญิงสี
เมอเมอคนนั้นพาซูิเยว่ตรงไปในตำหนักหลักของตำหนักจิ่นเหอ ปากประตูมีสาวใช้สองคนเฝ้าอยู่
แม่นมผลักประตูเดินเข้าไป หลังจากเข้าประตูตำหนักไปแล้ว ภายในก็เงียบสนิท ที่คานแขวนม่านเอาไว้มากมายห้อยลงมาเป็ชั้นๆ ด้านหลังม่านตรงตำแหน่งประธานสามารถมองเห็นเงาคนรางๆ
เมอเมอเดินตรงไปด้านหน้าสองก้าวแล้วโค้งตัวกล่าว “จาวอี้ พาตัวมาแล้วเพคะ”
ใบหน้าซูิเยว่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร ทว่าั้แ่เข้าประตูตำหนักมา นางก็เริ่มระวังตัวขึ้นมา
นางเดินไปด้านหน้าสองก้าวแล้วพูดกับเงาคนที่อยู่ด้านหลังม่านกั้นนั้น “หม่อมฉันซูิเยว่ถวายบังคมเพคะ จาวอี้”
คนที่อยู่ด้านหลังม่านไม่ได้พูด ซูิเยว่เองก็ยังคงโค้งตัวอยู่ไม่ได้ขยับ
หลังจากผ่านไปได้สักพัก เสียงสตรีที่อยู่ด้านหลังม่านถึงได้เอ่ยออกมา “ลุกขึ้นเถิด”
เสียงราบเรียบฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธ แต่ฟังดีๆ แล้ว ซูิเยว่ก็ฟังออกว่าเป็เสียงพูดลอดไรฟัน
“ขอบพระทัยเพคะ จาวอี้”
สตรีที่อยู่ด้านหลังม่านก็พูดต่อ “เย่หรง ให้นางเข้ามา”
เย่หรงคงจะเป็เมอเมอที่พานางเข้าวังมา พอได้ยินเสียงตอบรับแล้ว จากนั้นก็เปิดม่านขึ้น
“คุณหนูซู เชิญ”
ซูิเยว่ไม่ได้พูดอะไร หลังจากเข้ามาแล้ว นางถึงได้เห็นสตรีที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานชัด
นางสวมชุดสีฟ้าอ่อนหรูหรา บนศีรษะปักด้วยปิ่นมุก ดูจากหน้าตาแล้วคงจะอายุสามสิบกว่า ถือว่าบำรุงดูแลผิวพรรณได้ไม่เลวเลย นางกำลังนั่งขัดสมาธิตรงนั้น ท่าทางดูมีอำนาจ
นี่ก็คือหลันหลินหรือหลันจาวอี้ มารดาขององค์หญิงสี
ซูิเยว่มองนางอย่างพิจารณา ในขณะเดียวกันหลันหลินคนนั้นเองก็พิจารณาซูิเยว่เช่นกัน
สายตาของหลันหลินหรี่ลงเล็กน้อย ซูิเยว่คนนี้แต่ก่อนนางแค่เคยได้ยินชื่อมาบ้าง เป็บุตรีของหลินโม่สกุลซู ตอนนี้เพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็ครั้งแรก
หลันหลินมองพิจารณาเสร็จแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้มีท่าทางโมโหแต่อย่างใด นางเพียงแค่พูดเสียงเรียบ “นั่งเถิด”
ท่าทีเช่นนี้กลับทำให้ซูิเยว่รู้สึกไม่เห็นเงาหัวตัวเอง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่นางก็ยังนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง “ขอบพระทัยจาวอี้เพคะ”
หลันหลินก็สั่งเย่หรงที่อยู่ด้านนอกอีก “เอาชามาให้คุณหนูซู”
เพียงไม่นานเย่หรงก็ยกชาเข้ามาวางด้านข้างซูิเยว่ นางมองทีหนึ่งแต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะยกขึ้นมาดื่ม อย่างไรนางก็ยังไม่เข้าใจความคิดของหลันหลิน ใครจะรู้ว่าในน้ำชานี้จะใส่อะไรลงไปบ้าง
นางนั่งอยู่เช่นนี้ครู่หนึ่ง หลันหลินเองก็ไม่ได้มองนางแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ยิ่งทำให้ซูิเยว่อยากจะรู้ความคิดของอีกฝ่าย
หากหลันหลินเป็คนที่เก็บความโกรธเอาไว้ในใจลึกจริงๆ เช่นนั้นนางก็เป็คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก ไม่สมกับที่อยู่ในวังมาหลายปีแต่ยังเป็แค่จาวอี้
ในเมื่อศัตรูไม่ขยับ เช่นนั้นก็ทำได้แค่เริ่มเคลื่อนไหวก่อนแล้ว ซูิเยว่ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปาก “ไม่ทราบว่าหลันจาวอวี้เรียกหม่อมฉันเข้าวังในวันนี้มีเื่อะไรหรือเพคะ?”
หลันหลินวางแก้วชาลง ในที่สุดก็มองซูิเยว่ นางยังไม่บอกเป้าหมายที่เรียกซูิเยว่มาในวันนี้ แต่กลับถามออกมาก่อน “ไม่ทราบว่าหลินโม่จวนสกุลซู่นี้เป็อย่างไรบ้าง?”
ซูิเยว่ชะงักพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังพูดเื่ของนางไม่ใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงได้พูดถึงบิดาของนาง ซูิเยว่ครุ่นคิดก่อนจะตอบ “ท่านพ่อสบายดีมากเพคะ ทำให้จาวอี้ต้องมากังวลแล้ว”
หลันหลินก็ถามอีก “เช่นนั้นที่เปิ่นกงเรียกคุณหนูซูเข้าวังมา ไม่ทราบว่าใต้เท้าสกุลซูรู้หรือไม่?”
ซูิเยว่ส่ายหน้า “่นี้ท่านพ่องานยุ่ง อยู่แต่ในห้องตำราตลอด ข้าจึงไม่ได้บอกเขาเพคะ”
หลันหลินฟังจบแล้วถึงได้พยักหน้า บนใบหน้ามีสีหน้าครุ่นคิด
ตอนนี้ซูิเยว่เองก็พิจารณาจนมองขาดแล้ว หลันหลินคนนี้ไม่ยอมเอ่ยปากสักที แต่กลับทดสอบนางสองประโยค ที่แท้ก็เพื่อจะถามนางว่าได้บอกเื่นี้กับท่านพ่อหรือไม่ ถึงว่าเมื่อครู่ไม่ยอมเคลื่อนไหวอะไร
“ได้ยินมาว่าเมื่อวานคุณหนูซูกับบุตรสาวของข้ามีเื่กันนอกวัง มันเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือ?”
น้ำเสียงของหลันหลินเย็นเยียบเล็กน้อยเมื่อได้ยินซูิเยว่บอกแล้วว่าหลินโม่ไม่รู้เื่นี้ นางก็เริ่มไร้ความกังวลขึ้นมา สายตาจ้องซูิเยว่อย่างเปิดเผย ทั้งยังแฝงไปด้วยเจตนาไม่ดีอีกด้วย