Chapter 3
‘ร้านข้าวราดแกงป้าติ๋ม’
คนตัวเล็กยืนมองป้ายชื่อร้านที่ติดอยู่บนผนังขณะต่อแถวรอสั่งข้าว ก่อนจะละสายตาจากป้ายนั้นเมื่อได้ยินเสียงของป้าติ๋มเ้าของร้านที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็มิตร ใกล้ส่งยิ้มให้ป้าติ๋มที่ยืนถือจานข้าว แม้เ้าตัวจะรู้ว่าเมนูโปรดของเขาคืออะไร แต่ป้าติ๋มยังคงรอคำตอบจากเขาทุกครั้ง
ป้าติ๋มคงคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนเมนูบ้าง
แต่ใกล้ไม่เคยเปลี่ยนเมนูเลย
กินเมนูนี้มาเป็เดือนแล้ว
“เอาเหมือนเดิมเลยนะลูก?”
“ครับป้า”
“รอป้าแป๊บนะ”
“ครับ”
ระหว่างที่รอป้าติ๋มตักของโปรดใส่จานข้าวให้อยู่นั้น ใกล้กวาดสายตาไปโดยรอบเพื่อดูว่ามีร้านไหนเปิดในตอนเช้าอีก ทว่ามีเพียงแค่ร้านป้าติ๋มและร้านขายน้ำเท่านั้น โดยส่วนมากร้านขายอาหารจะมาเปิดใน่เที่ยง ซึ่งเป็เวลาพักของนักศึกษาเกือบทุกคณะ ดังนั้นั้แ่่เที่ยงเป็ต้นไป จะมีร้านอาหารให้เลือกเยอะกว่า และภายในโรงอาหารจะเต็มไปด้วยผู้คน
แต่ไม่ว่าจะมีอีกกี่ร้านให้เลือก ไม่ว่าจะเป็ตอนหกโมงเช้าหรือเที่ยงวัน ใกล้ก็ยังเลือกกินข้าวร้านป้าติ๋มอยู่ดี เพราะถ้าเขาเจออะไรที่ถูกใจแล้ว ใกล้จะไม่ค่อยเปลี่ยนใจไปจากสิ่งนั้น
นอกจากป้าติ๋มจะปิดร้านไป
เขาก็ต้องตัดใจ…
“ได้แล้วจ้ะ ข้าวไก่ทอดกับไข่ดาวสุกๆ”
“ขอบคุณครับป้า” ใกล้พูดพร้อมยื่นเงินจำนวนพอดีกับค่าข้าวให้ป้าติ๋ม เขารับจานที่มีไก่ทอดที่หั่นเป็ชิ้นพอดีคำกับไข่ดาววางอยู่บนข้าวสวยร้อนๆ มา
“น้ำจิ้มไก่อยู่ตรงที่วางช้อนนะลูก”
“ครับป้า”
ใกล้ตอบแล้ววางจานลงตรงบริเวณที่มีโถน้ำจิ้มวางอยู่ ในขณะที่เขากำลังตักน้ำจิ้มไก่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง ใกล้หันไปมองถึงได้รู้ว่าเป็เพื่อนสนิทของตัวเอง
“กันต์จะกินอะไร เดี๋ยวเราสั่งให้ไหม?”
“มึงกินอะไรอะ?” คนที่ตัวสูงเท่ากันยื่นหน้าไปมองจานข้าวของเขาแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนเอ่ย “ไม่เอาแบบมึงอะ กูไม่ชอบกินกับข้าวแห้งๆ”
ใกล้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่หม้อต้มขนาดใหญ่ในร้านป้าติ๋ม “วันนี้มีต้มจืดด้วยนะ”
“งั้นกูกินต้มจืดดีกว่า”
“โอเค เดี๋ยวเราสั่งให้นะ”
“ไม่ต้องๆ มึงไปหาที่นั่งเถอะ เดี๋ยวกูสั่งเอง”
ใกล้พยักหน้ารับ เขาเดินไปนั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ร้านป้าติ๋ม เมื่อใกล้วางจานข้าวและกระเป๋าเสร็จแล้วจึงไปซื้อน้ำ เขาซื้อน้ำเปล่ามาสองขวดเพราะเผื่อกันต์ด้วย
“ค่าน้ำเท่าไหร่ใกล้?”
“ไม่ต้อง เราเลี้ยงเอง”
“ไม่เอา เท่าไหร่บอกมาเลย”
“สองบาท” ใกล้พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อกับอีกฝ่าย กันต์จ้องเขม็งใส่เขาแล้วส่งมือมาผลักศีรษะเบาๆ “แค่นี้เอง ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“ไม่คิดมากได้ไง เงินที่กูยืมมึงไปเมื่อเดือนที่แล้วยังไม่ได้คืนเลย”
“เดี๋ยวนี้กันต์เองเพื่อนใกล้เป็คนคิดมากไปแล้วเหรอเนี่ย?”
กันต์หัวเราะเบาๆ เ้าตัวก้มหน้ามองจานข้าว ก่อนเอ่ย “ไว้เดี๋ยวเงินเดือนกูออก กูจะรีบเอามาคืนมึงนะ”
“กันต์…” ใกล้ถอนหายใจเบาๆ เขาเคลื่อนมือไปดึงจานข้าวออกห่างจากเพื่อนสนิท กันต์ที่กำลังโดนแย่งมื้อเช้าเงยหน้ามองเขาแล้วดึงจานกลับไปทันที “เราไม่ได้จะแย่งข้าวของกันต์หรอก แต่เราจะจับผิดคนที่กำลังหลบสายตาอยู่…ว่าแอบรู้สึกผิดใช่ไหม?”
“มันเลยกำหนดที่กูนัดคืนมึงมาหลายวันแล้วไง กูเกรงใจมึง”
“คบกันมาตั้งนานแล้ว กันต์น่าจะรู้ว่าเราไม่คิดมากเื่นี้”
“เพราะกูรู้ไงว่ามึงเป็คนยังไง กูถึงเกรงใจมึงมากขนาดนี้”
“เงินที่กันต์ยืมเราไป…กันต์เอาไปทำอะไรน่ะ?” ใกล้รู้ดีว่าเพื่อนสนิทยืมเงินเขาไปทำอะไร เพราะเพื่อนบอกเหตุผลั้แ่แรกแล้ว
กันต์ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองเขา “กูก็เอาไปจ่ายค่ายาแม่อย่างที่บอกมึงไง”
“เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องรู้สึกผิดกับเรา ไม่ต้องเกรงใจเราด้วย”
“…”
“แล้วก็เลิกทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อรีบหาเงินมาคืนเราได้แล้ว…ถ้ากันต์ป่วยไปอีกคน ใครจะดูแลแม่ล่ะ”
“…”
“เงินสองหมื่นมันไม่น้อย…ไม่ว่าจะสำหรับเราหรือใคร”
“…”
“…และเพราะมันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เราเลยรู้ว่ากันต์ต้องใช้เวลามากกว่านี้ที่จะหาเงินมาคืนเรา” ใกล้ส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนเอ่ย “กันต์เคยบอกเราว่า…กันต์จะเป็เพื่อนเราตลอดไป”
“ใช่ ตอนนี้กูก็ยังจะบอกมึงแบบนั้น”
“ต่อให้ตอนนี้เราไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท…เราก็ยังคิดว่าประโยคคำพูดนี้มีค่ามากกว่าเงินทุกจำนวนบนโลก”
“…”
“ขอบคุณมากนะใกล้…มึงคอยช่วยกูตลอดเลย”
“ถ้าไม่มีกันต์…เราก็แย่เหมือนกัน”
ใกล้คิดว่าเราสองคนรู้ดีว่าเพื่อนไม่ได้สำคัญแค่ตอนที่เรา้าความช่วยเหลือ แต่เพื่อนจะเป็คนสำคัญของเราในทุก่เวลา
เพื่อนแท้ไม่ใช่คนที่ช่วยเราได้ทุกเื่…ไม่ใช่คนที่อยู่กับเราตลอดเวลา
แต่เพื่อนแท้คือคนที่พร้อมจะให้โอกาสและให้อภัยกันเสมอ
“มึงพูดซึ้งซะจนกูกินข้าวไม่ได้เลย”
“ทำไมกินข้าวไม่ได้ล่ะ?”
“อิ่มไปหมด อิ่มอกอิ่มใจที่มีเพื่อนดีๆ แบบมึง”
ใกล้หัวเราะ ก่อนเอ่ย “อิ่มยังไงก็ต้องกินนะ เพราะถ้าไปนั่งท้องร้องในคลาสเรียน เราช่วยกันต์ไม่ได้นะ”
“มึงเป็คนน่ารักมากๆ เลย รู้ตัวไหม?”
“เปลี่ยนจากน่ารักเป็หล่อได้ไหม? อยากหล่อกับเขาบ้าง”
“กูว่า…คำว่าน่ารักเหมาะกับมึงมากกว่า”
ใกล้อมยิ้ม ก่อนจะตักข้าวใส่ปาก เขาตักไก่ทอดแบ่งให้เพื่อนสนิท กันต์ส่งยิ้มกลับมาให้เขา แววตาที่ฉายความเป็กังวลในตอนแรกหายไปแล้ว ใกล้รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่สามารถพูดให้เพื่อนคลายความเป็กังวลได้ แม้รู้ว่ากันต์ยังมีเื่ให้ไม่สบายใจอีกมากมาย แต่อย่างน้อยๆ ตอนอยู่กับเขา ขอให้คนดีๆ ที่แสนกตัญญูอย่างกันต์ได้พักหายใจสักพักเถอะ ให้เพื่อนได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกจากอกสักเสี้ยววินาทีก็ยังดี
“เอาไก่อีกไหมกันต์?”
“ไม่เอาแล้ว มึงกินเถอะ”
ใกล้พยักหน้ารับแล้วใช้ปากงับไก่ทอด ยังไม่ทันเคี้ยวไก่หมด เขาก็ยัดข้าวใส่ปากไปอีก ตอนนี้ใกล้เคี้ยวตุ้ยๆ โดยไม่สนใจเสียงหัวเราะของกันต์เลย
“ปากก็มีอยู่แค่นั้น มึงจะยัดไก่กับข้าวเข้าไปเยอะขนาดนั้นไม่ได้”
เขายังคงเคี้ยวอาหารในปากต่อแล้วยกข้อมือข้างที่สวมนาฬิกาขึ้นมาโชว์เพื่อนสนิทเป็เชิงบอกว่าใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว ถ้าไม่รีบกินข้าว มีหวังได้เข้าเรียนสายแน่ๆ ทว่าใกล้ไม่คิดว่าการที่เขามองกันต์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะทำให้เห็นใครบางคนที่เพิ่งเข้ามาในโรงอาหาร
คนเคยคุ้นเคย…
คงเป็เพราะเขานั่งหันไปทางประตูทางเข้าพอดี การเห็นคนที่เข้ามาภายในโรงอาหารจึงไม่ใช่เื่แปลก พี่ชินที่ไม่เห็นมานานหลายเดือนเดินผ่านโต๊ะของพวกเราไปอย่างรวดเร็ว ใกล้คิดว่าพี่ชินไม่เห็นเราสองคนหรอก
เพราะถ้าพี่ชินเห็น…พี่ชินคงเดินออกไปจากที่นี่แล้ว
“ใกล้…มึงมองอะไรอะ?”
ใกล้ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่กันต์ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายไม่เชื่อ เ้าตัวหันไปมองด้านหลัง ถึงได้เห็นพี่ชินกำลังซื้อข้าวอยู่ที่ร้านป้าติ๋ม ใกล้มองคนตัวสูงหน้าตาดีสักพักก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ
ใกล้ไม่ได้มองด้วยความรู้สึกแบบนั้นแล้ว
แต่เขามองด้วยความรู้สึกว่า…
ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ
พี่ชินสบายดีใช่ไหมครับ?
แค่ในฐานะพี่น้องเท่านั้น
เพราะใกล้ไม่ได้เจอพี่ชินมานานแล้ว การได้เจอพี่ชินโดยบังเอิญจึงทำให้หวนนึกถึงเื่ราวในอดีตอีกครั้ง…
‘เมื่อวานนั่งดูกัปตันทีมซ้อมบาส เป็ไงบ้างล่ะ?’
ใกล้หันมองเ้าของเสียงที่กำลังช่วยเขายกคูลเลอร์ที่ใส่น้ำเย็นไปวางที่ข้างสนาม ก่อนเอ่ย ‘พี่เขาเก่งสมกับตำแหน่งกัปตันทีมเลย’
‘ถึงจะตอบไม่ค่อยตรงคำถาม แต่อาการพูดไปยิ้มไปแบบนี้…กูพอจะเดาได้ว่าเมื่อวานมึงมีความสุขมาก’
‘…จะมีใครรู้ใจเรามากกว่ากันต์อีกไหนนะ?’
‘กูเชื่อว่าไม่มีแล้ว…แต่จะว่าไปก็มีอีกคนนะ’
‘พี่เจี๊ยบใช่ไหม?’
กันต์หัวเราะที่เรารู้ทันกัน ก่อนเอ่ย ‘ใช่…พี่เจี๊ยบเป็คนที่รู้ใจมึงเป็อันดับหนึ่งเลย ส่วนกูยอมเป็อันดับสอง’
‘ถ้าพี่เจี๊ยบรู้ว่ากันต์ยอมให้พี่เจี๊ยบเป็อันดับหนึ่งนะ รับรองว่าพี่เจี๊ยบจะต้องอบคุกกี้เนยไว้รอกันต์แน่ๆ’
‘อาทิตย์หน้ากูต้องไปทำรายงานบ้านมึง มึงเล่าเื่นี้ให้พี่เจี๊ยบฟังด้วยนะ กูอยากกินคุกกี้เนยฝีมือพี่เจี๊ยบอีก’
ใกล้หัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย ‘ได้สิ เดี๋ยวเราจะถ่ายทอดให้ครบทุกประโยคคำพูดเลย’
‘ดีมาก…’ กันต์พูด เ้าตัวหันมามองเขาระหว่างที่เดินหิ้วถังคูลเลอร์หนักๆ ไปด้วยกัน “มึงแอบชอบพี่ชินมาั้แ่เข้าชมรมแล้วนะ ไม่คิดจะเข้าไปทำความรู้จักกับพี่เขาบ้างเหรอใกล้?”
กึก!
เสียงของถังคูลเลอร์ที่กระทบบนโต๊ะไม้ยาวข้างสนามบาสจนดังกึกทำให้บทสนทนาของเราสองคนหยุดลง เพราะนั่นหมายถึงกันต์ได้ช่วยเขาทำหน้าที่ของตัวสำรองในชมรมบาสจนเสร็จแล้ว ส่วนนักบาสตัวจริงที่ลงเล่นในสนามถึงเวลาต้องไปซ้อมแล้ว
อาทิตย์หน้าทีมบาสของโรงเรียนเขาต้องแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของระดับมัธยม คุณครูประจำชมรมจึงขอเวลาในคาบชมรมให้นักบาสตัวจริงที่ลงแข่งได้ซ้อมก่อน ส่วนตัวสำรองอย่างเขาและรุ่นน้องม.4 อีกไม่กี่คนก็นั่งรอให้หมดคาบเรียนอยู่ข้างสนาม
‘เราเคยทำความรู้จักกับพี่ชินไปแล้วไง’
‘นั่นไม่เรียกว่าทำความรู้จักนะใกล้…เขาเรียกว่าแนะนำตัวให้สมาชิกในชมรมรู้จัก’
ใกล้อมยิ้ม เขาคิดว่าสิ่งที่กันต์พูดคือความจริง การที่เขาลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวให้ทุกคนในชมรมบาสรู้จักในวันแรกที่เข้ามาอยู่ในชมรม นั่นไม่ได้เรียกว่าทำความรู้จักกับพี่ชินเลยสักนิด ‘มันก็เหมือนได้ทำความรู้จักกับพี่เขาไปแล้วนั่นแหละกันต์’
ไม่ใช่เขาไม่พยายามจะเข้าใกล้คนที่ชอบ แต่เพราะพยายามหลายครั้งแล้ว ใกล้จึงรู้ว่าตัวเองไม่เป็ที่น่าจดจำของอีกฝ่ายเอาซะเลย เขาเลยคิดว่า…แอบมองพี่ชินอยู่ข้างสนามน่ะดีแล้ว
เหตุการณ์ที่ทำให้ใกล้คิดแบบนี้คือ…เขาและรุ่นน้องที่เป็ตัวสำรองอีกไม่กี่คนมีหน้าที่กดน้ำจากคูลเลอร์ใส่แก้วและเสิร์ฟให้นักกีฬาในทีมที่พัก ใกล้จะคอยเอาน้ำไปให้พี่ชินตลอด
อาทิตย์แรกที่ได้เอาน้ำไปให้พี่ชิน
‘ขอบคุณนะ’
‘คะ ครับ’
‘น้องชื่ออะไรนะ?’
‘ใกล้ครับ ผมชื่อใกล้’
‘ขอบคุณนะใกล้’
ใกล้ดีใจมากที่ได้คุยกับพี่ชิน แม้จะเป็เพียงแค่บทสนทนาสั้นๆ หากคิดดูดีๆ บางคนอาจจะไม่ดีใจเท่าไหร่ เพราะคิดว่าอยู่ในชมรมเดียวกันมาเป็เดือนแล้ว แต่เ้าตัวเพิ่งมาถามว่าชื่ออะไร ทว่าใกล้กลับคิดว่าแค่ทำให้พี่ชินจดจำตัวเองได้บ้างก็ดีแล้ว
และอาทิตย์ที่สองก็มาถึง
ใกล้จำได้ว่าเดินเอาน้ำไปให้พี่ชิน เ้าตัวส่งยิ้มให้เขา ก่อนเอ่ย ‘ขอบคุณนะ’
ประโยคเดิมเลย ใกล้ยิ้มเพราะเดาว่าประโยคที่สองจะต้องเหมือนเดิมเช่นกัน
พี่ชินน่าจะจำชื่อเขาได้แล้ว เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาเพิ่งบอกไป
‘ขอบคุณนะอิม’ พี่ชินขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองเขา ‘…หรือไม่ใช่อิม พี่จำชื่อเราผิดใช่ไหม?’
‘…ผมชื่อ ‘ใกล้’ ครับ’
อิม คือชื่อของรุ่นน้องที่เป็ตัวสำรองเหมือนเขา และเท่าที่ใกล้จำได้ อิมไม่เคยเอาน้ำมาให้พี่ชินเลยสักครั้ง แม้การได้ยินชื่อของคนอื่นจะทำให้ใกล้เสียใจอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ทำให้เขารู้สึกท้อถอย อาทิตย์ถัดมาเขาจึงรีบมาที่ชมรมและยกถังคูลเลอร์มาวางไว้ที่โต๊ะไม้ยาวข้างสนามกับรุ่นน้อง ใกล้กดน้ำใส่แก้วไว้รอพี่ชินเหมือนเดิม
อาทิตย์ที่สาม…
ใกล้ไม่ค่อยคาดหวังสักเท่าไหร่
เพราะเขาเคยได้ยินประโยคที่ว่า อย่าคาดหวัง แล้วจะไม่ผิดหวัง
‘ขอบคุณนะ…’ พี่ชินจ้องมองเขาด้วยสีหน้าคิดหนัก ‘พี่เป็อะไรวะ…ทำไมจำชื่อเราไม่เคยได้เลย?’
‘…’
‘จำได้แต่ว่าเราเป็เพื่อนกันต์…พี่ขอถามชื่อเราครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน คราวหน้าจะไม่ลืมแล้ว’
ครั้งนี้…ใกล้จึงไม่ผิดหวัง
‘ชื่อใกล้ครับ’
แต่ก็แค่ทางความคิด ไม่ใช่ทางความรู้สึก
เพราะความคิดเรายังพอบังคับได้
แต่ความรู้สึก…ไม่มีใครขัดขืนมันได้หรอก
และนั่นเป็สาเหตุที่ทำให้ใกล้คิดว่า…ทำหน้าที่ของตัวเองอย่าให้ขาดตกบกพร่อง แล้วนั่งมองพี่ชินอยู่ข้างสนามน่ะดีที่สุด
ใกล้สลัดภาพจำที่คอยเตือนไม่ให้เขาหวังมากนักออกจากหัว ก่อนจะหันไปหาเพื่อนสนิทที่กำลังยืนเท้าเอวมองเขาอยู่
‘ให้กูแนะนำมึงให้พี่ชินรู้จักดีไหม?’
จนถึงตอนนี้ที่เพื่อนสนิทพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขารู้จักกับพี่ชินให้ได้ ใกล้ก็ยังคิดว่า ‘เราว่าอยู่แบบนี้น่ะดีแล้ว’
‘กูว่าถ้าได้รู้จักกัน ได้คุยกันมากขึ้น น่าจะดีกว่าที่เป็อยู่ตอนนี้นะ…อีกไม่กี่เดือนพี่ชินก็จะเรียนจบแล้วนะใกล้’
‘…’
‘กูเสียดายเวลาที่มึงนั่งมองเขาเฉยๆ โดยไม่ได้คุยกันเลย’
‘แต่เราเคยคุยกับพี่ชินบ้างแล้วนะ…ผลมันออกมา…’
‘ก็แค่ตอนเอาน้ำให้พี่ชินเอง กูแอบดูอยู่ตลอดแหละ พี่ชินคุยกับมึงสองสามคำแล้วก็กลับไปซ้อมใหม่ มึงก็ขี้อายเกินกว่าจะชวนเขาคุยต่อ’
‘…’
‘กูรู้ว่ามึงไม่ได้หวังจะคบกับพี่ชิน…แค่ได้แอบชอบเขาก็พอแล้ว’
‘ใช่ เราคิดว่าแค่ได้แอบชอบก็มีความสุขแล้ว’
‘แต่มันจะสุขเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าได้ใกล้ชิดกันมากกว่านี้’
‘…’
‘พี่ชินไม่รู้หรอกว่ามึงชอบ เชื่อกูสิ’
‘เราจะลองทำความรู้จักกับพี่ชินแบบจริงจังอีกครั้งนะ’
‘ให้ได้อย่างนี้สิเพื่อน!’ กันต์ส่งมือมาตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ ก่อนจะวิ่งไปที่สนามเมื่อโค้ชเป่าลูกหวีดเพื่อเรียกซ้อม
ใกล้พยักหน้าให้กำลังใจตัวเอง แล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะไม้ยาวข้างถังคูลเลอร์ ในระหว่างที่เขานั่งดูรุ่นพี่และเพื่อนซ้อมบาสกันอยู่นั้น ใกล้เห็นรุ่นน้องผู้หญิงจากชมรมอื่นเข้ามาเชียร์พี่ชินขณะแย่งลูกบาสกับคู่แข่ง ตอนนี้ใกล้ไม่แปลกใจเลยที่พี่ชินไม่สามารถจำชื่อของเขาได้ภายในไม่กี่อาทิตย์ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าหาพี่ชิน
ใกล้คงต้องเลิกคิดมากและให้อภัยคนฮอตอย่างพี่ชินที่ไม่สามารถจำชื่อของเขาได้ ในขณะที่ใกล้มีความคิดมากมายอยู่ในหัว และกำลังมองผู้เล่นในสนามอยู่นั้น สายตาคู่หนึ่งของคนตัวสูงที่สุดในสนามก็สบเข้ากับเขาพอดี ใกล้หลบสายตาโดยอัติโนมัติเมื่อรู้ว่าพี่ชินกำลังมองมาทางเขา
ใกล้เชื่อว่าพี่ชินไม่ได้ตั้งใจสบตากับเขา แต่ความไม่ตั้งใจของเ้าตัวทำให้เขาหัวใจเต้นแรง เืสูบฉีดจนรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งตัว ใกล้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ถังคูลเลอร์คว้าแก้วน้ำพลาสติกสีขาวมากดน้ำเย็นจากถังเพื่อดื่มดับความร้อน ทว่าใกล้คิดว่าน้ำเย็นสักพันลิตรก็ไม่สามารถช่วยฉุดรั้งอุณหภูมิที่พุ่งสูงได้
ใกล้เชื่อว่า…อาการแบบนี้
มีแค่คนแอบรักเท่านั้นที่เข้าใจ
และหลังจากหมดคาบชมรม รุ่นน้องที่เป็ตัวสำรองขอยกถังคูลเลอร์ไปเก็บที่ห้องเก็บของแทน โดยขอแลกหน้าที่เก็บลูกบาสจำนวนหลายสิบลูกกับใกล้ เพราะพวกน้องๆ จะต้องรีบไปติววิชาเคมีต่อ วันนี้หมดคาบชมรมเขาไม่มีติวหรือรีบไปธุระ ใกล้จึงตกลงยอมแลกหน้าที่กับรุ่นน้อง
‘มามึง…ให้กูช่วย’
ใกล้ที่ก้มลงไปเก็บลูกบาสสีน้ำตาลอมส้มเงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่สะพายกระเป๋าเตรียมกลับไปช่วยแม่ขายขนมหวานที่ตลาดยืนส่งยิ้มให้อยู่
‘วันนี้แม่ต้องไปขายขนมที่ตลาดใช่ไหมกันต์?’
‘ใช่ เดี๋ยวกูช่วยมึงเก็บลูกบาสเสร็จแล้วค่อยไป’
‘ไม่ต้องๆ เราเก็บคนเดียวได้ กันต์รีบไปเถอะ…เดี๋ยวไม่มีคนช่วยแม่ตั้งแผงขนมนะ’
‘กูโทรไปบอกแม่แล้วว่าจะไปถึงตลาดช้าหน่อย’ กันต์ว่าพลางเดินไปลากรถเข็นที่ใช้เก็บลูกบาสมา
‘กันต์ไปก่อนเถอะ เชื่อเรา…วันนี้เป็วันศุกร์ ตอนเย็นรถติดมาก แล้วยิ่งกันต์นั่งรถเมล์ด้วย ถ้าออกช้ากว่านี้ เราว่าแม่ต้องยกของหนักๆ คนเดียวแน่เลย’
กันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนเอ่ย ‘ไม่มีใครรู้จุดอ่อนของกูได้ดีเท่ามึง แล้วมึงก็ชอบเอาจุดนี้ใช้ไล่กู ไอ้ตัวแสบ!’
ใกล้หัวเราะแล้วเดินเอาลูกบาสไปใส่รถเข็น ‘เราไม่ได้ไล่กันต์นะ แต่เราพูดความจริง’
‘…’
‘รีบไปเถอะ แม่รออยู่’
‘เดี๋ยวกูช่วยเก็บอีกสักลูกสองลูกละกัน’
‘ไม่ต้องแล้ววว ไปเลยยยย’ ใกล้พูดพร้อมใช้มือดันตัวเพื่อนสนิท
‘โอเคๆ’
ใกล้โบกมือลากันต์ที่ส่งยิ้มให้เขาขณะวิ่งออกไปจากโรงยิม เขากวาดสายตาไปโดยรอบก็พบว่าตัวเองอยู่คนเดียวในสนามกว้าง ใกล้จึงรีบเก็บลูกบาสที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น เพราะเขาก็อยากกลับบ้านแล้วเหมือนกัน
ทว่าเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในสนามทำให้ใกล้รีบเงยหน้าขึ้นมอง เขาเดาว่าเป็กันต์วกกลับมาช่วยเก็บลูกบาสแน่ๆ เ้าตัวชอบรู้สึกผิดทุกครั้งที่ต้องทิ้งเขาไว้คนเดียว ทว่าคนที่มาปรากฏตัวตรงหน้าทำให้ใกล้แทบหยุดหายใจ
ตึก ตึก ตึก
เสียงดังตึก ตึก ตึก ไม่ใช่เสียงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ แต่เป็เสียงจากลูกบาสสีน้ำตาลอมส้มที่หลุดจากมือของเขาแล้วหล่นกระทบบนพื้นจนเกิดเสียงที่ใกล้เคียงจังหวะการเต้นของหัวใจ
‘พะ พี่ชิน’
‘คนอื่นไปไหนหมดล่ะ?’
‘เอ่อ…’ พอได้เริ่มบทสนทนาแบบจริงจัง ใกล้กลับพูดไม่ออกซะงั้น ‘คนอื่นกลับไปหมดแล้วครับ’
‘แล้วใกล้ต้องเก็บลูกบาสคนเดียวเหรอ?’
ใกล้…
พี่ชินจำชื่อเขาได้แล้ว
‘ครับ แต่ว่าเก็บอีกไม่กี่ลูกก็เสร็จแล้วครับ’
‘งั้นพี่ช่วยนะ จะได้เสร็จเร็วขึ้น’
‘คะ ครับ’
ใกล้มองลูกบาสที่ปล่อยหลุดมือไป มันกลิ้งไปหยุดอยู่ตรงเท้าของพี่ชิน เ้าตัวมองลูกบาสก่อนจะก้มลงไปเก็บแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง
‘ั้แ่เข้าชมรมมา…ใกล้เคยเล่นบาสบ้างหรือยัง?’
‘เคยแล้วครับ แต่ว่าใกล้รับลูกไม่ค่อยได้ มีครั้งหนึ่งใกล้รับลูกพลาด ลูกบาสเลยกระแทกเข้าหน้าจนเืกำเดาไหล โค้ชเลยบอกว่าให้ใกล้คอยดูคนอื่นไปก่อน เดี๋ยวโค้ชจะหาเวลามาสอนให้’
พี่ชินหัวเราะ ก่อนเอ่ย ‘พี่เดาว่าใกล้ไม่ชอบเล่นกีฬา พี่เดาถูกไหม?’
‘พี่ชินเดาถูกครับ ใกล้ไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาเลย’
‘แล้วทำไมใกล้เลือกเข้าชมรมนี้ล่ะ?’
‘เพราะเมื่อปีที่แล้วใกล้อยู่ชมรมศิลปะ ใกล้ชอบศิลปะมากแล้วก็ทำมันได้ดีพอสมควร ปีนี้ใกล้เลยอยากเปลี่ยนบ้างครับ ใกล้อยากรู้ว่าในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบและคิดว่าไม่ถนัดสักเท่าไหร่ ใกล้จะสามารถทำมันได้ดีเหมือนสิ่งที่ชอบได้ไหม…’ ใกล้หยุดเว้น่ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ‘แต่ผลที่ออกมาก็ช่วยยืนยันว่าปีหน้าใกล้ควรจะกลับไปอยู่ชมรมศิลปะเหมือนเดิม’
พี่ชินหัวเราะ เ้าตัวก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขาอีกนิด ก่อนเอ่ย ‘ดูเหมือนใกล้จะไม่มีความทรงจำดีๆ ในชมรมนี้เลย งั้นก่อนจะกลับไปชมรมศิลปะปีหน้า ขอให้พี่ช่วยสร้างความทรงจำดีๆ ให้ใกล้ก่อนได้ไหม?’
ใกล้อยากให้โลกของเขามีอะไรมากกว่าแค่ลูกบาสสีน้ำตาลอมส้มและถังคูลเลอร์ เขาจึงพยักหน้าตอบรับอีกฝ่ายไปโดยไม่คิดเลย ใกล้ไม่รู้ว่าอะไรทำให้พี่ชินจำชื่อเขาได้ และไม่รู้อีกเช่นกันว่าอะไรที่ทำให้พี่ชินเข้ามาทักเขาก่อน แต่่เวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่เดือนก่อนที่พี่ชินจะเรียนจบม.6 มันเหลือน้อยเกินกว่าที่ใกล้จะคิดมาก
บางทีพี่ชินอาจจะรู้สึกผิดที่จำชื่อเขาไม่ได้
พอเริ่มจำชื่อได้แล้วคงอยากรู้จักกัน
หรืออาจจะเป็เพราะกันต์ไปแนะนำเขาให้พี่ชินรู้จัก
แต่จะด้วยเหตุผลอะไร…ตอนนี้หัวใจของเขากำลังพองโต
‘เคยชู้ตบาสไหม?’
‘เคยครับ แต่ไม่เข้าห่วง’
พี่ชินที่ถือลูกบาสลูกนั้นอยู่หัวเราะ ก่อนจะเดินมายืนอยู่ด้านหลังของเขา ใกล้เม้มริมฝีปากเมื่อรู้สึกว่าคนตัวสูงขยับเข้ามาประชิดมากขึ้น พี่ชินส่งลูกบาสมาให้เขาจากด้านหลัง ใกล้ใช้ทั้งสองมือของตัวเองที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อรับลูกบาสไว้
‘ย่อตัวลงอีกหน่อยใกล้ อย่าเกร็งนะ’
‘คะ ครับ’
‘คราวนี้มองไปที่ห่วง เล็งดีๆ แล้วใช้มือส่งลูกขึ้นไปเลย’
ใกล้ทำตามที่กัปตันทีมบอก ทว่าในตอนที่เขากำลังจะโยนลูกบาส ฝ่ามือหนาของคนตัวสูงที่อยู่ด้านหลังก็เคลื่อนมาจับประคองที่มือทั้งสองข้างของเขาไว้
‘…’
‘จับลูกบาสให้อยู่ตรงกับที่เราเล็งด้วย’
‘คะ ครับ พี่ชิน’
‘เดี๋ยวพี่ช่วยด้วย…’ พี่ชินพูด ก่อนจะช่วยออกแรงส่งลูกบาสในมือเขาให้ลอยขึ้นไปในอากาศ
‘…’
ตึก ตึก ตึก
เสียงดังตึก ตึก ตึก ไม่ใช่เสียงหัวใจของเขาอีกเช่นเคย มันเป็เสียงของลูกบาสลูกเดิมที่ไม่สามารถลอดลงห่วงเพื่อทำแต้มได้ ทว่าใกล้ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่ไม่สามารถทำแต้มได้
แต่เขากลับดีใจอย่างบอกไม่ถูก…
‘เพิ่งหัดครั้งแรก มันก็แบบนี้แหละ ไว้เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่สอนให้อีกนะ’
ใกล้หมุนตัวหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลัง ‘ขอบคุณนะครับ พี่ชิน’
‘พี่ต้องขอบคุณใกล้มากกว่าที่ให้พี่ได้สร้างความทรงจำดีๆ ให้ใกล้’
หลังจากวันนั้นที่ได้คุยกัน ใกล้ก็ได้คุยกับพี่ชินต่อเรื่อยๆ เขาสนิทกับพี่ชินอย่างรวดเร็วจนกันต์ยังแปลกใจ ปกติเราจะเจอกันเฉพาะวันที่เรียนชมรม ทว่า่หลังๆ ก่อนจะสอบปลายภาค พี่ชินจะชอบมานั่งกินข้าวกับเขาตอนพักกลางวัน
‘เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะใกล้ วิชาเคมีอาจารย์แม่ชอบให้เข้าเรียนก่อนสิบห้านาที’
‘ครับ อย่าวิ่งนะครับพี่ชิน เพิ่งกินข้าวอิ่มๆ จะจุกเอา’
‘โอเคครับ’ พี่ชินตอบรับ ก่อนจะลุกออกไป
‘ใกล้…คำถามนี้มึงช่วยคิดเข้าข้างตัวเองหน่อยนะ?’ กันต์เริ่มบทสนทนาทันทีหลังจากพี่ชินลุกออกไป เ้าตัวจ้องเขาด้วยสีหน้าจริงจัง ‘พี่ชินชอบมึงหรือเปล่า?’
‘มะ ไม่ใช่หรอก’
‘แล้วมีเหตุผลอะไรที่ทำให้พี่ชินต้องปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนนับสิบคนเพื่อมานั่งกินข้าวกับมึง และมันน่าแปลกตรงที่กูไม่ได้แนะนำมึงให้พี่ชินรู้จักเลย แต่พี่ชินเข้าไปทำความรู้จักกับมึงเอง…เวลามึงนั่งอยู่ข้างๆ สนามในคาบชมรม พี่ชินก็ชอบไปนั่งเล่นกับมึงตลอด เพื่อนพี่ชินบางคนยังแซวเลยว่าพี่ชินสนิทกับมึงเกินไปแล้ว’ กันต์ทุบโต๊ะเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อ ‘กูว่าพี่ชินชอบมึงชัวร์ๆ’
‘แต่กันต์เคยได้ยินว่าพี่ชินชอบผู้หญิงนี่’
‘ใช่ เพื่อนพี่ชินคุยกันว่าพี่ชินเคยคบผู้หญิงโรงเรียนอื่นอยู่สักพักแล้วก็เลิก…เื่นี้มันั้แ่พี่ชินเรียนม.5 แล้ว มึงยังไม่ได้เข้าชมรมบาสเลย นั่งวาดรูปอยู่ที่ชมรมศิลปะโน่น’
‘ตอนนั้นเรายังไม่รู้ตัวเลยว่าชอบ…’
‘ใช่ ตอนนั้นมึงยังไม่รู้ตัวเลยว่าชอบผู้ชายด้วยกัน จนกระทั่งมาเจอพี่ชินที่ชมรมบาส…เห็นไหมใกล้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้หมด บางทีพี่ชินอาจจะเพิ่งรู้ใจตัวเองเหมือนมึงก็ได้’
‘…การกระทำและคำพูดของพี่ชินบางอย่างก็สื่อออกมาแบบนั้นจริงๆ แต่เราไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ตอนนี้แค่ได้คุยได้เจอกันทุกวันก็ดีมากแล้ว เราไม่กล้าหวังไปมากกว่านี้หรอก’
‘ถ้ามึงไม่กล้าหวังก็ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายหวังแทนแล้วแหละ’ กันต์พูดพร้อมยิ้มเ้าเล่ห์
‘กันต์พูดแล้วยิ้มแบบนี้ หมายความว่าไงเหรอ?’
‘หมายความว่า…ถ้าพี่ชินชอบมึงจริงๆ เขาต้องหวังเป็มากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องกับมึง’
‘…’
‘แล้วสักวันเขาต้องมาสารภาพรักกับมึงแน่ๆ’
ใกล้หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า เขาอยากให้กันต์แอบรักใครสักคนจริงๆ เ้าตัวจะได้รู้ว่าการสารภาพรักกับคนที่แอบชอบยากยิ่งกว่าข้อสอบวิชาฟิสิกส์ที่เพื่อนบ่นว่ายากจนอยากะโน้ำหนี ‘การสารภาพรัก มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกกันต์’
กันต์ขมวดคิ้วขณะมองเขา ‘ก็จริง…ไม่อย่างนั้นทุกคนบนโลกนี้คงสมหวังในความรักไปหมดแล้ว’
และเพราะว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เขาบอก จนถึงวันนี้ที่พี่ชินเรียนจบ แล้วมากินเลี้ยงฉลองที่โรงเรียน ใกล้ยังไม่ได้สารภาพรักกับพี่ชินเลย เขาเคยคิดจะสารภาพรักกับพี่ชินอยู่หลายครั้ง ทว่าความกล้าที่มีอยู่ถูกเหตุผลข้อสำคัญกดทับจนจมหายไป
เหตุผลข้อนั้นคือ ถ้าเราไม่ได้ใจตรงกันอย่างที่คิด
อย่างดีที่สุด…เราก็ยังกลับมาเป็พี่น้องกันได้เหมือนเดิม
แต่อย่างแย่ที่สุด…เขาอาจจะเสียพี่ชินไป
เสียไปในทุกๆ สถานะ
ตอนนี้ใกล้รู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะเสียพี่ชินไป หัวใจของเขาคงรับไม่ไหว หากความสัมพันธ์ของเราต้องจบลง แม้จะเป็เพียงแค่ความสัมพันธ์ในแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่สำหรับคนแอบรักอย่างเขา มันมีค่ามากจนไม่อยากเสียไป
วันนี้ใกล้เอาของขวัญมาให้พี่ชินเพื่อแสดงความยินดีที่เ้าตัวเรียนจบแล้ว เขาจ้างวาดภาพเหมือนให้พี่ชินแล้วใส่กรอบอย่างดี ใกล้นั่งรออยู่ในสนามบาส เพราะพี่ชินบอกว่าอยากคุยกับเขาแบบส่วนตัว ถ้าเ้าตัวถ่ายรูปกับรุ่นน้องคนอื่นเสร็จจะรีบมาหา
‘ใกล้…’
ใกล้ที่กำลังมองภาพวาดเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย เขาหลุดยิ้มออกมาขณะมองคนตรงหน้าที่เหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด
‘…’
‘รอนานไหม?’
‘ไม่นานครับ’
พี่ชินเดินมาหยุดยืนตรงหน้า ก่อนเอ่ย ‘วันนี้พี่เรียนจบแล้ว…ใกล้อยากบอกอะไรกับพี่ไหม?’
‘เอ่อ...มีครับ’ จริงๆ ใกล้มีหลายอย่างอยากบอกพี่ชิน แต่เพราะความกลัวนั้นมีมากกว่าความกล้า ความจริงจึงถูกเก็บซ่อนต่อไป วันนี้ใกล้เลยบอกได้แค่ว่า… ‘ยินดีด้วยนะครับ พี่ชิน’
พี่ชินยิ้มบาง ก่อนเอ่ยต่อ ‘ขอบคุณนะใกล้’
‘ครับ…ใกล้มีของมาให้พี่ชินด้วยนะครับ’ ใกล้พูดพลางยื่นภาพวาดให้เ้าตัว พี่ชินรับไปแล้วยิ้มกว้างออกมา
‘ใกล้วาดเองเหรอ?’
‘เปล่าครับ ใกล้จ้างวาด ฝีมือใกล้ไม่ดีเท่านี้หรอกครับ ถ้าใกล้วาดให้พี่ชินเอง ใกล้คิดว่าพี่ชินคงไม่ยิ้มกว้างแบบนี้’
พี่ชินหัวเราะ แล้วขยับเข้ามาใกล้เขาอีกหน่อย ‘พี่ขอกอดหน่อยนะ’
‘O_O’
ใกล้เบิกตาโตเมื่อโดนคนตัวสูงรวบไปกอด คงเพราะใกล้ไม่เคยคิดว่าจะได้รับััอบอุ่นจากพี่ชินมาก่อน ตอนนี้เขาจึงทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะกอดพี่ชินตอบกลับดีไหม หรือควรยืนนิ่งๆ ให้พี่ชินกอดต่อไป
‘ขอบคุณที่ให้พี่สร้างความทรงจำดีๆ ให้ใกล้ตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่’
‘ใกล้ก็อยากขอบคุณพี่ชินเหมือนกันครับ’ ใกล้ค่อยๆ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาเตรียมจะกอดพี่ชิน ทว่าคนตัวสูงคลายอ้อมกอดออกก่อน เขาจึงรีบชักแขนกลับมาแนบข้างลำตัวเหมือนเดิม
‘ใกล้มีอะไรอยากบอกพี่อีกไหม?’
มีครับ ใกล้ชอบพี่ชินมาก…จนตอนนี้มันกลายเป็ความรักไปแล้ว แต่ใกล้ก็พูดได้แค่ว่า… ‘ขอให้พี่ชินมีความสุขกับชีวิตในมหา’ ลัยนะครับ’
พี่ชินก้มหน้า ในแววตาดูสับสนเล็กน้อย ก่อนเอ่ย ‘ขอบคุณอีกครั้งนะใกล้’
‘ครับ พี่ชิน’
แววตานั้นของพี่ชินทิ้งคำถามไว้ให้เขา ใกล้ไม่รู้ว่าเ้าตัวอยากจะสื่ออะไรผ่านแววตาที่ดูสับสนและไม่มั่นใจ แต่เขาไม่อาจคาดเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ เหมือนที่พี่ชินไม่สามารถอ่านใจเขาออกเช่นกัน เพราะถ้าเรารู้ความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกัน ใกล้คงได้คำตอบไปนานแล้ว
ตอนนี้ใกล้เรียนจบม.6 แล้ว เขากับพี่ชินยังติดต่อกันเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้คุยและเจอกันทุกวันเหมือนแต่ก่อน ทว่าเราไม่เคยขาดการติดต่อกันนานๆ เลย
แต่ใกล้คิดว่าเดือนหน้า เราสองคนคงได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิมแล้ว เพราะใกล้เลือกเรียนคณะและมหา’ ลัยเดียวกับพี่ชิน เพียงแต่อยู่คนละสาขา เหตุผลที่ใกล้เลือกเรียนคณะและมหา’ ลัยนี้ ไม่ใช่เพราะพี่ชินเรียนอยู่ แต่เพราะใกล้ได้ไปศึกษาหลักสูตรการเรียนการสอนจากรุ่นพี่ที่มหา’ ลัยในวันงานโอเพนเฮาส์ ทั้งยังขอคำแนะนำจากพี่ชินเพิ่มด้วย ใกล้คิดว่าหลักสูตรของมหา’ ลัยนี้ดีพอสมควร เขาจึงตัดสินใจเรียนที่นี่ ไม่รู้เป็เพราะความบังเอิญของชีวิตหรือความตั้งใจของฟ้าที่ทำให้เขาได้อยู่ใกล้กับพี่ชินอีกครั้ง
ใกล้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความสุดท้ายที่ส่งไปให้พี่ชินเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ข้อความของเขาถูกเปิดอ่าน แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ใกล้ไม่คิดน้อยใจหรือโกรธพี่ชินหรอก เพราะพี่ชินเคยบอกว่า่นี้ไม่ค่อยว่าง
ใกล้พิมพ์ข้อความส่งไปให้พี่ชินอีกครั้งโดยไม่หวังให้เ้าตัวตอบกลับ เขาแค่อยากให้พี่ชินรู้ว่าเขาจะได้เป็รุ่นน้องในคณะ และหวังว่าเราจะได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนเดิม
glaijai : พี่ชินครับ ใกล้ตัดสินใจเข้าเรียนคณะศิลปศาสตร์นะครับ
ข้อความของเขาถูกเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว และครั้งนี้มีข้อความตอบกลับมา
Chin : มหา’ ลัยไหนใกล้?
glaijai : มหา’ ลัยเดียวกับพี่ชินครับ
Chin : จริงดิ
Glaijai : จริงครับ
Chin : ดีเลยๆ เราจะได้เจอกันบ่อยๆ
ใกล้ยิ้มกว้างออกมา หัวใจพองโตตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายก็อยากเจอเขาบ่อยๆ เหมือนกัน
glaijai : แต่ใกล้เลือกเรียนสาขาธุรกิจการบินอย่างที่เคยบอกไว้ครับ
Chin : เลือกสาขาที่ตัวเองชอบและสนใจดีที่สุดแล้ว เพราะเราจะได้ไม่ท้อง่ายๆ
glaijai : ใกล้คิดมาเยอะพอสมควรแล้วครับ ใกล้ชอบสาขานี้มากที่สุด ถึงจะเรียนยากแค่ไหน แต่ใกล้ไม่ท้อง่ายๆ หรอกครับ
Chin : ดีมาก
glaijai : กันต์ก็เรียนมหา’ ลัยเดียวกับเรานะครับ แต่กันต์เลือกเรียนคณะบริหารครับ
Chin : อ๋อ กันต์เรียนเก่งอยู่แล้ว เรียนอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ
Chin : ถ้า่นี้พี่ไม่ค่อยได้ตอบ พี่ขอโทษนะ พอดีพี่ยุ่งๆ เื่ที่บ้านนิดหน่อย
glaijai : ไม่เป็ไรครับพี่ชิน
Chin : งั้นพี่ไปก่อนนะใกล้ พี่ต้องขับรถพาแม่ไปธุระก่อน
glaijai : ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับพี่ชิน
Chin : ครับ
Chin : ไว้เจอกันตอนรับน้องนะ
หลังจากวันนั้นที่เราได้คุยกัน ใกล้ก็นับวันรอ และวันที่ใกล้รอคอยก็มาถึง เขานั่งอยู่ในซุ้มรับน้องของคณะศิลปศาสตร์ ใกล้มองรุ่นพี่ปีสองกำลังอธิบายเื่เวลาและกิจกรรมรับน้อง ก่อนจะลอบมองคนตัวสูงที่ยืนกอดอกอยู่ พี่ชินหันมาสบตากับเขาชั่วครู่ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา ใกล้รู้สึกว่าความร้อนจากทั่วทั้งร่างกายกำลังมากระจุกรวมกันอยู่ที่แก้มทั้งสองข้างของเขา เขาก้มหน้าแล้วยกมือขึ้นลูบบริเวณใบหูทั้งสองข้างของตัวเอง ใกล้เดาว่าตอนนี้หูของตัวเองคงแดงแจ๋แน่ๆ เพราะใบหูทั้งสองข้างของเขาร้อนกว่าแก้มอีก
เวลาเขินแล้วเป็แบบนี้ทุกทีเลย…
ไม่หน้าแดงหรือแก้มแดงเหมือนคนอื่นๆ
แต่หูจะแดงแจ๋เลย…
‘ไอ้ชิน มึงยิ้มให้ใครวะ?’
ใกล้เงยหน้าทันทีที่ได้ยินรุ่นพี่คนหนึ่งถามขึ้น
‘เปล่า…’
‘ไหน? ...น้องคนไหนทำให้พี่ชินยิ้มครับ?’
เขากำลังก้มหน้าหลบสายตารุ่นพี่ หลังได้ยินคำถามนี้
‘…’
‘คนนั้นใช่ไหม? ...ก้มหน้าใหญ่เลยน่ะ’
‘เออ คนนั้นแน่ๆ ออกมาเลยๆ’ รุ่นพี่คนหนึ่งว่าพร้อมชี้นิ้วมาทางเขา
‘อย่าแกล้งน้อง’
ใกล้ก้มหน้าอีกครั้งแล้วแอบอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนเอ่ยปกป้องเขา
และแน่นอนว่าคนนั้นคือ…พี่ชิน
‘คนนั้นชัวร์ๆ ไอ้ชินปกป้องใหญ่เลย’
‘ใกล้เป็รุ่นน้องที่โรงเรียนกู’
‘อย่างนั้นต้องโดนรับน้องหนักๆ เลย’
‘ใช่ๆ ออกมาเต้นเพลงไก่ย่างโชว์เลยครับ’
‘ไอ้ชิน ไปพารุ่นน้องที่โรงเรียนมึงออกมาเลย’
สิ้นสุดประโยคคำพูดของรุ่นพี่คนนั้น พี่ชินก็เดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วยื่นมือมาหาเขา ใกล้หลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่งมือไปให้เ้าตัว เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินผ่านเพื่อนร่วมรุ่นที่นั่งอยู่บนพื้น ใกล้โค้งศีรษะเพื่อขอบคุณทุกคนที่ช่วยเขยิบเปิดทางเดินให้เราสองคน คงเพราะเขามัวแต่ทำแบบนั้นเลยก้าวเท้าช้าไป พี่ชินถึงได้หันมามองแล้วจับกระชับมือเขาให้แน่นขึ้น
ตอนนี้…หัวใจของใกล้เต้นเร็วจนแทบหลุดออกมากองที่พื้นเลย
พี่ชินพาเขามาหยุดยืนด้านหน้า เพื่อนร่วมรุ่นนับร้อยคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ ใกล้สูดลมหายใจเข้าลึกจนสุดปอดเพื่อลดอาการตื่นเต้นที่กำลังก่อตัว ทว่าฝ่ามือหนาที่ััลงบนศีรษะอย่างแ่เบาทำให้ใกล้ลืมทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น เขาหันมองเ้าของััอบอุ่นที่อยู่ข้างกาย พี่ชินส่งยิ้มให้เขาก่อนละมือออก
‘มีลูบหัวด้วย ยังไงเนี่ยไอ้ชิน?’
‘อย่าแซว’
ตอนเพื่อนพี่ชินแซว ใกล้ก็เขินมากแล้ว
พอได้ยินพี่ชินพูดแบบนี้…ใกล้ยิ่งเขินเข้าไปใหญ่เลย
‘ตอนแรกพี่ว่าจะให้น้องใกล้เต้นเพลงไก่ย่าง แต่กลัวน้องจะคิดว่าพี่ใจร้ายเพราะไม่มีตัวเลือกให้เลย’
‘…’
‘งั้นพี่ให้เลือกระหว่างเพลงไก่ย่างกับฮิปโป น้องใกล้อยากเต้นเพลงไหน?’
ใกล้หันมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ‘เอ่อ…’
‘เดี๋ยวพี่ให้ไอ้ชินเต้นเป็เพื่อนด้วย น้องใกล้จะได้ไม่เขินมาก’
‘เฮ้ย! กูไม่เต้น’
‘เต้นเป็เพื่อนน้องหน่อยดิไอ้ชิน แค่นี้เอง…ทำเพื่อน้องไม่ได้เหรอวะ?’
ใกล้กำลังจะบอกพี่ชินว่าไม่ต้องเต้นเป็เพื่อน เพราะเขารู้ดีว่าพี่ชินไม่ชอบทำอะไรแบบนี้ ทว่าเ้าตัวก้มหน้าแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันมาสบตากับเขา
‘เดี๋ยวพี่เต้นเป็เพื่อนนะ ใกล้อยากเต้นเพลงไหน?’
เพราะน้ำเสียงและสายตาของพี่ชินไม่ได้แสดงออกว่าต้องฝืนใจทำ ใกล้จึงเลือกตอบออกไป ‘เต้นเพลงไก่ย่างก็ได้ครับ’
‘น้องใกล้เลือกเต้นเพลงไก่ย่าง ไอ้แมนไปตีกลองเลย’
‘ได้ครับผม!’
‘ทุกคนช่วยกันร้องเพลงด้วยครับ’
ใกล้ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเตรียมเต้นท่าไก่ย่าง เขาพยายามทำให้ความเขินอายลดน้อยลงด้วยการบอกกับตัวเองว่า ‘แค่เป็ไก่ที่ถูกไม้เสียบก้นแล้วเอาไปย่าง มันไม่ยากหรอก ต้องทำได้สิใกล้’ แต่ความรู้สึกเขินอายคงมีมากจนเกินไป เขาถึงไม่สามารถทำให้มันลดน้อยลงได้เลย
ตอนนี้ใกล้มือไม้แข็งไปหมด เสียงกลองที่ถูกเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นช่วยเร้าให้ทุกคนส่งเสียงร้องเพลงไก่ย่างอย่างเมามัน ผิดกับคนเต้นอย่างเขาที่ยังยืนขยับแขนและขาอย่างเก้ๆ กังๆ
‘ใกล้…’
ใกล้ละสายตาจากเพื่อนร่วมรุ่นที่อยู่ตรงหน้าเพื่อหันมองตามเสียงเรียก ‘คะ ครับพี่ชิน’
‘ไม่ต้องมองคนอื่น…มองแค่พี่ก็พอ’
ใกล้พยักหน้ารับแล้วมองคนที่ไม่ค่อยชอบทำอะไรแบบนี้ พี่ชินเต้นเพลงไก่ย่างสุดแรงเกิด พร้อมส่งยิ้มให้เขา ใกล้เห็นรอยยิ้มของตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาของพี่ชิน นั่นทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ตอนนี้…ใกล้เต้นเพลงไก่ย่างได้แล้ว
เขากลายเป็ไก่ที่มีความสุขที่สุด
ไม่ใช่ไก่ที่กระพือปีกแปลกๆ อีกแล้ว
‘ขอบคุณนะครับพี่ชิน’ .ใกล้พยายามพูดให้ดังที่สุดเพื่อแข่งกับเสียงกลองและเสียงร้องของเพื่อนๆ ที่ดังมากกว่าเดิม แต่เหมือนพี่ชินไม่ได้ยิน เ้าตัวถึงได้โน้มหน้าเข้ามาใกล้เขาทั้งที่เต้นอยู่
‘เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?’
เราไม่เคยใกล้กันขนาดนี้เลย…
‘ขะ ขอบคุณนะครับพี่ชิน’
พี่ชินยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบศีรษะเขา ‘แค่นี้เอง…พี่ทำเพื่อใกล้ได้อยู่แล้ว’
เสียงหัวใจของใกล้ที่ดังระรัวอยู่ในตอนนี้…ชนะเสียงกลองของพี่แมนขาดลอยเลย
หลังจากผ่านกิจกรรมรับน้องไปตามระยะเวลาที่คณะกำหนดก็เข้าสู่การเรียนแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งต่างจากคณะอื่นที่ยังคงรับน้องกันอยู่ อย่างเช่นคณะของกันต์ที่ยังต้องเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องอีกเดือนกว่าๆ เ้าตัวเลยมีเวลาว่างมาเจอเขาได้แค่ตอนพักกลางวันเท่านั้น ทว่าเย็นวันนี้กันต์สามารถไปเที่ยวเล่นกับเขาได้ เพราะอาทิตย์นี้เริ่มเข้าสู่่สอบกลางภาค รุ่นพี่จึงงดเข้าซุ้มรับน้องจนกว่าจะผ่าน่สอบ
ใกล้มายืนรอกันต์ที่หน้าคณะบริหารสักพักแล้ว เขามีนัดกับพี่ชินที่ร้านสเต๊กข้างมหา’ ลัย เพราะเ้าตัวจะเอาสรุปข้อสอบกลางภาคของตัวเองที่เคยทำไว้ตอนปีหนึ่งมาให้เขา เมื่ออาทิตย์ที่แล้วใกล้ได้ยินพี่ชินบ่นคิดถึงกันต์ เขาเลยชวนเพื่อนสนิทไปกินสเต๊กด้วยกัน
‘ใกล้...รอนานปะ?’
‘ไม่นาน~’
‘รีบไปกัน เดี๋ยวพี่ชินรอนาน’
‘เมื่อกี้พี่ชินโทรมาบอกว่าจะถึงร้านช้าหน่อย รถติดมากเลย’
‘วันนี้พี่ชินไม่มีเรียนเหรอ?’
‘อื้อ วันนี้พี่ชินหยุด’
‘วันหยุดของตัวเองแท้ๆ ยังอุตส่าห์ขับรถเอาสรุปข้อสอบมาให้ถึงที่นี่…รุ่นน้องที่ชื่อใกล้ใจคงสำคัญกับพี่ชินน่าดูเลย’
‘แซวเราอีกแล้วนะกันต์’ ใกล้เม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้ม ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น ขืนยังยืนอยู่ที่เดิม กันต์คงพูดแซวจนเขาเขินหูแดงอีกแน่ๆ
‘ใกล้! รอกูด้วย’
‘ไม่รอกันต์หรอก’ ใกล้พูดปนหัวเราะ พลางเร่งฝีเท้าให้ก้าวเร็วขึ้น ทว่าเพื่อนสนิทก็ไล่ตามทันอยู่ดี
‘สรุปข้อสอบของวิชาอะไรอะ? ...ไม่ได้เรียนสาขาเดียวกันสักหน่อย คงไม่ได้เอาสรุปข้อสอบวิชาหลักของพี่ชินมาให้อ่านหรอกนะ’
‘สรุปข้อสอบของวิชาคณิตน่ะ เป็วิชาพื้นฐานที่เด็กปีหนึ่งทุกคนต้องเรียน พี่ชินก็เคยเรียนวิชานี้ เขายังเก็บสรุปข้อสอบไว้อยู่ แล้วเห็นว่าเนื้อหาคล้ายๆ กับที่เราเรียน พี่ชินเลยเอามาให้ลองอ่านดู’
‘กูก็เรียนวิชานี้เหมือนกัน รหัสวิชาเดียวกับมึงเลย…’ กันต์ขมวดคิ้วคล้ายสงสัย ‘ไม่เห็นพี่ชินเอาสรุปข้อสอบมาให้กูบ้างเลย’
ใกล้ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา กันต์ชอบพูดแบบนี้เพราะอยากให้คนแอบรักอย่างเขาคาดหวังในความรักครั้งนี้อีกสักหน่อย พูดตรงๆ ตามสไตล์กันต์เองคือ…อยากให้ใกล้ใจคนนี้คิดเข้าข้างตัวเองบ้าง
‘คงเพราะพี่ชินไม่ค่อยได้เจอกันต์ไง’
‘มันเป็ไปได้นะใกล้ กูหมายถึงพี่ชินอาจจะใจตรงกับมึง…ช่วยคิดเข้าข้างตัวเองหน่อยสิเพื่อน’
ใกล้หัวเราะ แล้วหันไปมองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าตาจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยเคยเห็นนัก ‘ทุกครั้งที่เราจะคิดเข้าข้างตัวเอง หัวใจมันก็บอกว่า…อย่าเลย’
‘ที่บอกว่าอย่าเลย…นั่นสมองหรือหัวใจกันแน่’
‘…’
‘อาจจะเป็สมองที่สั่งให้มึงหยุดคิดเข้าข้างตัวเองเพราะกลัวผิดหวัง…แต่จริงๆ แล้วหัวใจมึงพร้อมลุยเต็มที่’
ใกล้มองกันต์ที่ยังแสดงสีหน้าจริงจังเหมือนเดิม เขาละสายตาจากเพื่อนสนิทแล้วก้มมองรองเท้าผ้าใบสีเหลืองอ่อน ใกล้ไม่ได้อยากนับก้าวเดินของตัวเองหรอก แต่เวลาเขามีเื่สำคัญที่ต้องคิดไตร่ตรอง การจดจ่ออยู่กับรองเท้าผ้าใบสีเหลืองอ่อนที่พ่อซื้อให้จะทำให้เขาได้คุยกับหัวใจท่ามกลางความเงียบ
การคุยกับหัวใจในครั้งนี้
หัวใจบอกว่า…เชื่อในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก
…แล้วลุยเลย!
‘มึงอมยิ้มแบบนี้ แสดงว่า…’
ใกล้ที่คุยกับหัวใจตัวเองรู้เื่แล้วหันไปมองเพื่อนสนิทที่เดินขนาบข้าง ก่อนเอ่ย ‘หัวใจเราคงพร้อมลุยแล้วจริงๆ แต่ติดตรงที่…เราไม่รู้จะเริ่มลุยยังไงดี’
ใกล้อยากจะบอกกันต์ที่เชียร์เขามานานว่า…ให้อภัยคนแอบรักที่มีประสบการณ์น้อยอย่างเขาเถอะนะ ใกล้เพิ่งเคยแอบรักครั้งแรกเอง มันยังทำอะไรไม่ค่อยถูก เขาไม่รู้จะเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ให้ไปไกลกว่าแค่รุ่นพี่รุ่นน้องยังไงดี
ยิ่งเป็คนแอบรักที่แสนขี้อายแบบเขาแล้วด้วย
มันยิ่งยากไปใหญ่เลย…
‘ให้ได้อย่างนี้สิเพื่อน…’ กันต์ะโจนตัวลอยเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น เ้าตัวแสดงอาการดีใจพอๆ กับตอนที่แข่งบาสชนะรอบชิงแชมป์ ‘เื่นั้นมึงไม่ต้องห่วงเลย เดี๋ยวกูช่วยคิดว่าจะเริ่มลุยยังไงดี’
ใกล้ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ย ‘ขอบคุณนะกันต์’
‘ไม่ต้องขอบคุณกูหรอก กูแค่อยากเห็นเพื่อนสมหวังในความรัก’
เมื่อใกล้กับกันต์มาถึงที่ร้านสเต๊ก เขาเห็นพี่ชินกับเพื่อนต่างคณะของเ้าตัวนั่งรออยู่ที่โต๊ะด้านใน ใกล้จึงรีบเดินไปหา เพราะคิดว่าพี่ชินกับเพื่อนคงมารอนานแล้ว
‘พี่ชินมารอนานหรือยังครับ? ...ใกล้ขอโทษนะครับ ใกล้กับกันต์เดินไปคุยไปเลยมาถึงช้า เพราะใกล้คิดว่าอีกนานกว่าพี่ชินจะมาถึง’
‘ไม่เป็ไรใกล้ ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่มาถึงก่อนเราไม่กี่นาทีเอง…นี่ไง พนักงานเพิ่งเอาเมนูมาให้เอง…’ พี่ชินเอามือตบที่เก้าอี้ข้างตัวเองเป็เชิงชวน ก่อนเอ่ยต่อ ‘มานั่งข้างๆ พี่เร็ว’
‘ครับ’ ใกล้ตอบ ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ เขามองกันต์ที่นั่งลงข้างๆ เพื่อนพี่ชิน
‘ไม่ชวนกันต์นั่งเลยนะพี่ชิน’
‘ฮ่าๆ ไม่น้อยใจดิ’
‘ไม่น้อยใจหรอก เพราะกันต์เห็นพี่ชินดูแลใกล้มาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว…บอกเลยว่าชิน~’
‘เห็นบ่อยจนชินเลยใช่ปะ?’ พี่ชินพูดปนหัวเราะ
‘ใช่~’
ใกล้ลอบมองคนข้างกายที่กำลังดูเมนูอาหารอยู่ กันต์มักจะพูดประโยคที่ทำให้เขาดูเป็คนพิเศษของพี่ชินบ่อยๆ เ้าตัวเคยบอกว่าการพูดแบบนี้ทำให้เดาใจพี่ชินได้ง่ายขึ้น จากการสังเกตปฏิกิริยาที่ตอบสนองกลับมา ในบางครั้งใกล้กลัวพี่ชินจะรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ ทว่าไม่มีสักครั้งเลยที่พี่ชินแสดงอาการไม่พอใจเมื่อได้ยินคำพูดทำนองนี้ พี่ชินจะตอบกลับอย่างอารมณ์ดีทุกครั้ง
‘ไอ้แม็ก มึงสั่งอะไร?’
ใกล้มองรุ่นพี่ที่นั่งก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ฝั่งตรงข้าม เขารู้ว่าพี่แม็กเป็เพื่อนต่างคณะของพี่ชินเพราะเวลาพี่ชินมากินข้าวตอนพักกลางวันกับเขา พี่แม็กจะชอบมานั่งด้วยบ่อยๆ
‘เมื่อกี้กูสั่งสเต๊กปลาไปแล้ว’
พี่ชินขมวดคิ้วขณะใช้นิ้วไล่เมนู ก่อนจะหันมาถามเขา ‘ใกล้อยากกินอะไร? ...เอาสลัดทูน่าเหมือนเดิมไหม?’
สลัดทูน่า…เมนูโปรดของเขา
ใกล้อมยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ ‘เอาสลัดทูน่าเหมือนเดิมเลยครับพี่ชิน’
‘โอเค เดี๋ยวพี่สั่งให้นะ’
เมนูโปรดที่คนโปรดสั่งให้…มันคงอร่อยกว่าเดิมเป็ร้อยเท่า
‘เอาสเต๊กไก่พริกไทยดำหนึ่งที่ครับ แล้วก็เอาสลัดทูน่าหนึ่ง’ พี่ชินละสายตาจากพนักงานแล้วหันมองกันต์ที่กำลังก้มหน้าดูเมนูอยู่ ‘กันต์เอาอะไร?’
‘เอาสเต๊กหมูพริกไทยดำครับ’
‘เอาสเต๊กหมูพริกไทยดำอีกหนึ่งที่ครับ’
‘ได้ค่ะ’ พนักงานสาวตอบรับแล้วจดรายการอาหารใส่กระดาษแผ่นเล็กๆ ก่อนจะขอเก็บเมนู
พี่ชินหันมามองเขาชั่วครู่แล้วเอี้ยวตัวไปอีกฝั่งเพื่อหยิบบางอย่างในกระเป๋าสะพายข้างของเ้าตัว ไม่นานนักกระดาษเอสี่จำนวนหนึ่งที่รวมกันจนเป็ปึกใหญ่ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเขา
‘สรุปข้อสอบวิชาคณิต…พี่เอาของปลายภาคมารวมให้ด้วย มันเลยเยอะขนาดนี้’
‘ใกล้ใหมดเลยครับ…นึกว่าเป็สรุปข้อสอบของกลางภาคอย่างเดียว’ ใกล้พูดปนหัวเราะ ก่อนจะรับกระดาษปึกนั้นมา เขามองตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือบนหน้ากระดาษ ตัวเลขจำนวนต่างๆ กระจายอยู่เต็มไปหมดจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง ใกล้อมยิ้มเมื่อเห็นปากกาหลากสีขีดเส้นใต้บางจุดเพื่อเน้นความสำคัญ
ใกล้ไม่คิดว่าพี่ชินจะใช้ปากกาสีน่ารักๆ แบบนี้ด้วย
พี่ชินแอบมุ้งมิ้งเหมือนกันนะเนี่ย…
‘ลายมือพี่แย่มาก ทนอ่านหน่อยนะใกล้’
‘ไหนขอดูหน่อย…’ กันต์พูดแล้วยื่นมือมาหาเขา ใกล้จึงส่งสรุปข้อสอบให้เพื่อน เ้าตัวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ย ‘แบบนี้ไม่เรียกว่าแย่นะพี่ชิน ลายมือสวยมากเลย…ของกันต์สิ แย่ของจริง’
‘ไอ้ชินมันชอบถ่อมตัวแบบนี้แหละ’ พี่แม็กว่า
ใกล้พยักหน้าเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ‘ใช่ครับ พี่ชินชอบถ่อมตัวทั้งที่ตัวเองเก่งแทบจะทุกอย่างเลย’
‘ชมพี่เกินไปแล้วใกล้’
ใกล้ส่งยิ้มให้คนที่กำลังเขินเพราะคำชม ก่อนเอ่ย ‘ไม่เกินไปหรอกครับ…สำหรับใกล้ พี่ชินเก่งที่สุดแล้ว’
‘แต่ไอ้ชินเก่งทุกอย่างจริงๆ นะ…’ พี่แม็กพูด เ้าตัวยกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยต่อ ‘แอบรักก็เก่ง’
‘ไอ้เหี้ยแม็ก!’
‘มึงด่ากูทำไม? ...กูพูดความจริง’
‘กูไม่น่าหลุดพูดเื่นี้เลย…เพื่อนเหี้ยอย่างมึงเลยเอามาล้อตลอด’
‘ถ้าวันนั้นมึงไม่เมา…กูก็ไม่มีทางรู้หรอกว่ามึงแอบชอบรุ่นน้องที่โรงเรียนมาสองปีแล้ว…จนตอนนี้เรียนปีสองแล้วยังไม่กล้าสารภาพรักกับเขาอีก’
‘…’
‘แอบรักเก่งฉิบหายเลยเพื่อนกู’
ประโยคคำพูดของพี่แม็กทำให้เขาหันไปมองคนข้างกายที่นิ่งเงียบอยู่ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่จ้องมองเ้าตัว ทว่ากันต์ที่เลิกตาโตเล็กน้อยมองพี่ชินไม่วางตาเลย ปกติพี่ชินไม่ชอบหลบสายตาใคร พี่ชินพร้อมสู้สายตาทุกคนเสมอ นี่คงเป็ครั้งแรกที่เ้าตัวไม่กล้าสู้สายตาแล้วเลือกมองจานเปล่าตรงหน้าแทน
ใกล้ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองสักเท่าไหร่ แต่เมื่อคิดทบทวนดูดีๆ แล้ว เขามีสิทธิ์เป็รุ่นน้องที่พี่ชินแอบชอบได้เหมือนกัน เพราะเมื่อนับระยะเวลาที่เราคุยกันมา ตอนนี้ก็สองปีแล้ว อีกทั้งพี่ชินมักจะปฏิบัติกับเขาต่างจากรุ่นน้องคนอื่นในโรงเรียน ส่วนรุ่นน้องผู้หญิงที่คอยมาเชียร์ตอนแข่งบาส พี่ชินไม่เคยสุงสิงด้วยเลย และเ้าตัวเคยบอกว่าไม่เคยสนิทกับรุ่นน้องคนไหนเท่าเขามาก่อน
ใกล้เคยได้ยินประโยคคำพูดหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว...
การคิดเข้าข้างตัวเองไม่ผิด
แต่มันอาจจะทำให้เราเจ็บ…
ใกล้จึงคอยระวังมาตลอด เขาพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเอง แต่คงเพราะหัวใจของเขาพร้อมลุยแล้ว ตอนนี้ใกล้เลยคิดเข้าข้างตัวเองบ้าง ทว่าเขาไม่ได้ให้ความหวังตัวเองจนมองไม่เห็นความเป็จริง ใกล้รู้ว่าเขาอาจจะสมหวังหรือผิดหวังกับความรักครั้งนี้ เพียงแต่เขาเอาทุกอย่างมาชั่งน้ำหนักรวมกันแล้ว…มันมีความเป็ไปได้ที่เขาจะสมหวัง
เป็ธรรมดาของโลกนี้ที่จะมี…
ดี และ ไม่ดี
สมหวัง และ ผิดหวัง
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็อย่างไร เขาทำได้แค่ยอมรับ เพราะโลกไม่มีตัวเลือกให้เรามากนัก มีเพียงแค่สองตัวเลือกเท่านั้น…คือ สุข และ ทุกข์
เมื่อก่อนใกล้ไม่รู้วิธีรับมือกับสองผลลัพธ์ที่โลกมอบให้ ในตอนที่เขาได้ทุกอย่างตามที่คาดหวัง ใกล้จะมีความสุขมากเกินจนลืมหยดน้ำตา แต่เมื่อมีบางอย่างผิดไปจากที่คาดหวัง เขาก็ทุกข์ใจและเสียน้ำตาจนลืมรอยยิ้มของตัวเอง ใกล้คิดว่าโลกค่อยๆ สอนให้เขารู้จักปรับตัว และเหมือนโลกใบกลมๆ อยากบอกเขาอีกว่า…อย่าให้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อชีวิตและจิตใจของตัวเองมากจนเกินไป
ใกล้จึงตระหนักได้ว่า…ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะเป็ความสุขหรือความทุกข์
เขาต้องรับให้ได้…
เพราะมันจะอยู่กับเราได้ไม่นาน…สิ่งที่อยู่กับเราตลอดไป คือ ตัวเอง
ตอนนี้ใกล้รู้วิธีรับมือกับทุกผลลัพธ์ที่โลกมอบให้แล้ว
นั่นคือ…จงยิ้มและเสียน้ำตาในปริมาณที่เท่าๆ กัน
อย่าให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีมากจนเกินไป
ใกล้คิดว่าการที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวส่งผลดีต่อเขา เพราะทำให้เขากล้าตัดสินใจทำบางอย่าง ใกล้จะสารภาพรักกับพี่ชิน ตอนนี้เขาพร้อมยอมรับทุกผลลัพธ์แล้ว หากเราสองคนใจตรงกัน เขาจะรักษาความสัมพันธ์ครั้งนี้ไว้ให้ดีที่สุด แต่ถ้าพี่ชินไม่ได้คิดกับเขาเกินกว่ารุ่นน้อง ใกล้ก็แค่เตรียมรับมือกับความเสียใจ
แม้ใกล้จะเคยบอกว่า…แค่ได้คุยและอยู่ใกล้ๆ พี่ชินในทุกวันก็พอแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าลึกๆ ภายในใจของคนแอบรัก ไม่มีใครอยากตกอยู่ในสถานะแอบรักไปตลอดชีวิตหรอก คนที่แอบรักอยู่ฝ่ายเดียว บางครั้งก็อยากได้รับความรักตอบกลับบ้าง ความรักที่เกิดจากความรู้สึกเดียวกัน ไม่ใช่ความรักที่สวนทางกันทางความรู้สึก
การได้บอกความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็ยังไง
อย่างน้อยๆ เราก็ได้หลุดพ้นจากสถานะแอบรัก
‘สเต๊กปลาค่ะ’
‘ทางนี้ครับ’
ใกล้หันมองพนักงานสาววางจานสเต๊กปลาลงตรงหน้าพี่แม็ก ก่อนจะมองคนข้างกายที่นิ่งเงียบเหมือนเดิม จนถึงตอนนี้พี่ชินยังหลบสายตาทุกคนอยู่เลย
‘แค่พูดเื่แอบรักเอง…เพื่อนกูถึงกลับใบ้แดกเลยเหรอวะ?’
‘อย่าพูดมาก…รีบๆ แดกสเต๊กปลาของมึงเถอะ’
‘สลัดทูน่าค่ะ’
‘ของผมครับ’
ใกล้ยกมือขึ้นเหนือศีรษะเพื่อบอกตำแหน่งกับพนักงานคนนั้น เธอเดินเอาจานสลัดมาวางให้ เขามองมะเขือเทศสีแดงที่ถูกหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ วางอยู่บนผักใบเขียว ใกล้ไม่ค่อยชอบกินมันสักเท่าไหร่ ปกติพี่ชินจะชอบเอาไปกินแทนเขา ใกล้คิดว่าครั้งนี้พี่ชินคงไม่มายุ่งกับจานสลัดของเขาแน่ๆ แต่ทว่าจานสลัดของเขาถูกเลื่อนไปด้านข้างอย่างช้าๆ
ใกล้มองจานสลัดที่หยุดอยู่ตรงหน้าพี่ชิน เ้าตัวใช้ช้อนตักมะเขือเทศชิ้นเล็กๆ ใส่จานเปล่าของตัวเอง ก่อนจะเลื่อนกลับมาให้เขาเหมือนเดิม
‘พี่เอามะเขือเทศออกให้แล้ว…กินได้แล้วครับ’
ใกล้ยิ้ม ก่อนเอ่ย ‘ขอบคุณครับพี่ชิน’
พี่ชินพยักหน้ารับแล้วก้มหน้ากินมะเขือเทศชิ้นเล็กๆ ที่เขาไม่ชอบ พี่ชินเคยบอกว่าเ้าตัวก็ไม่ค่อยชอบกินมะเขือเทศสีแดงๆ เหมือนกัน แต่เพราะเขาดูไม่ชอบมากกว่า พี่ชินเลยยอมกินแทน
ในตอนนี้เขามองจานสลัดด้วยรอยยิ้ม และเมื่อเงยหน้ามองเพื่อนสนิท สิ่งที่เห็นคือรอยยิ้มของกันต์ เ้าตัวพยักหน้าให้เขา คล้ายบอกว่าสิ่งที่เขาคิดจะทำนั้นถูกต้องแล้ว
ใกล้คิดว่า…จะสารภาพรักกับพี่ชินก่อนสอบวันสุดท้าย
เพราะวันสุดท้ายสอบวิชาคณิต
สารภาพรักเสร็จ…ใกล้อาจจะได้รับกำลังใจจากพี่ชินด้วย
:)
กันต์เอง : ใกล้ มึงสอบเสร็จหรือยัง?
กันต์เอง : พี่ชินมารอมึงที่ห้องสมุดแล้ว นั่งที่โต๊ะเดิมเลย ตอนนี้คนไม่ค่อยเยอะด้วย
glaijai : สอบเสร็จแล้ว เรากำลังไป
กันต์เอง : โอเค รีบๆ มานะ
glaijai : อื้อ
ใกล้รีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงหลังจากส่งข้อความสุดท้ายให้กันต์ วันนี้เขาตั้งใจจะสารภาพรักกับพี่ชิน ใกล้วางแผนชวนเ้าตัวมาที่ห้องสมุดในตอนเย็น โดยอ้างว่าสงสัยโจทย์ปัญหาข้อหนึ่งในชีทสรุปข้อสอบของพี่ชิน แต่ความจริงใกล้อ่านจนเข้าใจหมดแล้ว
ส่วนกันต์ที่ไม่มีสอบในวันนี้ เ้าตัวยอมนั่งรถมามหา’ ลัยเพื่อเป็กำลังใจให้เขา กันต์บอกว่าจะแอบดูอยู่ไกลๆ เพราะอยากให้เขากับพี่ชินได้พูดคุยกันอย่างเป็ส่วนตัว ถ้าเขาสารภาพรักกับพี่ชินไปแล้ว เ้าตัวถึงจะปรากฏตัว ใกล้เผยรอยยิ้มเมื่อประโยคคำพูดของเพื่อนสนิทแวบเข้ามาในโสตประสาท
‘สมหวังแล้วนะใกล้ใจ…ฝากพี่ชินดูแลเพื่อนรักของกันต์ด้วยนะ’
กันต์บอกว่าจะพูดแบบนี้ตอนที่เขาสารภาพรักไปแล้ว ใกล้ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม เขารีบสาวเท้าเดินเพื่อให้ถึงห้องสมุดเร็วที่สุด
เมื่อไปถึงห้องสมุด เขาเห็นกันต์หลบอยู่ตรงชั้นหนังสือมุมหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะริมหน้าต่างที่พี่ชินนั่งรอเขาอยู่ เ้าตัวพยักหน้าแล้วชูสองนิ้วให้เขา ใกล้ส่งยิ้มให้กันต์ก่อนจะเดินเข้าไปหาพี่ชิน
วันนี้ดูจะเป็ฤกษ์ที่ดีในการสารภาพรัก เพราะนอกจากเราสามคนและบรรณารักษ์แล้ว ในห้องสมุดก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลย
คงเพราะพี่ชินมัวแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ เ้าตัวเลยไม่รู้ว่าเขามาถึงแล้ว ใกล้เลื่อนเก้าอี้ว่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามออกเล็กน้อย ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงเงียบๆ
‘อ้าว…มาแล้วเหรอ?’
‘ครับ พี่ชินรอนานไหมครับ?’
‘ไม่นานหรอก พี่อ่านหนังสือรอ มันก็เพลินๆ ดี’
‘…’
‘ไหน…โจทย์ข้อไหนที่ใกล้ไม่เข้าใจ’
ใกล้กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะล้วงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ไม่ใช่ชีทสรุปข้อสอบของพี่ชินออกมาจากกระเป๋าเป้ เขามองข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือตัวเองบนกระดาษสีขาว
ข้อความในกระดาษเขียนว่า…
โจทย์ข้อนี้มีอยู่ว่า…ถ้าใกล้จะบอกว่าแอบรักพี่ชินมานานแล้ว ั้แ่ตอนที่อยู่ชมรมบาส ใกล้พยายามจะเข้าไปทำความรู้จักกับพี่ชินหลายรอบแล้ว แต่ไม่สำเร็จสักครั้ง พี่ชินจำใกล้ไม่ได้เลย จนวันหนึ่งพี่ชินเข้ามาทำความรู้จักกับใกล้ ตอนนั้นใกล้ดีใจมากเลยครับ และเราก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ พี่ชินไม่ได้สร้างความทรงจำที่ดีให้ใกล้อย่างเดียว แต่พี่ชินทำให้บางอย่างมันเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ วัน…สิ่งนั้นคือ ‘ความรัก’ ครับ
ใกล้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้อีกฝ่าย พี่ชินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วรับไป ใกล้มองเ้าตัวอ่านข้อความบนกระดาษอย่างตั้งใจ ผ่านไปเพียงชั่วครู่พี่ชินก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ใกล้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมก่อนจะพูดเติมเต็มโจทย์ปัญหาในกระดาษที่ยังไม่สมบูรณ์
‘ผลลัพธ์ของโจทย์ข้อนี้ ใกล้สงสัยว่า…พอจะเป็ไปได้ไหมที่พี่ชินจะรู้สึกแบบเดียวกับใกล้?’
มือทั้งสองข้างเริ่มสั่นเทาในตอนที่แววตาสับสนและไม่มั่นใจของพี่ชินกลับมาอีกครั้ง คล้ายภาพจำในอดีตกลับมาฉายชัดตรงหน้าเขา ใกล้กลืนน้ำลายลงคออีกครั้งแล้วเม้มริมฝีปากแน่น เขาเผื่อใจไว้บ้างแล้ว หากเราใจไม่ตรงกัน
จนมาถึงตอนนี้…
ถ้าผลลัพธ์คือ…ความรู้สึกเราสวนทางกัน
ความจริงอีกอย่างในโลกใบนี้คือ…คำว่า ‘เผื่อใจ’ ไม่มีจริง
และมีอีกอย่างที่เป็ความจริง นั่นคือ…ใกล้คงจะเจ็บมาก
‘ใกล้…’
‘คะ ครับพี่ชิน’
‘พี่ไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี’ พี่ชินพูดก่อนจะถอนหายใจ ใกล้เพิ่งเคยเห็นเ้าตัวแสดงสีหน้าลำบากใจครั้งแรก ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นสบตากับเขา ก่อนเอ่ยต่อ ‘พี่ไม่ได้คิดกับใกล้แบบนั้น’
‘…’
‘พี่คิดกับใกล้แค่น้องคนหนึ่ง’
‘…’
‘พี่ขอโทษนะ…ถ้าพี่ทำอะไรให้ใกล้คิดเกินเลยไปว่าพี่ทำเพราะชอบใกล้’
ใกล้คิดว่าประโยค ‘พี่ไม่ได้คิดกับใกล้แบบนั้น’ เจ็บมากพอแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ ทำไมมันเจ็บมากกว่าเดิมอีกนะ
‘พี่คิดกับใกล้มากไปกว่านี้ไม่ได้จริงๆ’ ตอนนี้แววตาสับสนและไม่มั่นใจของพี่ชินเปลี่ยนเป็มั่นคงและแน่วแน่ เ้าตัวกัดริมฝีปาก ก่อนเอ่ย ‘เลิกรักพี่แบบนี้ได้ไหม?’
ความจริงแล้ว…ความเ็ปมันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก เราสามารถเจ็บได้อีกเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกชาไปทั้งหัวใจ
ไม่นานนักแววตาที่มั่นคงและแน่วแน่ก็ถูกเปลี่ยนเป็ว่างเปล่าและไร้เยื่อใยแทน ‘พี่ไม่เคยขออะไรใกล้เลย แต่ครั้งนี้ถือว่าพี่ขอ…เลิกรักพี่แบบนี้เถอะนะ’
ใกล้ยอมรับว่าเริ่มฟังพี่ชินไม่รู้เื่ั้แ่ประโยค ‘เลิกรักพี่แบบนี้ได้ไหม?’ แล้ว แต่เขาต้องฝืนฟังสิ่งที่พี่ชินพูดต่อไป กระทั่งฝืนเข้าใจในสิ่งที่เ้าตัวร้องขอ ใกล้หลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนตอนส่งกระดาษแผ่นนั้นให้พี่ชิน เขากำลังจะลืมตา ทว่าจมูกที่เริ่มแสบซ่าส่งสัญญาณเตือนให้เขาตั้งสติดีๆ ก่อนจะสบตากับพี่ชินอีกครั้ง
ใกล้ยังคงหลับตา เขาเลือกจะก้มหน้าและให้เวลาตัวเองได้ตั้งสติ ตอนนี้เหมือนใกล้ได้ทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ของเราสองคนไปแล้ว มันพังลงด้วยมือของเขาเอง ใกล้ลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับแววตาว่างเปล่าของอีกฝ่าย
‘ถ้าใกล้…’ ใกล้หยุดเว้น่หายใจ เพราะเสียงเริ่มสั่นเครือ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง ก่อนเอ่ยต่อ ‘ถ้าใกล้เลิกรักพี่ชินแบบ…ฮึก…’
‘…’
ใกล้พยายามแล้ว…พยายามแล้วจริงๆ
‘…ถ้าใกล้เลิกรักพี่ชินแบบคนรักได้…’ ใกล้กุมมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาของตัวเองไว้แน่น ตอนนี้เขาเริ่มเห็นคนตรงหน้าเลือนราง เพราะถูกม่านน้ำตาบดบัง ‘พี่ชิน…ฮึก…ยังกลับมาเป็เหมือนเดิมได้ไหมครับ?’
‘…’
‘ยังรักและเอ็นดูน้องคนนี้เหมือนเดิมได้ไหมครับ?’
ในตอนนี้ที่น้ำตาร่วงหล่น…ใกล้เห็นคนตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง
พี่ชินไม่ตอบ เ้าตัวหันหน้าออกนอกหน้าต่างแทน
‘…’
‘ใกล้จะเลิกรักพี่ชินแบบคนรักให้ได้นะครับ…ขอแค่พี่ชินไม่เปลี่ยนไปได้ไหมครับ?’
พี่ชินหันกลับมาสบตากับเขา ก่อนเอ่ย ‘พี่ขอโทษ…’
‘พี่ชินไม่ผิดหรอกครับ เป็ใกล้ที่ไม่รู้จักห้ามใจตัวเอง’ ใกล้ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาลวกๆ แล้วรีบเอ่ยต่อ ‘ใกล้ผิดเองที่ทำให้พี่ชินลำบากใจ ต่อไปนี้ใกล้จะไม่ทำให้พี่ชินรู้สึกอึดอัดและลำบากใจอีกครับ…ใกล้ให้สัญญาครับ’
พี่ชินก้มหน้าหลบสายตาเขา ‘ใกล้ไม่ต้องให้สัญญาอะไรกับพี่หรอก…แค่ใกล้เลิกรักพี่ให้ได้ก็พอแล้ว’
ใกล้พยักหน้ารับ พร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ‘ครับ…ใกล้ทำได้แน่นอนครับ’
ใกล้คิดว่า…สิ่งที่เ็ปที่สุดคือการที่รับปากไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม เหมือนเขากำลังหยิบเศษแก้วที่แตกละเอียดมาประกอบให้เป็รูปร่างอีกครั้ง แม้รู้ว่ามันไม่มีทางกลับมาเป็เหมือนเดิมได้แล้ว แต่ใกล้ยังคงฝืนทำต่อไปจนมือเต็มไปด้วยาแ
ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามีเืออกที่มือ
เขาเห็น…เขารู้
แต่แค่ยังหวังอยู่…หวังว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็เหมือนเดิม
หวังว่าแววตาว่างเปล่า…จะกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
‘แล้วอีกอย่างที่พี่อยากบอก เพราะคิดว่าใกล้น่าจะเข้าใจผิดจากจุดนี้ด้วย’
‘…’
‘วันนั้นที่ไอ้แม็กบอกว่าพี่แอบชอบรุ่นน้องคนหนึ่งที่โรงเรียน พี่ยอมรับว่าแอบชอบรุ่นน้องที่โรงเรียนจริง…แต่รุ่นน้องคนนั้นไม่ใช่ใกล้’
‘…’
‘เขาเป็รุ่นน้องผู้หญิงที่เรียนอยู่ศิลป์ญี่ปุ่น’
‘…’ แต่ตอนนี้เด็กศิลป์จีนที่เคยเรียนข้างห้องเด็กศิลป์ญี่ปุ่นอย่างเขาเจ็บจนชาไปทั้งตัวแล้ว
พี่ชินเงยหน้าขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ‘พี่พูดความจริงทุกอย่างไปหมดแล้ว…งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ’
‘คะ ครับ’
ใกล้พยักหน้าตอบรับ ทันทีที่พี่ชินลุกออกไปจากโต๊ะ ใกล้ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาย เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเหมือนเด็กๆ พลางถามตัวเองว่า…
‘ไหนว่ารับได้ทุกผลลัพธ์ไงใกล้…แล้วทำไมถึงได้ร้องไห้เป็เด็กๆ แบบนี้ ไม่อายคนอื่นเหรอ?’
แต่ใกล้ไม่มีคำตอบให้ตัวเองหรอก…เขามีแต่คำปลอบใจเท่านั้น
แค่โดนปฏิเสธเอง…ไม่เจ็บมากหรอกน่า อย่าร้องไห้เยอะสิ เดี๋ยวก็ตาบวมหรอก แล้วก็อย่าอ่อนแอนานนะใกล้
ใกล้เงยหน้าขึ้นในตอนที่ฝ่ามือของใครบางคนโอบไหล่เขาไว้ พอเงยหน้ามองถึงได้เห็นกันต์ยืนส่งยิ้มให้เขาอยู่ เ้าตัวใช้มือลูบที่ไหล่ของเขาเบาๆ
‘กันต์…’ ใกล้กัดริมฝีปากที่สั่นระริกของตัวเอง เขายกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตา ก่อนเอ่ย ‘เราไม่สมหวังนะ…ฮึก…แต่อย่างน้อยๆ เราก็ได้หลุดพ้นจากสถานะแอบรักแล้ว’
กันต์พยักหน้ารับ ดวงตาของเพื่อนสนิทแดงก่ำ ‘กูขอโทษที่เตรียมแต่ประโยคแสดงความยินดีตอนที่มึงสมหวังไว้…ไม่ได้เตรียมประโยคปลอบใจตอนที่มึงผิดหวังไว้เลย’
ใกล้หัวเราะทั้งน้ำตา ก่อนจะเอนศีรษะไปซบที่หน้าท้องของเพื่อนสนิท กันต์ยังใช้มือลูบไหล่ของเขาอยู่ ก่อนที่เ้าตัวจะเอามืออีกข้างมาลูบผมของเขาเบาๆ
‘งั้นกูขอใช้ประโยคที่เตรียมมาได้ไหม? ...แต่จะปรับให้เข้ากับสถานการณ์ตอนนี้’
‘อื้อ เอาสิ’
‘ดีใจด้วยนะมึง…ที่หลุดพ้นจากสถานะแอบรักแล้ว’
ใกล้หลับตาแล้วพยักหน้ารับ ‘ขอบคุณนะกันต์…ขอบคุณที่ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร กันต์ก็ยังอยู่กับเราเสมอ’
‘กูจะเป็เพื่อนกับมึงตลอดไป’
ประโยคปลอบใจของกันต์ตอนอยู่ที่มหา’ ลัยช่วยพยุงร่างอ่อนแรงและหัวใจที่แสนบอบช้ำของเขาจนมาถึงคอนโด กันต์บอกว่าวันนี้อยากมานอนค้างกับเขา เ้าตัวไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียว เพราะกลัวจะกลับมาร้องไห้หนักๆ อีก แต่ใกล้ยืนยันว่าอยู่คนเดียวได้จริงๆ กันต์ถึงยอมปล่อยให้เขานอนคนเดียวในคืนนี้
ใกล้วางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะหนังสือ ก่อนจะเดินไปหยิบสรุปข้อสอบของวิชาอื่นๆ ที่ทำเตรียมไว้อ่าน พรุ่งนี้เขามีสอบอีกสามวิชา ตอนนี้ใกล้ต้องสลัดทุกความคิดออกไปจากหัวเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก่อน
ใกล้เสียใจและผิดหวังได้
แต่พ่อที่คอยเป็กำลังใจให้เขาตลอด
จะเสียใจและผิดหวังในตัวเขาไม่ได้…
เขาเลือกใช้วิธีเดิมที่มักจะทำก่อนอ่านหนังสือ่สอบ ดวงตาเรียวรีที่บวมเล็กน้อยจากการร้องไห้ค่อยๆ ปิดลง ภาพสีดำสนิทในตอนนี้กำลังช่วยจัดการความรู้สึกว้าวุ่นมากมายที่ผุดขึ้นในหัว ตราบใดที่สมองและหัวใจยังคงวุ่นวายอยู่ ใกล้จะไม่เริ่มอ่านหนังสือเด็ดขาด
และโชคดีที่ครั้งนี้…
สมองและหัวใจของเขาไม่ดื้อสักเท่าไหร่
เปลือกตาสีอ่อนเลิกเปิด ก่อนจะหยิบสรุปข้อสอบกองโตมาวางตรงหน้า ใกล้เหลือบมองแก้วน้ำสีเหลืองที่มีปากกาเสียบอยู่ เขาเลือกหยิบปากกาสีๆ ออกมาแล้วคว้ากระดาษเปล่ามาอีกหนึ่งแผ่น ใกล้อ่านสรุปข้อสอบอย่างตั้งใจ ส่วนสำคัญในเนื้อหาของแต่ละวิชาที่จำได้ไม่ดีนัก เขาก็ต้องเขียนซ้ำลงในกระดาษเปล่าอีกครั้ง
พ่อสอนเคล็ดลับนี้ให้เขา…
พ่อบอกว่า…ถึงเราจะสรุปเนื้อหาไว้อย่างดีแล้ว
แต่ก็ใช่ว่าเราจะจำได้ทั้งหมด
การเขียนส่วนสำคัญแยกย่อยออกมาอีก…ถือเป็การทบทวนที่ดีที่สุด
ใกล้อ่านสรุปข้อสอบทั้งสองวิชาเสร็จตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ทว่ายังเหลืออีกหนึ่งวิชา แม้ใกล้จะอ่านสรุปข้อสอบปึกนั้นมาหลายรอบมากแล้ว แต่เขาควรจะอ่านทบทวนอีกรอบเพื่อความมั่นใจ
คนที่นั่งจ้องกระเป๋าเป้ถอนหายใจ ก่อนจะฝืนใจลากมันมาใกล้ๆ เพื่อรูดซิปเปิดเอาสรุปข้อสอบวิชาคณิตออกมาอ่านต่อ แค่เห็นตัวหนังสือที่เป็ลายมือของพี่ชิน ประโยคคำพูดและแววตานั้นที่พยายามเก็บซ่อนไว้ให้อยู่ลึกสุดใจก็โดนเรียกกลับมาอีกครั้ง
ทุกความรู้สึกที่พี่ชินสื่อออกมาทางแววตาเหมือนมีดกรีดลงที่หัวใจของเขาซ้ำๆ ตอนนี้ใกล้ยอมรับว่าไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลย แต่ตารางสอบที่บอกว่าเขามีสอบวิชาคณิตพรุ่งนี้ ทำให้ใกล้ไม่มีตัวเลือกมากนัก
ใกล้คิดว่าต้องฝืนอ่านสรุปข้อสอบวิชานี้ให้เสร็จเร็วที่สุด แต่เมื่อเขาได้ลองเปิดอ่านเนื้อหาในแต่ละหน้าแล้ว ใกล้เพิ่งรู้ว่ากว่าสายตาจะไล่ผ่านตัวอักษรไปได้นั้นยากเหลือเกิน ทว่าเขายังคงอ่านต่อไปจนตัวหนังสือตรงหน้าเริ่มเลือนราง สิ่งที่มาบดบังตัวหนังสือที่คอยตอกย้ำให้เขาปวดร้าวหัวใจคงเป็น้ำตาเพื่อนรักอีกเช่นเคย
ใกล้ไม่กล้ากะพริบตา เพราะกลัวน้ำสีใสที่มาเอ่อล้นรอบขอบตาจะหยดลงบนสรุปข้อสอบของพี่ชิน เ้าตัวอุตส่าห์ใจดีให้เขายืมมาอ่าน ใกล้ควรจะรักษาสรุปข้อสอบนี้ให้ดีที่สุด มันจะต้องกลับไปหาเ้าของในสภาพเดิม ไม่ควรเปรอะเปื้อนอะไร
โดยเฉพาะ…น้ำตาของเขา
แต่แล้ว…น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ร่วงหล่นลงสู่สรุปข้อสอบของคนที่เขาแอบรักมาเนิ่นนาน ใกล้รีบคว้ากระดาษทิชชูมาเช็ดหยดน้ำตาบนกระดาษ ก่อนจะใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาที่เปื้อนอยู่ข้างแก้ม
ใกล้คิดว่าตัวเองเช็ดหยดน้ำตาบนสรุปข้อสอบของพี่ชินเร็วมากแล้ว แต่น้ำตาที่ถูกกลั่นออกมาจากความเสียใจกลับซึมลึกอย่างรวดเร็ว
เนื้อหาบทที่ 5 จึงมีร่องรอยความเสียใจของเขาเปื้อนอยู่
สุดท้าย…ใกล้ก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาโดยไม่เก็บกลั้น เหตุผลที่เขาไม่อยากร้องไห้บ่อยๆ เพราะไม่อยากเห็นตัวเองอ่อนแอนานๆ แต่ใกล้ก็เข้าใจเหมือนกันว่าาแที่เพิ่งเกิดและยังสดใหม่อยู่ ไม่สามารถรักษาให้หายได้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่มีหนึ่งสิ่งที่ช่วยบรรเทาให้ความเ็ปลดน้อยลงได้…สิ่งนั้นคือ ‘น้ำตา’
ตัวเขาไม่ได้ใหญ่โตกว่าคนอื่นเลย แต่ทำไมมีน้ำตาเยอะขนาดนี้นะ คงเพราะน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ อย่างห้ามไม่ได้ถูกกลั่นมาจากความเ็ปที่อยู่ภายในใจ
มันถึงได้มีจำนวนมหาศาลขนาดนี้ไง…
มือเรียวทั้งสองข้างวางทาบบนดวงตาที่เปียกชื้นและอุ่นร้อน ใกล้คิดว่าตัวเองร้องไห้เยอะไปแล้วจึงพยายามห้ามด้วยการใช้ฝ่ามือกดบนเปลือกตา เขาออกแรงเพิ่มขึ้นจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ใกล้ไม่ได้คิดทำร้ายตัวเอง เขาหวังแค่ให้น้ำตาหยุดไหลเท่านั้น
แต่มันไม่ยอมหยุดเลย
ยังคงไหลแบบนี้ทั้งคืน…จนกระทั่งหลับไป
หลังจากสอบเสร็จได้สามวัน สภาพจิตใจของเขาก็เริ่มดีขึ้น ใกล้ไลน์ไปหาพี่ชินเพื่อจะเอาสรุปข้อสอบไปคืนให้ เ้าตัวบอกว่าจะมาเอาตอนพักเที่ยงที่โรงอาหาร ใกล้จึงมานั่งกินข้าวรอกับกันต์ ั้แ่สารภาพรักไปวันนั้น พี่ชินก็ไม่มากินข้าวกับเราสองคนเลย ไม่ค่อยตอบไลน์ ไม่รับสาย แต่ใกล้ไม่โกรธพี่ชินหรอก
ความจริงคือ…ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธพี่ชิน
ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเลย…
‘ใกล้…’
คนที่โดนเรียกเงยหน้าขึ้นมอง ‘พี่แม็ก’
‘อือ พี่เอง…ไอ้ชินให้พี่มาเอาชีทของมันอะ’
‘แล้วพี่ชินไปไหนครับพี่แม็ก?’ กันต์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาถามขึ้น
‘นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว พี่ถามว่าทำไมไม่มานั่งกับพวกเราก็ไม่ตอบ…’ พี่แม็กถอนหายใจ ก่อนเอ่ยต่อ ‘ทะเลาะกันเหรอวะ?’
ใกล้คิดว่าคงไม่มีคำตอบไหนเหมาะไปกว่า… ‘ก็ไม่เชิงครับ’
‘แล้วมันยังไงวะ?’
‘กันต์ว่าพี่แม็กรีบเอาชีทไปคืนพี่ชินเถอะครับ เดี๋ยวพี่ชินจะรอนาน’ กันต์คว้าสรุปข้อสอบไปจากมือเขา เ้าตัวยัดมันใส่มือพี่แม็กที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘เออ…กูไปก็ได้’
ใกล้ถอนหายใจหลังจากพี่แม็กเดินจากไป เขาไม่รู้จะตอบยังไงดี ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะพี่ชินยังไม่เล่าเื่นี้ให้เพื่อนตัวเองฟังเลย ใกล้ก็ไม่ควรพูดหรอก
‘มึง โอเคปะเนี่ย?’
‘เราโอเค’
‘ปากบอกว่าโอเค…แต่หัวใจไม่โอเคหรอก’
‘…’
‘เมื่อวานพี่ชินไปหาเพื่อนเขาที่คณะกู…พอพี่ชินเห็นกู เ้าตัวก็รีบเดินหนีไปเลย’
‘…’
‘ดูก็รู้ว่าตั้งใจหลบหน้ากู’
‘เราขอโทษนะกันต์…เป็เพราะเราแท้ๆ พี่ชินถึงไม่คุยกับกันต์ไปด้วยเลย’
‘มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก…พี่ชินโตขนาดนี้แล้วนะ ควรจะแยกแยะปะวะ?’
‘…’
‘ยังไม่พร้อมเจอมึง กูพอเข้าใจได้นะ…แต่หลบหน้ากูไปด้วย กูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่’
‘พี่ชินกลัวต้องตอบคำถามอะไรหรือเปล่า?’
กันต์ส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ก่อนเอ่ย ‘ตอนนี้กูดูเห็นแก่ตัวที่เข้าข้างเพื่อนตัวเอง แต่กูยอมเป็คนเห็นแก่ตัว แล้วถ้ากูได้เจอพี่ชินจังๆ นะ กูจะพูดว่า…พี่ชินโคตรใจร้ายเลยว่ะ’
‘…’
‘ไม่อยากเจอพวกเราเหมือนเดิมก็ไม่เป็ไร แต่อย่าทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันแบบนี้ดิ’
‘…’
‘ยิ้มให้กันบ้างก็ยังดี’
‘ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปก็เพราะเราเอง’
‘…’
‘ไม่มีใครใจร้ายหรอกกันต์…ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง’
‘…’
‘กันต์ไม่ต้องเป็ห่วงเรานะ เราเก่งขนาดไหนกันต์ก็รู้’ ใกล้พูดพร้อมส่งยิ้มให้เพื่อน กันต์ถอนหายใจพลางส่ายหน้า เ้าตัวดูไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นเลย ‘เราโอเคแล้วจริงๆ นะ’
‘ไปหลอกคนอื่นเลย…อย่ามาหลอกเพื่อนสนิทอย่างกู’
‘…’
‘เจ็บก็บอกว่าเจ็บ…เข้าใจไหมใกล้?’
รอยยิ้มที่แสนขมขื่นค่อยๆ จางหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยกระบอกตาที่ร้อนผ่าว ‘อื้อ…เข้าใจ’
‘...’
‘เราเจ็บมากเลยกันต์’
‘ใกล้ใจของกู…’ กันต์ส่งมือมายีหัวเขาเบาๆ เพื่อปลอบโยน ‘กลับมาเป็คนเก่งให้ได้เร็วๆ นะ’
‘อื้อ…รอหน่อยนะ อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวใกล้ใจคนเก่งก็กลับมาแล้ว’
คำว่า ‘อีกไม่นาน’ ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนทำให้คำนี้มีระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน แต่บางคนอาจจะทำให้มันมีระยะเวลาร่วมปี ใกล้คิดว่าสิ่งที่ส่งผลให้คำนี้มี่เวลาที่ยาวนานขึ้นเกิดจากบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้
เช่น ความคิดและคำพูดของคน
อย่างเช่นตอนนี้เื่ที่เขาสารภาพรักกับพี่ชินกลายเป็ที่สนใจของเพื่อนร่วมสาขา ใกล้ใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ในการเยียวยาหัวใจตัวเอง เขากำลังเรียกใกล้ใจคนเก่งกลับมาได้แล้ว และเกือบทำให้คำว่า ‘อีกไม่นาน’ มีระยะเวลาไม่ถึงปี ทว่าทุกอย่างที่ใกล้พยายามทำพังลงภายในเสี้ยววินาที เพียงเพราะได้ยินประโยคสนทนาของเพื่อนร่วมคลาส
‘คนนี้ใช่ปะมึง? ...ที่ไปบอกรักพี่ชินอะ’
‘เออ คนนี้แหละ’
‘กูเคยเห็นออกไปเต้นกับพี่ชินที่ซุ้มรับน้อง’
‘เห็นว่าเป็รุ่นน้องที่โรงเรียนด้วย…คงแอบชอบพี่ชินมานานแล้วแน่ๆ’
‘แต่พี่ชินไม่ได้ชอบไง’
‘จริงๆ ไม่น่าไปสารภาพรักหรอก เสียพี่เสียน้องเลย’
‘ใกล้ก็คงคิดว่าพี่ชินชอบตัวเองปะ?’
‘คิดเข้าข้างตัวเองอะนะ’
‘ใช่’
แม้ใกล้จะได้ยินบทสนทนาแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่ชินสักที หัวใจมันยังเจ็บ ภาพต่างๆ ยังคงวนกลับเข้ามาในหัว ใกล้เลือกนั่งเก้าอี้ด้านหน้าเพื่อเลี่ยงการได้ยินบทสนทนาพวกนี้ แต่ทว่าเขาไม่เคยหนีพ้นเลยสักครั้ง เสียงของเพื่อนร่วมคลาสยังดังเล็ดลอดมาให้ได้ยินเสมอ
‘ใกล้…’
เ้าของชื่อที่ถูกเรียกหันมองเพื่อนสนิทที่เคลื่อนมือมาลูบแขนเบาๆ ‘เราโอเคเค้ก’
เพราะว่าเื่ของเขาที่สารภาพรักกับพี่ชินกลายเป็ประเด็นร้อนในสาขาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ใกล้จึงตัดสินใจเล่าเื่นี้ให้เพื่อนสนิททั้งสองคนฟัง เขาไม่เคยบอกเค้กกับส้มมาก่อนว่าแอบชอบพี่ชิน เมื่อทั้งสองคนรู้เื่ก็พูดปลอบใจเขากันยกใหญ่
‘โอเคก็บ้าแล้ว’ ส้มที่นั่งอยู่ข้างๆ เค้กพูดขึ้น ก่อนจะหันไปมองเพื่อนร่วมคลาสที่นั่งอยู่ด้านหลัง ‘ข้างหลังคุยกันเบาๆ ได้ปะคะ?’
‘อาจารย์ยังไม่เข้าเลย…เราคุยกันเสียงดังก็ไม่ผิดปะ?’
‘มารยาทไง…หัดมีมารยาทกันหน่อย’
‘ส้ม…’ ใกล้ร้องห้ามเมื่อเห็นส้มกำลังเถียงกับผู้หญิงกลุ่มนั้น ‘อย่ามีเื่เพราะเราเลย’
ส้มดูหงุดหงิดที่โดนเขาห้าม ก่อนจะหันกลับมามองเขา ‘พวกนั้นไม่มีมารยาทเลยใกล้’
‘เื่ที่พวกเขาพูดมันคือความจริง…เราทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับ’
‘…’
‘เราเชื่อว่าอีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มีเื่อื่นมาแทนเื่ของเรา’
‘…’
‘พวกเขาก็แค่หาเื่ไว้คุยกันสนุกๆ ในกลุ่ม ออกจากห้องเรียนไป พวกเขาก็ไปเที่ยว ดูหนัง กินข้าวกันอย่างมีความสุขแล้ว ไม่ได้สนใจว่าจะเผลอทำให้ใครรู้สึกแย่หรือเปล่า…เพราะฉะนั้นเราต้องทิ้งความรู้สึกแย่ๆ ที่พวกเขาก่อโดยไม่รู้ตัวไว้ในห้องนี้เหมือนกัน อย่าเอาติดตัวกลับบ้านไปด้วย’
‘…’
‘เพราะถ้าเรากลับไปทุกข์คนเดียว…ไม่มีใครมารับผิดชอบความรู้สึกเราหรอก’
‘ใกล้…แกเป็คนดีจนแบบ…’ ส้มถอนหายใจ ก่อนเอ่ยต่อ ‘ฉันสัญญาว่าเวลาไปทำบุญ สิ่งแรกที่จะขอกับพระคือ…ฉันจะขอให้แกเจอคนรักดีๆ ขอให้คนรักของแกดีจนคนทั้งโลกต้องอิจฉา’
ใกล้หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้ารับเพื่อนสนิท ‘ขอบคุณนะส้ม…ที่เราพูดเมื่อกี้ เราไม่ได้พูดเตือนแค่ตัวเองนะ ส้มกับเค้กก็ด้วย ถ้าเจออะไรแบบนี้อีก อย่าไปต่อล้อต่อเถียงถ้ามันไม่จำเป็’
‘…’
‘แต่ถ้าคนอื่นพูดเกินจริงมากไป…ถึงตอนนั้นเราค่อยพูด’
‘…’
‘…เพราะเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว’
ใช่…เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้วนะใกล้
‘ใกล้ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าใครเอาเื่นี้มาพูดในสาขาคนแรก’ เค้กเอ่ยถาม
คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อยๆ พลางคิดทบทวนอีกครั้ง ก่อนเอ่ย ‘เื่นี้มีแค่เรา พี่ชิน และก็กันต์เท่านั้นที่รู้...แล้ววันนั้นในห้องสมุดไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ โต๊ะของเราเลย’
‘กันต์ที่เป็เพื่อนต่างคณะของแกคงไม่พูดแน่ๆ เพราะแกเคยบอกว่าเป็เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันตอนมัธยม ฉันว่าเพื่อนสนิทแกไม่น่าจะพูดหรอก’
‘เรารู้ว่ากันต์ไม่พูดแน่ๆ’
‘…’
‘ส่วนพี่ชิน…เราว่ายิ่งไม่พูดไปใหญ่ เพราะพี่ชินยังไม่เล่าเื่นี้ให้พี่แม็กที่เป็เพื่อนสนิทฟังเลย…’ ใกล้เม้มริมฝีปากเพื่อเก็บกลั้นความรู้สึก ก่อนเอ่ย ‘คนที่อยากลืมเื่วันนั้นมากที่สุด…ไม่มีทางเล่าเื่นี้ให้ใครฟังหรอก พี่ชินคงอยากซ่อนมันไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ววิ่งหนีไปให้ไกลเลยแหละ’
‘นั่นสิ…เพราะถ้าพี่ชินพูด พี่ชินก็ต้องรู้ว่าเื่นี้จะถูกเอาไปเล่าต่อๆ กันอีก คราวนี้เื่ก็ไม่จบสักที…ถูกเอาไปคุยกันสนุกปากอีกนานเลย’
ส้มพยักหน้าคล้ายเห็นด้วยกับเค้ก ‘…แล้วพี่ชินก็จะได้ยินเื่นี้ซ้ำๆ ซึ่งเ้าตัวคงไม่อยากได้ยินสักเท่าไหร่’
‘งั้นก็ตัดพี่ชินไปเลย’ เค้กว่า
‘ถ้าตัดพี่ชินออกจริงๆ เท่ากับตอนนี้หมดตัวเลือกแล้วนะ…ไม่เหลือผู้ต้องสงสัยแล้วสิ’
‘ความจริงเราสามารถสาวไปถึงตัวคนแรกได้นะ เราแค่ถามไปเรื่อยๆ ว่าได้ยินมาจากใคร เดี๋ยวก็รู้เองว่าคนคนนั้นเป็ใคร’ ใกล้นิ่งเงียบ ก่อนเอ่ยต่อ ‘ตอนแรกเราอยากทำแบบนั้นมากๆ เลย…แต่พอเรามาคิดทบทวนดูดีๆ การไม่รู้ว่าใครเป็คนเริ่มคงดีกว่า’
‘…’
‘เราไม่รู้จะเสียเวลาทำแบบนั้นไปทำไม…ในเมื่อสิ่งที่ทุกคนพูดมันก็คือเื่จริง’
‘…’
‘แต่มันก็มีแวบหนึ่งที่คิดว่า…ถ้าคนคนนั้นไม่พูดเื่นี้ให้คนในสาขารู้ เราคงหายเจ็บเร็วกว่านี้ เพราะเราจะไม่ได้ยินเื่นี้ซ้ำๆ’
‘เอาจริงๆ นะ…ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็ใคร ก็ไม่ควรเอาเื่แบบนี้มาเล่าให้คนส่วนใหญ่รับรู้ ไม่ใช่เพราะมันน่าอายที่โดนปฏิเสธ…แต่เพราะมันเป็เื่ที่ส่งผลต่อความรู้สึกมากๆ’
‘…’
‘คนคนหนึ่งที่โดนปฏิเสธ…ไม่ใช่แค่เื่ของความรัก แต่ไม่ว่าจะด้วยเื่อะไร พวกเขาต้องเสียใจกับการโดนปฏิเสธแน่นอน…จะเสียใจมากหรือน้อยก็แล้วแต่ความคาดหวังและภูมิต้านทานทางความรู้สึกของแต่ละคน แต่สิ่งที่ทุกคนควรรู้คือ คนที่ผิดหวังมา…เขาอาจจะพยายามอย่างมากที่จะก้าวข้ามผ่านบางอย่าง หรือกำลังจะเข้มแข็งขึ้นแล้ว’
‘…’
‘แต่…ทุกอย่างก็ต้องพังลงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำที่มันสะกิดหัวใจ’
‘…’
เค้กถอนหายใจก่อนเอ่ยหลังจากส้มพูดจบ ‘เื่ของความรู้สึก…พูดยากมากเลยอะ’
‘ไม่ได้พูดยากอย่างเดียวนะเค้ก รักษายากด้วยจ้า’
ประโยคคำพูดของส้มซึมลึกเข้าไปในใจของเขา คงเพราะลึกๆ ภายในใจใกล้คิดแบบนั้นเหมือนกัน สิ่งที่เพื่อนพูดถึงได้กินใจจนพูดไม่ออก
ใกล้รู้ดีว่าทุกคนมีสิทธิ์พูด และใกล้ไม่ได้คิดว่าคนที่พูดเื่ของเขาผิด เพราะคนคนนั้นพูดเื่จริง แต่ใกล้แค่อยากให้เห็นใจกันบ้าง
ไม่ได้เห็นใจแค่เขาเท่านั้น
แต่ช่วยเห็นใจทุกคนที่กำลังเผชิญกับเื่ร้ายๆ อยู่
อย่าให้คำพูดของเรากลายเป็ฝันร้ายของใครเลย
เพราะต่อให้พยายามลืมแค่ไหน…แต่ถ้าฝันร้ายซ้ำๆ อยู่ทุกวัน
จะลืมได้ยังไง…
‘มันมีความเป็ไปได้ไหมใกล้…ที่จะมีคนในสาขาแอบไปเห็นใกล้ในห้องสมุดตอนสารภาพรักกับพี่ชิน’
‘มันจะบังเอิญขนาดนั้นเลยเหรอเค้ก? ...คนที่ได้ยินดันเป็คนในสาขาเราด้วยเนี่ยนะ’ ส้มถามพร้อมขมวดคิ้วมากกว่าเดิม
ใกล้นึกย้อนไปถึงวันนั้นอีกครั้ง ก่อนเอ่ย ‘วันนั้นในห้องสมุดมีแค่เรา กันต์ พี่ชิน และบรรณารักษ์’
ยิ่งแน่ใจว่าวันนั้นไม่มีคนอื่นจริงๆ เขายิ่งไม่อยากรู้ว่าคนที่เริ่มเล่าเื่นี้ให้เพื่อนในสาขาฟังคือใคร สิ่งเดียวที่ใกล้จะถนอมหัวใจตัวเองไม่ให้กลับไปรู้สึกแย่เหมือนเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนคือการเชื่อใจ
ใกล้เชื่อใจกันต์…และใกล้เชื่อใจพี่ชิน
แค่เท่านี้…ใกล้ก็ไม่อยากรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว
แค่เท่านี้…ใกล้ก็ไม่ต้องกลัวเสียใจอีกแล้ว
ใกล้เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘หากตามหาความจริงแล้วทำให้ต้องเสียใจ จงปล่อยให้มันหลบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น’ เขาจึงเลือกปล่อยให้ความจริงได้หลบซ่อนตัวโดยไม่คิดจะตามหามันอีก ใกล้ไม่้าความจริงใดๆ มาช่วยพยุงให้ก้าวเดิน เขาจะก้าวข้ามผ่านทุกเื่ราวไปด้วยตัวเอง
‘ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าใครมันปากบอนเอามาพูดจนทำให้พวกขี้นินทาเอาไปคุยเล่นกันสนุกปาก’
‘อย่าไปอยากรู้เลยส้ม…เรามาคิดๆ ดูแล้วนะ…โบ้ยให้บรรณารักษ์ห้องสมุดไปดีกว่า’ เค้กเอ่ย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา ‘…คิดแบบนี้สบายใจดีเนอะใกล้’
ใกล้หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ เค้กคงคิดไม่ต่างจากเขา ใกล้รู้ว่าเ้าตัวไม่ได้แนะนำให้เขาหนีความจริง แต่เพื่อนแค่อยากให้เขาเข้มแข็งได้เร็วๆ
‘ไม่ต้องโบ้ยให้พี่บรรณารักษ์หรอกเค้ก สงสารพี่เขาน่ะ’ ใกล้พูดปนขำ ก่อนเอ่ยต่อ ‘เราชอบคิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป…แค่นี้ก็ทำให้เราสบายใจขึ้นแล้ว’
แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ผ่านไปง่ายๆ
‘สู้ๆ นะใกล้ เราเป็กำลังใจให้นะ’
‘ฉันก็เป็กำลังใจให้แกด้วยอีกคน’
แต่ใกล้จะผ่านไปให้ได้…
หลังจากเรียนเสร็จ ใกล้กับเพื่อนสนิททั้งสองคนก็เก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน แต่เขาคงดูรีบร้อนกว่าทุกวัน ส้มถึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
‘วันนี้รีบไปไหนเหรอใกล้?’
‘วันนี้เราว่าจะกลับบ้านน่ะ…คุณลุงคนขับรถเลยมารับ เมื่อกี้คุณลุงโทรมาบอกว่าจอดรถรอเราได้สักพักแล้ว เราเกรงใจคุณลุง ไม่อยากให้รอนาน ก็เลยว่าจะรีบเก็บของแล้วลงไปที่ลานจอดรถ’ ใกล้ตอบขณะรูดซิปกระเป๋าเป้ของตัวเอง
‘ดูสิเค้ก…เกรงใจกระทั่งคนขับรถบ้านตัวเอง’
‘เราเชื่อว่าคนดีพระจะคุ้มครอง’
คนตัวเล็กที่ถูกพูดถึงอยู่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อนทั้งสองคน ‘แล้ววันนี้เค้กกับส้มจะไปไหนต่อ?’
‘ฉันว่าจะขึ้นไปหาแฟนที่ชั้นสิบสอง’
‘เราจะไปส่งงานอาจารย์นุที่ชั้นสิบสี่’
‘อ่า…ไม่มีใครลงชั้นล่างเหมือนเราเลยสินะ’
‘ใช่~’
‘ลงลิฟต์คนเดียวได้ใช่ไหมใกล้ใจ?’
ใกล้หลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงัก ‘ใกล้ใจอายุสิบเก้าแล้วนะ ลงลิฟต์คนเดียวได้สบายมากๆ’
‘โอเค…งั้นพวกเราไปรอลิฟต์กัน’
คนตัวเล็กที่สูงกว่าเพื่อนผู้หญิงทั้งสองคนไม่เท่าไหร่เดินออกมายืนรอลิฟต์ ไม่นานนักใกล้ก็ต้องโบกมือลาเค้กกับส้มที่เข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน ตอนนี้เขายืนรอลิฟต์อยู่คนเดียว ดวงตาเรียวรีจ้องมองลูกศรที่ชี้ลงด้านล่างเพื่อบอกว่าลิฟต์ด้านขวาที่กำลังเคลื่อนลงมาจากชั้นสิบสองกำลังลงมารับเขา แต่ทว่าลิฟต์อีกตัวที่อยู่ด้านซ้ายก็เปลี่ยนจากลูกศรชี้ขึ้นเป็ลูกศรชี้ลงแล้ว ใกล้อมยิ้มเมื่อรู้ว่าตัวเองมีตัวเลือกถึงสองตัว
ฝั่งไหนคนไม่เยอะก็ไปฝั่งนั้นแหละ…
ในระหว่างที่ใกล้รอลิฟต์อยู่นั้น เขาก็ละสายตาจากลูกศรสีแดงเพื่อหันมองรุ่นพี่ปีสองที่มายืนรอลิฟต์ข้างๆ ถ้าจำไม่ผิดใกล้เคยเห็นพี่ๆ กลุ่มนี้ที่ซุ้มรับน้อง
‘โดนด่าเสียหมาเลยกู’
‘สมควรแล้ว มึงเล่นทำงานชุ่ยๆ ส่งอาจารย์อะ’
‘นอกจากเสียหมาแล้ว กูยังหูชาอีกเนี่ย’
ใกล้ไม่ได้ตั้งใจฟังรุ่นพี่คุยกันหรอก แต่เพราะเราอยู่ใกล้กันพอสมควร เขาถึงได้ยินประโยคสนทนาของอีกฝ่ายชัดเจน แล้วจากที่ได้ยิน…ใกล้คิดว่ารุ่นพี่กลุ่มนี้คงเพิ่งส่งงานเสร็จจากห้องคณะแน่ๆ เลย
ติ้ง!
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ใกล้ละความสนใจจากรุ่นพี่แล้วมองประตูลิฟต์ที่เปิดออก เมื่อเขาเข้าไปภายในลิฟต์ที่อยู่ด้านขวา ใกล้เห็นรุ่นพี่กลุ่มนั้นทยอยเข้าลิฟต์ที่อยู่ด้านซ้าย เขาจึงอยู่ในตู้สี่เหลี่ยมนี้คนเดียว
นิ้วเรียวเอื้อมไปกดปุ่มที่เป็สัญลักษณ์สั่งปิด ใกล้มองประตูเหล็กที่คล้ายกระจกสะท้อนกำลังเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้าๆ ทว่าเสียงคุ้นเคยของใครบางคนที่ดังเล็ดลอดเข้ามาในช่องว่างที่เหลืออยู่น้อยนิด ทำให้ใกล้รีบกดปุ่มเปิดประตูทันที
‘รอด้วยครับ!’
ใกล้ไม่ได้เปิดประตูรอเพราะเ้าของเสียงนั้นร้องขอไปด้วย
แต่เพราะเขารู้ว่าเ้าของเสียงนั้นเป็ใคร
และเมื่อประตูเปิดกว้างมากพอ
‘พี่ชิน…’
ก็ทำให้ใกล้รู้ว่า…สิ่งที่พยายามทำมาตลอดหลายสัปดาห์
‘…’
มันยังไม่มากพอที่จะสู้สายตาไร้เยื่อใยของอีกคนได้
ใกล้นิ่งเงียบ จ้องมองพี่ชินอยู่อย่างนั้น เขายังกดปุ่มเปิดค้างไว้ เพราะใกล้ยังหวังว่าพี่ชินจะลงลิฟต์ไปกับเขา ทว่าเ้าตัวหลบสายตาแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่ด้านซ้ายแทน เสียงของลิฟต์ตัวข้างๆ ที่ดังแจ้งเตือนน้ำหนักเกินทำให้ใกล้รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ
ไม่รู้เป็เพราะในลิฟต์ของเขาเงียบสงบจนเกินไปหรือเพราะรุ่นพี่คุยกันเสียงดังกว่าปกติ ใกล้ถึงได้ยินบทสนทนาของรุ่นพี่ปีสามกลุ่มนั้นที่อยู่ในลิฟต์ด้านซ้าย…
‘ไอ้ชิน…ออกไปเลยไอ้ห่า’
‘เออ น้ำหนักเกินแล้ว’
‘ขอไปด้วยไม่ได้เหรอวะ?’
‘ไม่ได้ๆ มึงออกไปรอลิฟต์ใหม่เลย’
‘เมื่อกี้กูเห็นลิฟต์อีกตัวมีน้องตัวเล็กๆ เข้าไปแค่คนเดียวเอง มึงจะมาอัดกับพวกกูทำไมวะ?’
บทสนทนาพวกนี้…
‘กูอยากไปกับพวกมึงมากกว่า’
ทำให้ใกล้เคลื่อนนิ้วจากปุ่มเปิดประตูไปหยุดที่ปุ่มปิดแทน
เขากดปุ่มนั้นเพื่อสั่งปิด…ปิดหัวใจที่ยังแอบหวัง
ปิดหัวใจให้สนิท…แล้วตัดใจจริงๆ ซะที
ใกล้มองประตูเหล็กเคลื่อนเข้าหากันอย่างช้าๆ อีกครั้ง เมื่อประตูปิดสนิทจึงเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ตรงหน้า ในตอนนี้ใกล้รู้สึกแสบซ่าที่จมูก ภาพสะท้อนตรงหน้าเริ่มเลือนราง ใกล้กัดริมฝีปากของตัวเองเมื่อรู้ว่าม่านน้ำตาที่ก่อตัวคล้ายกำแพงหนาจะพังลงในไม่ช้า
แม้จะมองภาพตรงหน้าไม่ชัดเจน แต่ด้วยความเคยชินทำให้ใกล้รู้ว่าจะต้องกดปุ่มไหนเพื่อจะพาเขาไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาดึงมือที่เย็นเฉียบกลับมาไว้ข้างกายหลังจากกดปุ่มเลือกชั้นเสร็จ ใกล้พยายามสลัดทุกความคิดออกไปจากหัว
นาทีนี้…การทำให้สมองว่างโล่งคงดีที่สุด
แต่จู่ๆ บทเพลงหนึ่งที่เคยฟังวนซ้ำๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ดังขึ้นในโสตประสาท ทำนองเพลงดังชัดจนเหมือนเปิดฟังอยู่ในตอนนี้ ทั้งที่กำลังยืนอยู่คนเดียวในตู้สี่เหลี่ยม
และเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ดังขึ้นมาในหัว
‘ฝืนใจเอาหน่อย ถึงยังรัก แต่เขาไม่รัก เราคงต้องปล่อย…ปล่อยให้เขาไปดีกว่า’
ทำให้ม่านน้ำตาที่แสนเปราะบาง
‘แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี แล้วใจของเธอจะเปลี่ยนไป แล้ววันหนึ่งเขาจะหายไป แม้วันนี้จะยังรู้สึก แม้จะยังคิดถึงเขาอยู่ ทุกลมหายใจ’
กับหัวใจที่แสนบอบช้ำ…พังทลายลงมาพร้อมกัน
รวมถึงร่างกายที่ทรุดลงกับพื้น…
ใกล้รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนต้องนั่งลงกับพื้น เขาวาดแขนทั้งสองข้างกอดเข่าตัวเองก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นปิดริมฝีปากเพื่อเก็บเสียงสะอื้น ใกล้คิดว่าอาจจะมีใครบางคนเห็นเขาร้องไห้ผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในลิฟต์ แต่ความเ็ปในเวลานี้ทำให้เขาไม่สนใจอะไรแล้ว ใกล้ขอให้น้ำตาช่วยชำระล้างแววตาไร้เยื่อใยของใครบางคนกับบทสนทนาที่เหมือนเขาไม่มีตัวตนออกไปจากหัวใจก่อน
ลิฟต์ที่เคลื่อนตัวพาลงไปส่งที่ชั้นล่างช้าๆ ทำให้ใกล้มีเวลาได้ตั้งสติหลังจากปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างบ้าคลั่ง คนตัวเล็กเงยหน้ามองตัวเลขที่ปรากฏอยู่เหนือประตูลิฟต์ ตัวเลขที่ลดจำนวนลงเรื่อยๆ คล้ายการนับถอยหลังบ่งบอกว่าอีกไม่กี่ชั้นก็จะหลุดพ้นจากพื้นที่อ้างว้างแล้ว มือเรียวที่วางทาบอยู่บนริมฝีปากจึงเคลื่อนไปปาดคราบน้ำตาที่ข้างแก้มแทน ใกล้ปล่อยให้เสียงเพลงดังวนอยู่ในโสตประสาทโดยไม่พยายามเอาความคิดอื่นเข้าไปกลบเสียงเพลงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
เพราะใกล้รู้ดีว่า…นี่คือวิธีให้กำลังใจตัวเองในแบบของเขา
‘แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี แล้วใจของเธอ จะเปลี่ยนไป แล้ววันหนึ่ง เขาจะหายไป แม้วันนี้จะยังรู้สึก แม้จะยังคิดถึงเขาอยู่…ทุกลมหายใจ’
เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง แม้จะมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่บนใบหน้าก็ตาม นั่นคงเป็เพราะใกล้เลือกใช้เพลง ‘ปล่อย’ เพื่อให้กำลังใจตัวเอง ไม่ใช่เพื่อซ้ำเติมให้รู้สึกแย่ไปกว่าเดิม
ใกล้รู้แล้วว่า…กำลังใจที่สำคัญที่สุด
คือกำลังใจที่มาจากตัวเอง
ติ้ง!
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก ใกล้สูดลมหายใจเข้าลึกจนสุดปอดแล้วก้าวเท้าออกมาโดยทิ้งร่องรอยของความเสียใจไว้ในนั้น เขารีบไปที่ลานจอดรถเพราะคุณลุงคนขับรถรอนานมากแล้ว ทันทีที่ไปถึงรถแวนสีขาวคันใหญ่ก็เห็นลุงหมายที่คอยขับรถรับส่งเขาั้แ่เรียนอนุบาลกำลังส่งยิ้มให้อยู่
เป็รอยยิ้มอบอุ่นที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ใกล้จำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาจะชอบร้องไห้ เพราะพ่อติดงานจนมารับช้ากว่าเพื่อนคนอื่นในโรงเรียน แม่เลยให้ลุงหมายมารับเขาแทน หลังจากนั้นใกล้ไม่เคยร้องไห้เสียใจอีกเลย เขาจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นลุงหมายยืนถือลูกอมรสเลมอนรออยู่ที่รถ
‘สวัสดีครับ คุณลุง’ ใกล้เอ่ยก่อนจะยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย
‘สวัสดีครับ คุณหนู’
‘ใกล้ขอโทษที่ให้คุณลุงรอนานๆ นะครับ’
‘ไม่เป็ไรครับคุณหนู…วันนี้เหนื่อยไหมครับ?’ ลุงหมายพูดพร้อมล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง ใกล้เม้มริมฝีปากเมื่อเห็นลูกอมรสเลมอนที่ถูกเปลี่ยนยี่ห้อ ตอนนี้ลุงหมายคงหาซื้อลูกอมยี่ห้อนั้นไม่ได้แล้วแน่ๆ เ้าตัวจึงเปลี่ยนเป็ยี่ห้อใหม่ แต่สีของห่อพลาสติกที่ห่อหุ้มลูกอมรสโปรดยังคงเหมือนยี่ห้อเดิม ‘ผมรู้ว่ามันคงช่วยให้คุณหนูหายเหนื่อยไม่ได้ แต่ลูกอมเม็ดนี้คงช่วยให้คุณหนูรู้สึกดีขึ้นบ้าง’
คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะรับลูกอมรสเลมอนมา ใกล้อยากจะเอ่ยขอบคุณลุงหมาย แต่บางอย่างที่ตีตื้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้ใกล้ทำได้เพียงก้มหน้าแกะห่อพลาสติก
‘…’
‘แกะได้ไหมครับคุณหนู…ให้ผมแกะให้ไหมครับ?’
คนโดนถามยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ เพื่อปฏิเสธ ใกล้เพิ่งรู้ว่าการกลั้นน้ำตาต่อหน้าคนที่เรารักมันไม่ง่ายเลย เขาพยายามฝืนยิ้มให้กว้างที่สุด เพื่อกลบเกลื่อนน้ำสีใสที่ซึมอยู่บริเวณหางตา ‘วันนี้ใกล้คงเรียนเยอะไปหน่อย…ใกล้เลยหมดแรงเลยครับ แทบไม่มีแรงดึงห่อพลาสติกนี้เลย’
‘ในวันที่คุณหนูหมดแรงจนทำอะไรไม่ไหว…’ ลุงหมายก้าวเข้ามาใกล้เขามากขึ้น ก่อนจะหยิบลูกอมรสเลมอนไปจากมือที่สั่นเทาของเขา เ้าตัวแกะห่อพลาสติกออกด้วยความรวดเร็วแล้วยื่นคืนให้เขาดังเดิม ก่อนเอ่ย ‘ผมจะอยู่ตรงนี้…จะคอยช่วยคุณหนูเองครับ’
ใกล้ก้มหน้า พร้อมพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่สั่นเครือ ‘ขอบคุณครับคุณลุง’
‘เรากลับบ้านกันนะครับคุณหนู’
‘ครับ’
ลุงหมายคงรู้ว่าเขากำลังไม่สบายใจ เพราะั้แ่ขึ้นรถมา เ้าตัวเอาแต่มองเขาผ่านกระจกมองหลังตลอดเลย ทุกครั้งที่เราสบตากันผ่านกระจกสะท้อน ใกล้จะส่งยิ้มให้ลุงหมายเสมอ
เพื่อให้ลุงหมายสบายใจขึ้นบ้าง…
คนตัวเล็กเอนศีรษะอิงกระจกอย่างเหนื่อยอ่อน ใกล้มองท้องฟ้าสีคราม กลุ่มเมฆสีขาวที่ลอยอยู่เบื้องบนแสดงให้เห็นถึงอากาศที่โปร่งโล่ง วันนี้ผืนฟ้ากว้างสว่างสดใสมากกว่าทุกวัน แม้ภาพตรงหน้าจะช่วยยืนยันว่าไม่มีวี่แววที่ฝนจะตกเลยสักนิด ทว่าใกล้กลับรู้สึกว่าฝนตั้งเค้าจะตกลงมาตลอดเวลาเลย
ไม่ใช่ฝนที่มาจากท้องฟ้าหรอก
แต่เป็ฝนที่ตกในใจเขาน่ะ…
เมื่อลุงหมายขับรถพาเขามาถึงบ้าน ใกล้รีบลงจากรถแล้วมุ่งตรงไปที่ห้องครัว กลิ่นคุกกี้เนยที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วบ้าน เขาเร่งฝีเท้าให้ก้าวเดินเร็วมากกว่าเดิมเพื่อจะได้เจอคนทำคุกกี้เนยแสนหอมให้เร็วที่สุด
คนตัวเล็กหยุดยืนตรงหน้าประตูห้องครัวเมื่อเห็นพี่เจี๊ยบกำลังก้มเอาถาดคุกกี้ออกมาจากเตาอบ ใกล้เห็นพี่เจี๊ยบทำคุกกี้อยู่ในครัวมาั้แ่เด็กๆ มันกลายเป็ภาพชินตาที่ไม่เคยทำให้รู้สึกอะไรมาก่อน แต่วันนี้มีหนึ่งความรู้สึกที่แทรกซึมเข้ามาในหัวใจ
ใกล้รู้สึกขอบคุณ..
‘…’
ขอบคุณที่พี่เจี๊ยบไม่เจ็บป่วย
‘อ้าว คุณใกล้มาั้แ่เมื่อไหร่คะ?’
ขอบคุณที่พี่เจี๊ยบยังมีความสุขกับการทำคุกกี้อยู่ในครัว
‘ใกล้แอบยืนมองพี่เจี๊ยบคนสวยนานแล้วครับ’
‘ปากหวานจริงๆ เลย…มาให้เจี๊ยบกอดซะดีๆ’
ขอบคุณที่โลกนี้ไม่ใจร้ายกับคนที่เขารัก
พี่เจี๊ยบถอดถุงมือสีชมพูที่ใส่ไว้กันความร้อนเวลาหยิบถาดคุกกี้ออกก่อนจะเอาทั้งสองมือถูกับผ้ากันเปื้อนสีเหลืองเบาๆ เ้าตัวอ้าแขนกว้างแล้วส่งยิ้มให้เขา ใกล้เดินเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าด้วยความคิดถึง เขาไม่ได้กลับบ้านมาหลายอาทิตย์แล้ว ใกล้คิดว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะอาทิตย์นี้อาจารย์ไม่ได้สั่งงานเยอะจนไม่สามารถกลับมาพักที่บ้านได้
‘ทุกวันนี้เจี๊ยบยังคิดอยู่เลยว่าทำไมคุณใกล้ไม่เลือกเรียนมหา’ ลัยใกล้ๆ บ้านนะ’ พี่เจี๊ยบเอ่ยถาม ก่อนจะผละกอดออก เ้าตัวยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่หล่นมาปรกหน้าเขา พี่เจี๊ยบยังส่งความรักและหวังดีผ่านมาให้ทางแววตาเสมอ
‘เพราะมหา’ ลัยแถวบ้านไม่มีสาขานี้ไงครับ…ใกล้ถึงต้องยอมตัดใจไปเรียนที่ไกลบ้าน’
‘ดูสิ…กลับมาคราวนี้ ผอมกว่าคราวที่แล้วอีก’
‘ก็ที่คอนโดไม่มีอาหารอร่อยๆ ฝีมือพี่เจี๊ยบนี่ครับ’
‘พูดแบบนี้…ให้เจี๊ยบไปอยู่ด้วยเลยดีไหมคะ?’
ใกล้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปหยิบคุกกี้ที่อยู่ในถาดขึ้นมา แต่เพราะมันร้อนจนเกินไป เขาจึงเผลอปล่อยมันหลุดจากมือ
‘ใกล้ลืมไปเลยว่าพี่เจี๊ยบเพิ่งเอาคุกกี้ถาดนี้ออกมาจากเตา…’ เขามองคุกกี้เนยที่แตกเป็เสี่ยงๆ อยู่ที่พื้น ก่อนจะก้มลงไปเก็บเศษคุกกี้ ‘ใกล้ขอโทษนะครับพี่เจี๊ยบที่ไม่ระวัง’
ใกล้เงยหน้ามองเ้าของเสียงหัวเราะเล็กๆ พี่เจี๊ยบย่อตัวลงมาช่วยเขาเก็บเศษคุกกี้ ก่อนเอ่ย ‘เื่แค่นี้เอง ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะคุณใกล้’
‘…’
‘เจี๊ยบรู้ดีว่า…บางเื่คุณใกล้ก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น’
‘…’
‘อย่าโทษตัวเองอีกต่อไปเลยนะคะ’
ใกล้ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้านำพาไปสู่บทสนทนาจริงจังได้อย่างไร ประโยคคำพูดของพี่เจี๊ยบคล้ายกำลังปลอบใจเขาในเื่อื่นมากกว่า คงเพราะพี่เจี๊ยบเลี้ยงเขามาั้แ่เด็กๆ ต่อให้เ้าตัวไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นกับเขา แต่คงมีบางอย่างที่พี่เจี๊ยบััได้ เ้าตัวถึงได้พูดแบบนี้
พี่เจี๊ยบรู้ดีว่าเขามักจะพูดอ้อมๆ มากกว่าพูดตรงๆ
‘แต่ใกล้เป็คนทำมันหล่น…มันแตกละเอียดเพราะมือใกล้เอง’
‘แต่ในใจลึกๆ แล้วคุณใกล้ไม่ได้ตั้งใจให้เป็แบบนั้นไงคะ…’ พี่เจี๊ยบโกยเศษคุกกี้เนยขึ้นมาไว้บนมือตัวเอง ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจของเขา ‘ดูเศษคุกกี้พวกนี้สิคะคุณใกล้…ทำยังไงมันก็กลับมาเป็เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว’
‘…’
‘ถึงคุณใกล้จะรู้ว่ามันแตกเพราะมือของคุณใกล้เอง…แต่สิ่งเดียวที่คุณใกล้ทำได้คือทิ้งมันไปซะ’
‘…’
‘แล้วเลือกหยิบคุกกี้ชิ้นใหม่แทน’
‘…’
‘อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผิดกับอะไรมากเกินไป…จนทำให้ความรู้สึกและหัวใจของเราแหลกละเอียดไม่ต่างจากคุกกี้ชิ้นนี้’
‘…’
‘เราต้องโทษตัวเองให้น้อยลงแล้วให้อภัยตัวเองให้มากขึ้นนะคะคุณใกล้’
‘…’
‘คุณใกล้รู้ไหมคะว่าทำไมเจี๊ยบถึงพูดแบบนี้’
ใกล้อยู่กับพี่เจี๊ยบมาตั้งนาน…ต้องเข้าใจอยู่แล้วครับ ‘เพราะการโทษตัวเองมันง่ายกว่าการให้อภัยตัวเอง…ใกล้คิดว่าเราอาจจะโทษตัวเองได้ถึงร้อยครั้ง แต่ให้อภัยตัวเองได้ไม่ถึงสิบครั้ง’
‘ถูกค่ะ’
‘…’
‘เจี๊ยบไม่ได้สอนให้คุณใกล้เป็คนไม่ยอมรับผิด แต่เจี๊ยบแค่อยากจะบอกคุณใกล้ว่า…เมื่อเรารู้ว่าตัวเองผิด เราควรจะให้อภัยตัวเอง เพื่อจะได้มีโอกาสปรับปรุงและแก้ไขในสิ่งที่เคยทำพลาดไป’
‘…’
‘ให้ทุกเื่ราวที่เกิดขึ้นเป็บทเรียนที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ให้เราเป็คนที่ดีขึ้นกว่าเดิม…อย่าให้ความผิดพลาดกลายเป็ชนักติดหลังที่คอยรั้งเราไว้จนไม่กล้าทำอะไรอีก’
ใกล้กำลังสงสัยว่าพี่เจี๊ยบมีพลังวิเศษสามารถอ่านใจคนอื่นได้หรือเปล่า เพราะเ้าตัวพูดได้ตรงกับความรู้สึกเขาทั้งหมด ใกล้รู้สึกผิดที่ปล่อยใจให้ถลำลึกจนก้าวข้ามเส้นความสัมพันธ์ที่ถูกขีดเส้นเป็เพียงรุ่นพี่รุ่นน้องไว้ั้แ่แรก จนทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับพี่ชินต้องพังลง
ถ้าหากใกล้ปล่อยให้ตัวเองมีชนักติดหลังอย่างที่พี่เจี๊ยบพูด
สิ่งที่เขาไม่กล้าทำอีกต่อไปคือ การตกหลุมรักใครสักคน
แต่เพราะลึกๆ แล้วเขายังอยากตกหลุมรักอีกสักครั้ง
‘ใกล้สัญญาว่า…ต่อจากนี้ใกล้จะพยายามให้อภัยตัวเองในทุกๆ เื่ ไม่ว่าความผิดพลาดครั้งนั้นจะร้ายแรงแค่ไหน’
ทั้งที่บอกกับตัวเองว่า จะไม่ตกหลุมรักใครอีกแล้ว
‘ดีมากค่ะคุณใกล้…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจี๊ยบเป็กำลังใจให้คุณใกล้เสมอนะคะ’
‘ขอบคุณนะครับพี่เจี๊ยบ’
คงเป็เพราะคุกกี้ชิ้นนั้นและคำสอนของพี่เจี๊ยบที่ทำให้ใกล้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เขาถึงได้มีแรงฮึดอยากทำอาหารไว้รอพ่อกลับมากินมื้อค่ำด้วยกัน ใกล้โชว์ฝีมือทำไข่พะโล้ของโปรดของพ่อ ส่วนเมนูอื่นๆ คงต้องปล่อยให้เป็หน้าที่ของแม่ครัวคนเก่งอย่างพี่เจี๊ยบ
ใกล้ยกถ้วยไข่พะโล้มาวางที่โต๊ะ ก่อนจะมีแม่บ้านคนอื่นมาช่วยจัดโต๊ะอาหารด้วย ทันทีที่ทุกอย่างถูกจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย เ้าของบ้านตัวจริงก็มาปรากฏตัว
‘ใกล้…’
พ่อเลิกตาโตขณะเอ่ยเรียกเขา ใกล้หัวเราะแล้วเดินเข้าไปกอดคนตัวโตไว้แน่น เขาไม่ได้บอกพ่อว่าจะกลับบ้าน คนที่รู้มีเพียงแค่ลุงหมายกับพี่เจี๊ยบ การกลับมาของเขาคงสร้างความประหลาดใจให้พ่อไม่น้อย
‘ใกล้คิดถึงคุณพ่อจังเลยครับ’
‘ทำไมไม่บอกพ่อก่อนว่าจะกลับบ้าน…พ่อจะได้รีบกลับมาหา’ พ่อพูดพลางกดจมูกแช่ไว้ที่ศีรษะของเขา ก่อนเอ่ยต่อ ‘พ่อคิดถึงใกล้สุดหัวใจเลย แต่ก็เข้าใจว่าเรียนหนัก คงไม่มีเวลาว่างมากพอจะกลับมานอนค้างที่บ้าน’
‘่อาทิตย์ที่ผ่านมาใกล้มีสอบด้วยครับ แล้วอาจารย์ก็สั่งงานเยอะมากๆ เลย…ใกล้เลยคิดว่าให้ผ่าน่ยุ่งๆ ไปก่อนดีกว่า จะได้กลับมานอนค้างที่บ้านแบบสบายใจ’
‘แล้วอาทิตย์นี้จะกลับมาอยู่สักกี่วัน?’
‘สามวันครับ กลับวันจันทร์ตอนเช้า’
‘หือ? ...กลับวันจันทร์ตอนเช้าได้เหรอ?’ พ่อถอนจมูกออกจากศีรษะเขา ใกล้เงยหน้ามองเ้าตัวที่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ‘ถ้าพ่อจำไม่ผิด วันจันทร์ใกล้มีเรียนตอนสิบโมงใช่ไหม?’
‘ครับ…แต่ใกล้คิดว่าถ้าออกจากบ้านั้แ่หกโมงเช้า ใกล้น่าจะเข้าเรียนทันครับ’
‘…’
‘ใกล้อยากอยู่บ้านนานๆ …เพราะใกล้คิดถึงทุกคนมากๆ เลยครับ’
พ่อหัวเราะ ก่อนเอ่ย ‘เด็กน้อยของพ่อ…ว่าแต่ใกล้ไม่ได้ขับรถกลับมาเองใช่ไหม เพราะพ่อไม่เห็นรถของเราเลย’
‘ครับ ใกล้จอดรถไว้ที่คอนโด เพราะคุณลุงไปรับที่มหา’ ลัยครับ’
‘งั้นเดี๋ยววันจันทร์พ่อขับรถไปส่งใกล้ที่มหา’ ลัยเอง’
‘ไม่เป็ไรครับคุณพ่อ คุณพ่อต้องรีบไปทำงาน’
‘พ่อบริหารเวลาเป็นะใกล้ใจ…’ พ่อพูดพร้อมยกมือข้างหนึ่งขยี้ที่ผมของเขาเบาๆ ‘ให้พ่อได้ทำหน้าที่พ่อบ้าง เพราะถ้าแม่เราอยู่ พ่อคงโดนดุว่าทำหน้าที่พ่อบกพร่อง’
‘คุณพ่อไม่ได้ทำหน้าที่พ่อบกพร่องหรอกครับ…ใกล้เข้าใจคนงานยุ่งอย่างคุณพ่อนะครับ’
พ่อยิ้ม ก่อนจะสวมกอดเขาแน่นๆ อีกครั้ง ‘พ่อรักใกล้ใจสุดหัวใจเลยครับ’
‘แหม…พอคุณท่านมาแล้วลืมพี่เจี๊ยบเลยนะคะ’
ใกล้หัวเราะก่อนจะผละกอดออกจากพ่อเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนที่ดังมาจากด้านหลัง ‘ใกล้กอดพี่เจี๊ยบไปตั้งเยอะแล้ว พี่เจี๊ยบแบ่งกอดให้คุณพ่อบ้างนะครับ’
‘เจี๊ยบยอมแบ่งให้คุณท่านก็ได้ค่ะ…เห็นใจที่ทำงานหนักตลอดทั้งอาทิตย์นะคะ’
‘ถ้าฉันไม่ทำงานหนักตลอดทั้งอาทิตย์ เธอก็จะเก็บใกล้ใจไว้กอดคนเดียวเลยใช่ไหม?’
ใกล้จูงมือพ่อเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร พี่เจี๊ยบเดินถือโถข้าวมาหยุดยืนข้างๆ เขา เ้าตัวตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานให้ ก่อนจะหันไปตอบพ่อ
‘ใช่ค่ะ’
‘เจี๊ยบ…เธอมันคนขี้งก’
ปกติพ่อจะไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้ บวกกับน้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจที่พ่อเลือกใช้ จึงทำให้เขากับพี่เจี๊ยบหลุดขำออกมา
‘ถ้าคุณท่านว่าเจี๊ยบอีก เดี๋ยวเจี๊ยบจะเก็บคุณใกล้ไว้คนเดียวเลยนะคะ’
‘นี่ฉันไม่มีสิทธิ์ต่อรองกับเธอเลยใช่ไหมเจี๊ยบ?’
ใกล้ยิ้มขำขณะฟังบทสนทนาของพ่อกับพี่เจี๊ยบ เขาเอื้อมมือไปตักไข่พะโล้ใส่จานให้พ่อก่อนแล้วค่อยตักให้ตัวเอง ใกล้ที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากหยุดก่อนจะเงยหน้ามองพ่อ เขาเห็นเ้าตัวจ้องไข่พะโล้ในจานอยู่อย่างนั้น ทว่าผ่านไปไม่กี่นาทีพ่อก็หันมายิ้มให้เขา
เราสองคนจำได้เป็อย่างดีว่า…ไข่พะโล้เป็ของโปรดของคนที่อยู่บนฟ้าด้วย
‘เมื่ออาทิตย์ที่แล้วพ่อเพิ่งเอาไข่พะโล้ที่เจี๊ยบทำไปใส่บาตร’
‘ไว้พรุ่งนี้ใกล้จะตื่นมาทำไข่พะโล้ฝีมือใกล้ใส่บาตรอีกนะครับ’
‘ดีเลย…เพราะสำหรับแม่แล้ว คงไม่มีใครทำไข่พะโล้ได้อร่อยเท่าใกล้ใจของเขา’
ใกล้พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ พ่อตักกุ้งอบเกลือตัวโตที่ถูกแกะเปลือกออกแล้วมาใส่จานให้เขา นอกจากไข่พะโล้แล้ว ของโปรดอีกอย่างของใกล้คือกุ้ง
‘กินเยอะๆ นะลูก’
‘ขอบคุณครับคุณพ่อ’
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในมื้อเย็นของวันนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ถึงครอบครัวเราจะมีสมาชิกอยู่ไม่กี่คน แต่ความรักและความหวังดีที่ส่งผ่านมาถึงกันทำให้รู้สึกอิ่มจนล้น
‘ไข่พะโล้ฟองสุดท้าย พ่อยกให้ใกล้’
‘ขอบคุณครับคุณพ่อ’
‘กินเยอะๆ นะลูก’
‘ครับ’ ตอบก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ ทว่าใกล้รู้สึกเหมือนพ่อยังไม่ยอมละสายตาออกจากเขาสักที เมื่อเงยหน้าจึงเห็นดวงตาคู่เดิมมองเขาอยู่จริงๆ
‘่นี้มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าใกล้?’
พ่อรู้จักเขาดีไม่ต่างจากพี่เจี๊ยบ ทั้งสองคนจะสังเกตเห็นบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในใจเขา ทุกครั้งที่ใกล้ตกอยู่ในห้วงแห่งความเศร้าและเสียใจ พ่อกับพี่เจี๊ยบจะรู้ตลอด
‘…’
‘ถ้ามีเื่ไม่สบายใจ…กลับมาบ้านเรานะใกล้’
‘ทุกคนคอยคุณใกล้อยู่เสมอนะคะ’
และยังคงเป็ทั้งสองคนที่ฉุดเขาขึ้นมาจากวังวนที่มืดมน
‘ใช่…ทุกคนพร้อมจะอยู่เคียงข้างใกล้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น’
ใกล้พยักหน้าตอบรับก่อนเอ่ย ‘ขอบคุณนะครับคุณพ่อ พี่เจี๊ยบ’
พ่อยิ้มแล้วยอมละสายตาจากเขา แต่ตอนนี้เป็เขาที่ไม่ยอมละสายตาจากพ่อ ใกล้มองกำลังใจคนสำคัญนั่งกินข้าว การกลับบ้านครั้งนี้ไม่ได้ทำให้าแที่อยู่ภายในใจหายอย่างรวดเร็วหรือช่วยลบเลือนร่องรอยของความเสียใจได้
แต่การกลับบ้านครั้งนี้ทำให้ใกล้รู้ว่า…นอกจากเวลาแล้ว ครอบครัวเป็อีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยเยียวยาาแในจิตใจของเขาได้
‘ใกล้จะกลับบ้านบ่อยๆ นะครับ’
และเขาพยายามทำอย่างที่พูดจริงๆ หลังจากการกลับบ้านครั้งนั้น ใกล้ก็กลับบ้านบ่อยมากขึ้น แม้บางอาทิตย์จะมีงานเยอะแค่ไหน แต่ใกล้ยังเลือกจะกลับบ้าน เขายอมขนงานไปทำที่บ้านด้วย เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆ ยังได้กลับไปเติมกำลังใจแล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่
พ่อและทุกคนดูมีความสุขมากที่ได้เจอเขาทุกอาทิตย์ พ่อขับรถมารับเขาทุกวันศุกร์ตอนเย็นและขับรถมาส่งที่มหา’ ลัยตอนเช้าวันจันทร์เหมือนเดิม ตารางชีวิตของใกล้ดำเนินไปแบบนี้จนกระทั่งถึง่สอบปลายภาค
วันนี้เป็วันสอบวันสุดท้ายก่อนจะปิดเทอมของปีหนึ่ง ใกล้รู้สึกขอบคุณตัวเองเสมอที่อดทนและเข้มแข็งจนผ่าน่เวลาที่ยากลำบากมาได้ แต่บุคคลที่ควรจะขอบคุณมากที่สุดคงเป็ครอบครัวและเพื่อนๆ ที่คอยอยู่ข้างเขาอย่างกันต์ ส้ม และเค้ก
แต่ทว่าเพื่อนสนิททั้งสองคนก็จะไม่ได้เรียนคณะเดียวกับเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะเค้กกับส้มตัดสินใจย้ายคณะเพราะเรียนที่คณะและสาขานี้ไม่ไหว
‘ใกล้…ฉันขอโทษนะ’
‘เราก็ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้ใกล้เรียนอยู่คนเดียว’
‘ไม่ต้องขอโทษเราเลย…เค้กกับส้มไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย’ ใกล้ที่เดินอยู่ตรงกลางยกมือขึ้นยีหัวของเพื่อนสนิททั้งสองคน ‘เค้กกับส้มทำถูกแล้ว’
‘…’
‘ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน…แต่ก็ต้องเลือกคณะใหม่ให้ดีๆ นะ’
‘คราวนี้ฉันแน่ใจแล้วว่าคณะนี้ไปรอดแน่’
‘ดีแล้ว’
‘ถ้าเปิดเทอมมายังไม่มีเพื่อนใหม่…ใกล้โทรหาเราสองคนได้เลยนะ เดี๋ยวไปกินข้าวเป็เพื่อน’
ใกล้หัวเราะก่อนเอ่ย ‘ไม่ต้องเป็ห่วงเราหรอก…ใกล้ใจอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ห่วงเหมือนเราเป็เด็กๆ เลย’
‘จะเด็กไม่เด็กฉันไม่สนหรอก…แต่ถ้ามีใครมาแกล้งแกอีก โทรมาฟ้องฉันเลยนะ’
คนตัวเล็กที่หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ ใกล้ไม่ใช่คนขี้ฟ้องั้แ่เด็กๆ แล้ว การตอบรับครั้งนี้จึงทำเพื่อความสบายใจของเพื่อน ‘ไว้จะโทรไปฟ้องแบบด่วนจี๋เลย’
‘การบินปีสองต้องเรียนหนักขึ้นแน่ๆ ใกล้ต้องสู้ๆ นะ’
‘อื้อ เค้กกับส้มก็เหมือนกันนะ’
ทั้งสองคนพยักหน้ารับก่อนจะเข้ามากอดเขา เค้กผละกอดออกก่อนจะทำหน้าหงอยๆ ส่วนส้มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใกล้ส่งยิ้มให้เพื่อนสนิททั้งสองคนที่กำลังโบกมือลาเขา
มือเรียวยกขึ้นโบกลาเพื่อนเช่นกัน ‘ไว้เจอกันตอนเปิดเทอมนะ’
‘โอเค…’
‘กลับบ้านดีๆ นะใกล้’
‘อื้อ…กลับบ้านดีๆ เหมือนกันนะ’
หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนทั้งสองคนแล้ว ใกล้ก็เดินมารอพ่อที่หน้าตึกคณะ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับลานจอดรถ โทรศัพท์ที่สั่นแจ้งเตือนอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ใกล้ล้วงหยิบออกมาดู ใกล้กดรับสายทันทีที่เห็นชื่อที่ระบุอยู่บนหน้าจอ
…Dad…
‘ใกล้รออยู่ที่เดิมนะครับพ่อ’
[ครับ พ่อใกล้จะถึงมหา’ ลัยแล้ว]
‘โอเคครับพ่อ’
ใกล้กดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ในตอนที่เงยหน้ามองลานจอดรถที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใกล้เห็นใครบางคนที่ไม่ได้เห็นมาสักพักใหญ่ๆ เขามองตามร่างสูงที่กำลังขึ้นรถเก๋งสีดำ
คนตัวเล็กเผยรอยยิ้มออกมาในตอนที่หัวใจไม่ได้รู้สึกเ็ปเมื่อเห็นอีกฝ่าย ประสบการณ์ความรักในครั้งนี้ได้สอนอะไรหลายๆ อย่าง และทำให้ใกล้โตขึ้นทั้งทางความคิดและความรู้สึก
แม้ว่าใกล้จะทำได้อย่างที่เ้าตัวขอไว้ แต่ใกล้ไม่คิดจะเข้าไปบอกให้พี่ชินรู้หรอก เพราะไม่ว่าเขาจะตัดใจจากเ้าตัวได้หรือไม่คงไม่สำคัญอะไร เพราะพี่ชินตัดเขาออกจากวงโคจรของเ้าตัวไปนานแล้ว
แม้ภาพในวันนั้นยังแจ่มชัดอยู่ในหัว แต่ความเ็ปในอดีตก็ถูกกาลเวลาและกำลังใจจากคนที่เขารักเจือจางจนไม่มีเศษซากของความเสียใจหลงเหลืออยู่
ใกล้ละสายตาจากรถเก๋งคันสีดำ เพื่อมองรถสปอร์ตสีควันบุหรี่ที่เคลื่อนมาจอดตรงหน้า เขายิ้มกว้างออกมาก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูรถ สิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มอบอุ่นและแววตาใจดี
‘พ่อขอโทษที่ให้รอนานนะใกล้ เมื่อกี้รถติดที่หน้ามหา’ ลัยนิดหน่อย’
‘ไม่เป็ไรเลยครับพ่อ’
‘ปะ? ขึ้นรถ…เดี๋ยวพ่อจะรีบพากลับไปกินคุกกี้ที่บ้าน’
‘ครับ’
ใกล้พยักหน้ารับแล้วรีบขึ้นรถตามที่พ่อบอก ในระหว่างที่พ่อขับรถออกมาจากมหา’ ลัย ใกล้เหลือบไปเห็นรถของพี่ชินขับตามหลังมาผ่านกระจกมองหลัง ทว่าเขาเลือกจะละสายตาจากรถคันสีดำแล้วหันไปยิ้มให้พ่อแทน
เขายังจำวิธีรับมือกับทุกผลลัพธ์ที่โลกมอบให้ได้เป็อย่างดี ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่ใกล้จะยิ้มให้ได้เยอะๆ เพื่อให้รอยยิ้มมีปริมาณเท่ากันกับน้ำตาที่เคยเสียไป
และตอนนี้ใกล้มีวงโคจรของตัวเองแล้ว
วงโคจรที่มีแต่คนที่รัก
เขาไม่ต้องพยายามเข้าไปอยู่ในวงโคจรของใครอีกแล้ว…
ใกล้ใจคนปัจจุบันที่นั่งอยู่ในโรงอาหารคลี่ยิ้มออกมาเมื่อดูหนังเื่เก่าที่ฉายในหัวจบ ในชีวิตเขามีหนังให้ดูหลายเื่มาก แต่ละเื่ชวนเสียน้ำตาทั้งนั้น บางครั้งที่ใกล้นึกย้อนไปถึงเื่ราวในอดีต เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะก้าวผ่านมาได้ แต่ตอนนี้ใกล้รู้แล้วว่าเขาจะรับมือได้กับทุกความยากลำบากและความเสียใจด้วยเื่ราวที่เคยเผชิญมา
ใกล้มองพี่ชินที่กำลังเดินออกไปจากโรงอาหารพร้อมน้ำเปล่าหนึ่งขวด ก่อนจะละสายตาเพื่อกลับมามองคนตรงหน้าที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ กันต์ขมวดคิ้วคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ใกล้ไม่รู้ว่าเ้าตัวมองเขานานแค่ไหนแล้ว เพราะหลังจากที่เขาเห็นพี่ชิน ใกล้ก็มัวแต่นึกย้อนไปถึงเื่ราวในอดีต
“มึงคิดถึงเื่นั้นเหรอ?”
“มันแวบเข้ามาน่ะ…ก็เลยนึกย้อนไปนิดหน่อย”
“เื่ไม่ดีก็ลืมๆ ไปบ้างเหอะใกล้ อย่างเื่ของไอ้พี่ชินเนี่ย”
ใกล้หัวเราะเมื่อได้ยินแบบนั้น เพราะปกติกันต์ไม่เคยเรียกพี่ชินด้วยสรรพนามนี้เลย ทว่าน่าแปลกใจตรงที่เื่ผ่านไปนานมากแล้ว แต่กันต์กลับแสดงอาการไม่พอใจมากกว่าแต่ก่อน
“ไม่มีใครลืมเื่ราวในอดีตของตัวเองได้หรอกกันต์ จริงๆ แล้วเื่ในอดีตมันช่วยสอนเราได้หลายๆ อย่างเลยนะ”
อย่างเช่นเื่นี้ที่ช่วยสอนให้เขารู้ว่า
คนที่บอกว่าตัวเองเข้มแข็ง
คนที่บอกว่าตัวเองรับมือกับความรักได้
คนที่บอกว่ารู้จักความรักดีพอ
ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยเสียศูนย์เพราะความรักทั้งนั้น
แต่หลังจากเสียศูนย์ แตกสลาย หัวใจดวงใหม่ที่ถูกหล่อหลอมมาจากความเ็ป จะทำให้เรากลายเป็คนที่เข้มแข็งกว่าเดิม ใกล้คิดว่าจากเื่ราวที่ได้ประสบกับตัวเอง มันทำให้เขารู้วิธีรับมือกับความรักได้ แต่ใกล้จะไม่สามารถรู้จักความรักได้มากพอ
จนกว่า…จะเจอคนที่เป็อีกเสี้ยวหนึ่งของเรา
เสี้ยวหนึ่งที่ขาดหายไป
เสี้ยวหนึ่งที่มาเติมเต็มจนเป็จันทร์เต็มดวง
#ใกล้แค่พันลี้
Twitter : @SP251566
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้