“ชิงเอ๋อร์… เหยียนชิง”
เว่ยซูหานมองคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุดราวกับว่ากำลังคิดถึงเื่เลวร้ายในใจ ว่ากันตามพื้นฐานในฐานะลูกหลานของตระกูลเหยียน ต่อให้เหยียนชิงในตอนนี้มีความคิดที่บริสุทธิ์ แต่ด้วยนิสัยที่ระแวดระวังตัวของเขา ท่าทางเช่นนี้ของตนจะทำให้เหยียนชิงรู้สึกว่าเขามีเจตนาแอบแฝงเป็แน่
“เ้า เ้าอย่าทำเช่นนี้…” เหยียนชิงหลุบตาลงต่ำ กัดริมฝีปากและหายใจเข้าลึกๆ
“เ้าไม่จำเป็ต้องประจบข้า ข้าก็เต็มใจจะช่วยเ้าอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว…”
เขาเข้าใจสถานการณ์ของเว่ยซูหานดี และเข้าใจจุดเริ่มต้นของเว่ยซูหานด้วย ต่อให้จะมีความคิดเช่นนี้จริงๆ ก็เป็เื่ปกติ แต่เขายังไม่อยากให้เว่ยซูหานกลายเป็คนเ้าแผนการก่อนวัยอันควร
เว่ยซูหานผลักขนมชิ้นสุดท้ายไปตรงหน้าเขา วางตะเกียบ และก้มหน้าลง มือที่วางอยู่ใต้โต๊ะกำเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“ข้าแค่ชอบเ้า ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอื่น… และไม่ได้มีเจตนาประจบเ้าด้วย ข้าแค่อยากทำดีกับเ้า… ก็เท่านั้น”
ในใจรู้สึกขัดเคืองและยิ่งไปกว่านั้นคือจนปัญญา ชาติที่แล้วเขาอดกลั้นกล้ำกลืนเอาไว้ ตอนที่อยู่ในจวนตระกูลเหยียน เพราะต้องทนทรมานอย่างน่าอนาถเช่นนั้นไม่ไหวแล้วจึงได้เอ่ยปากขอร้องเหยียนิฮ่วน สุดท้ายสิ่งที่แลกมากลับเป็ความอัปยศอดสูที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม หลังจากนั้น ต่อให้เขามีโอกาสรอดเพียงนิดเดียวก็ไม่มีทางก้มหัวขอร้องผู้ใดอีก
จนกระทั่งตระกูลเหยียนถูกตัดสินลงโทษ เขาคุกเข่าอยู่นอกท้องพระโรงกิเลนสามวันสามคืน ขอให้ฮ่องเต้ปล่อยเหยียนชิงไป ตลอดทั้งชีวิตมีเพียงครั้งนั้นเท่านั้นที่เขายอมกลืนน้ำลายคุกเข่าขอร้องใคร แต่ในครั้งนั้น ผลลัพธ์คือเขาได้รับสิ่งที่เขา้า เขาสามารถปกป้องเหยียนชิงเอาไว้ได้ แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว ต่อให้เขาไม่คุกเข่าสามวันสามคืน ฮ่องเต้ก็ต้องคิดหาวิธีปกป้องเหยียนชิงอยู่แล้ว แค่เขาคิดหาข้ออ้างดีๆ ให้ฮ่องเต้สักข้อก็พอ
แม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่ฮ่องเต้ก็เป็เหมือนกับเขาที่ชื่นชอบในตัวเหยียนชิง เพียงแต่พวกเขาต่างก็กังวลและประหม่าจนเกินไปจนไม่กล้านำความคิดในใจไปปฏิบัติจริงได้
คำพูดของเว่ยซูหานทำให้เหยียนชิงหัวใจเต้นรัว ศีรษะที่ก้มต่ำว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก ประโยคนี้ราวกับเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน…
เหยียนชิง ข้าชอบเ้า…
ชาติที่แล้วเขาเมาจนเลอะเลือนอยู่หลายครา และครั้งสุดท้ายเมื่อพิษเข้าสู่ท้อง ก่อนจะกระจายไปทั่วร่างกายก็ดูเหมือนจะได้ยินคำพูดคล้ายๆ กันนี้
แต่ในชาติที่แล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาห่างเหินกันมาเสมอ ดังนั้นเขาจึงคิดเองมาโดยตลอดว่าคำพูดเหล่านี้เขาได้ยินผิดเพี้ยนไป หรือว่า… มันจะเป็ความจริง? เว่ยซูหานมีความคิดเช่นนี้กับเขามาตั้งนานแล้ว? หรือนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเว่ยซูหานในชาติที่แล้วถึงเป็มิตรกับเขาแม้เขาจะไม่มีอำนาจหลงเหลืออยู่เลย?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหยียนชิงจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นระรัว มีบรรยากาศบางอย่างกระจายตัวออกไปอย่างเงียบๆ ชั่วขณะนั้นก็อยากจะถามเว่ยซูหานว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่ แต่กลับรู้สึกว่าเบื้องหน้าของเขาว่างเปล่า ขณะที่ก้มหน้าอยู่นั้น คนตรงหน้าก็ลุกเดินจากไปโดยไม่ทันสังเกต
เขากวาดสายตามองขนมชิ้นสุดท้ายในจาน ดูแล้วกลับไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
เว่ยซูหานออกมาจากหอชิงเฟิง ในใจเกิดความตื่นตระหนก เหยียนชิงไม่ปิดบังความรู้สึกที่ซ่อนไว้ทำให้เขาเ็ปอยู่บ้าง แม้จะรู้ว่านี่เป็วิธีคิดแบบมนุษย์ทั่วไป แต่ว่า…
เขายอมรับว่าเขาคิดว่าตระกูลเว่ยจะต่อต้าน แต่เขาไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์จากเหยียนชิงและเชื่อว่าเื่ที่ตระกูลเว่ยถูกใส่ร้ายไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลเหยียน เขาจะใช้ความสามารถของตัวเองสืบหาความจริงให้จงได้
ต้องโทษที่เขาร้อนใจเกินไป ชาติที่แล้วเขาไม่อาจหวังอะไรได้ เมื่อชาตินี้มีโอกาสเขาจึงอดรนทนรอไม่ไหวจนอยากขยี้คนชั่วให้แหลกคามือ ต่อให้แต่งงานแล้วก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย
ช่างเถอะ ค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไป เื่แบบนี้จะรีบร้อนไปไม่ได้ อีกอย่าง เหยียนชิงในตอนนี้ก็อยู่ใน่ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก อย่าเพิ่งสร้างปัญหาให้เขาดีกว่า รอจนเขาผ่านพิธีสวมกวานก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อมาถึงเรือนเซียวเหยา เว่ยซูหานบอกหลินชวนว่าเขาเลือกเรือนที่จะอาศัยได้แล้วก็คือเรือนหล่านเยว่ที่ติดกับเรือนชิงเฟิงของเหยียนชิง ชานเรือนของทั้งสองหลังอยู่ติดกัน เขาเลือกที่จะอยู่เรือนนี้เพราะว่าเป็เรือนที่นายท่านเหยียนใช้ต้อนรับสหายเก่าโดยเฉพาะ เขาชอบที่สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบของที่นั่น
เขาวางแผนจะอยู่ที่เรือนเซียวเหยาต่ออีกสองสามวันค่อยย้ายไปอยู่ที่เรือนใหม่ ทำการจัดเก็บข้าวของ และจัดการอะไรเล็กน้อย ค่อยเป็ค่อยไปก็พอ อยู่ไปจัดการไป ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลินชวนรีบรายงานสถานการณ์ให้เหยียนชิงฟัง เหยียนชิงไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกยินดี เพราะอยู่ห่างตนไม่มาก ใกล้เพียงเท่านี้ก็ดีเหมือนกัน หากเว่ยซูหานชอบเขาจริงๆ เขาก็ไม่ถือสา
ในชาติที่แล้วคนผู้นั้นมีอำนาจจนไม่อาจมีใครเทียบ แต่ทว่าก็ยังช่วยเขาเอาไว้ไม่น้อย และมักจะปรากฏตัวเมื่อเขา้าความช่วยเหลือเสมอ อย่างไรเสียสิ่งที่เขากังวลในชาตินี้ก็คือเื่ของทั้งสองตระกูล ส่วนเื่อื่นเขาไม่นำเอามาใส่ใจ ถ้าพวกเขาสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันได้ นั่นก็เป็เื่ที่น่ายินดีอย่างยิ่ง งานแต่งงานในครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เสียเปล่าแล้ว
ทว่าเขายังไม่เข้าใจว่าเว่ยซูหานไปชอบเขาตอนไหน เพราะั้แ่จำความได้พวกเขายังไม่เคยเจอหน้ากันเลย