เมื่อเห็นเด็กๆ เดินออกจากห้องไปโดยไม่มีเสียงดังเอะอะภายใต้การนำของหมี่หลันเยว่ พวกพี่เลี้ยงเด็กก็ดีใจกันยกใหญ่
"หลันเยว่นี่ดีจริงๆ รู้จักช่วยดูแลเด็กๆ ให้พวกเราด้วย รีบหน่อยๆ พวกเราจะได้ใช้เวลานี้เก็บกวาดห้อง"
พี่เลี้ยงอีกคนก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกเดียวกัน "นั่นสินับแต่หลันเยว่มา เด็กๆ ของเราก็เชื่อฟังขึ้นเยอะ เหมือนจะรู้จักคิดขึ้นมาทันที พวกเราก็มีเวลามากขึ้น ปกติแค่เก็บชามก็เหมือนทำา มีเด็กๆ มาป่วนตลอด"
พี่เลี้ยงในห้องแบ่งเป็สองกลุ่ม สองคนเก็บชาม อีกสองคนเก็บกวาดห้อง ทำงานได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องห่วงเด็กๆ ข้างนอก ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
น้าเมิ่งหาเวลา่ปูที่นอนให้เด็กๆ แอบไปมองที่ประตู เห็นหมี่หลันเยว่พาเด็กๆ ยืนเรียงแถวยาว เดินเล่นอยู่ข้างแปลงดอกไม้
แถวเล็กๆ ที่เป็ระเบียบเรียบร้อย ไม่มีการแตกแถว ทำให้น้าเมิ่งรู้สึกตื้นตันใจ หลันเยว่มาอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กได้ไม่นาน ก็กลายเป็หัวหน้าเด็กๆ ไปแล้ว แถมยังไม่ใช่หัวหน้าที่เอาแต่ใจตัวเอง เธออ่อนโยน แต่กลับทำให้เด็กๆ เชื่อถือเธอ นี่คงเป็เสน่ห์ของเธอสินะ น้าเมิ่งอดที่จะถอนหายใจไม่ได้
"หมดเวลาเดินเล่นแล้ว พวกเราจะกลับไปนอนกลางวันกันแล้วนะ"
หมี่หลันเยว่กะเวลาได้พอเหมาะ จึงโบกมือเล็กๆ สั่งการกองทัพน้อยของตัวเอง เดินแถวเข้าไปในห้องเรียนอย่างเป็ระเบียบ ทำให้พี่เลี้ยงห้องอื่นอิจฉาตาร้อน
"ดูเด็กห้องเล็กสิ ไม่ต้องให้ครูมาคุมก็เป็ระเบียบได้ขนาดนี้ ห้องของพวกเรานี่เด็กโตกว่าเยอะ แต่กลับไม่เชื่อฟังเท่าเด็กห้องเล็กเลย"
น้าคนหนึ่งที่ดูแลห้องเด็กโตพูดด้วยความอิจฉา เด็กๆ ในห้องของเธออายุหกเจ็ดขวบกันแล้ว
"อิจฉาไปก็เท่านั้นแหละ เห็นเด็กผู้หญิงที่ใส่ชุดกระโปรงผ้าลายดอกไม้สีชมพูเข้มนั่นไหม เธอชื่อหมี่หลันเยว่ เป็ลูกสาวของครูหวัง ได้ยินว่าเพิ่งมาอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กไม่นาน แต่เด็กๆ พวกนั้นเชื่อฟังเธอกันทั้งนั้น ตอนนี้ดีเหลือเกิน พวกครูๆ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยด้วย"
พี่เลี้ยงคนนี้สอนอยู่ห้องเด็กโต ได้ยินหมี่หลันหยางในห้องบอกว่าเป็น้องสาวตัวเอง และเธอก็เคยไปคุยกับครูห้องเด็กเล็กโดยบังเอิญ ปรากฏว่าครูห้องเด็กเล็กชมเด็กน้อยคนนี้ไม่หยุดปาก แทบจะยกย่องว่าดีเลิศประเสริฐศรีไปหมด ไม่รู้ว่าเด็กอายุสองขวบกว่าๆ ไปเข้าตาครูพวกนี้ได้อย่างไร
แต่หลังจากที่ตัวเองสังเกตการณ์อยู่หลายวัน ก็พบว่าครูพวกนั้นไม่ได้พูดเกินจริง เด็กคนนี้เรียบร้อยเชื่อฟัง เด็กห้องเล็กก็เชื่อฟังเธอจริงๆ มากกว่าเชื่อฟังครูเสียอีก ช่างเป็เด็กที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจเสียจริง
หมี่หลันเยว่ไม่รู้เลยว่าในใจของครูพวกนั้น เธอได้ก้าวขึ้นไปสู่อีกระดับแล้ว ทุกเช้าตอนที่เด็กๆ ดูหนังสือเล่มเล็กหรือเล่นของเล่นในห้อง เธอก็จะไปออกกำลังกายที่แปลงดอกไม้ในสวน ตอนนี้สามารถเดินเร็วรอบแปลงดอกไม้ได้ห้ารอบโดยไม่เมื่อยขาแล้ว
เธอรู้ว่า่ปลายเดือนกันยายนหรือไม่ก็ต้นเดือนตุลาคม ทางโรงเรียนจะจัดงานกีฬาสี ในชาติก่อน เธอยังเก็บรูปถ่ายรูปหนึ่งไว้ เป็รูปเด็กสี่ห้าคนวิ่งอยู่บนลู่ เด็กผู้หญิงรูปร่างท้วมที่สูงกว่าเด็กคนอื่นๆ เล็กน้อย วิ่งอยู่ในอันดับที่สอง คนแรกเตี้ยกว่าเธอเยอะมาก
ในใจของหมี่หลันเยว่ นี่เป็ความอัปยศอดสูมาตลอด เป็ความอัปยศอดสูที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เธอเป็คนตัวสูงมาั้แ่เด็ก สูงกว่าเด็กวัยเดียวกันเกือบครึ่งหัว แต่ั้แ่อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กมา ผลการวิ่งของเธอก็ไม่เคยพัฒนาขึ้นเลย วิ่งอยู่กลางๆ ค่อนไปทางท้ายตลอด และนั่นทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดมาก
ถึงแม้ว่าพอโตขึ้น หมี่หลันเยว่จะพบว่าความอดทนของตัวเองดีขึ้น วิ่งระยะไกลได้เปรียบขึ้น เธอยังชอบเล่นฟุตบอล เล่นบาสเกตบอล ซึ่งเป็กีฬาของผู้ชาย ความอดทนพวกนั้นก็จะช่วยเธอได้มาก แต่การพ่ายแพ้ในการวิ่งระยะสั้นหลายครั้ง ก็ทำให้เธอไม่อยากยอมแพ้
หมี่หลันเยว่คิดมาตลอดว่าเป็เพราะรูปร่างที่ค่อนข้างท้วม ทำให้กลายเป็จุดอ่อนของเธอ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าในชาตินี้ ตอนที่อายุยังน้อย ทำอะไรไม่ได้มาก จะปรับสภาพร่างกายของตัวเองให้ดีก่อน อย่างน้อยที่สุด จะต้องไม่วิ่งตามหลังคนอื่นอีก
นี่ก็ถือเป็ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าอย่างหนึ่ง เป็ความมุ่งมั่นที่ติดตามเธอมานานกว่าสี่สิบปี ดังนั้นหมี่หลันเยว่จึงตั้งใจแน่วแน่ที่จะฝึกตัวเองให้เป็ยอดนักวิ่งระยะสั้น เธอไม่อยากจะยอมแพ้จริงๆ ที่ในชาตินี้ที่ได้เกิดใหม่ เธอยังคงต้องด้อยกว่าคนอื่น เื่นี้จะต้องเปลี่ยนไป
ความมุ่งมั่นนี้ทำให้เธอมีความตั้งใจมากขึ้นในการฝึกซ้อม และยังทำให้เธอตั้งใจที่จะทำให้ความมุ่งมั่นนี้สำเร็จด้วย
"หลันเยว่ พักหน่อยเถอะ ทุกวันเดินไปเดินมาอยู่ใต้แดดจ้าแบบนี้ ระวังผิวเสียนะ"
น้าเมิ่งชอบหลันเยว่มาก จึงคอยสังเกตเธออยู่เสมอ เมื่อเห็นเธอเดินวนเวียนอยู่รอบแปลงดอกไม้ไม่หยุดหย่อนทุกวันก็รู้สึกสงสัยมาก คิดไม่ออกว่าทำไมเธอถึงชอบแปลงดอกไม้นี้ขนาดนี้ ในนั้นก็แค่ปลูกดอกไม้ป่าที่ขึ้นง่ายๆ ไม่ได้สวยงามอะไรมากมาย ถึงจะสวย แต่มองนานขนาดนี้ก็น่าจะเบื่อแล้ว
แต่พอสังเกตนานเข้า น้าเมิ่งก็พบว่าเด็กคนนี้น่าจะกำลังออกกำลังกายมากกว่า เพราะเธอไม่ได้มองดอกไม้พวกนั้น ถึงจะมอง ก็แค่มองผ่านๆ เธอจะเดินช้ารอบแปลงดอกไม้หนึ่งรอบ หลังจากนั้นก็จะเร่งความเร็วเดินสี่ห้ารอบ ตรงกลางก็จะสลับกับการวิ่งเหยาะๆ หลังจากนั้นก็จะลดความเร็วเดินอีกหนึ่งรอบ
นี่เหมือนกับนักกีฬาอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย แล้วค่อยเริ่มออกกำลังกาย สุดท้ายก็เป็การผ่อนคลายหลังออกกำลังกาย ทำได้อย่างมีระเบียบ
แต่เด็กเล็กขนาดนี้จะเข้าใจเื่พวกนี้ได้ยังไง น้าเมิ่งคิดว่าตัวเองคิดมากไป หมี่หลันเยว่จะเป็เด็กดีแค่ไหน ก็เป็แค่เด็กอายุสองขวบกว่าๆ เท่านั้นเอง
เมื่อได้ยินน้าเมิ่งทักท้วงด้วยความเป็ห่วง หมี่หลันเยว่ก็ชะลอฝีเท้าลง
"ไม่เป็ไรค่ะ น้าเมิ่ง หนูเดินอีกสองรอบก็จะกลับเข้าห้องแล้ว"
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คงเกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อมใน่นี้
เสียแต่ว่าอายุยังน้อยเกินไป ไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจตัวเอง ไม่อย่างนั้น ทุกวันเธอก็คงจะไปปีนเขาหลังบ้านสักหน่อย ให้ผลของการออกกำลังกายก็จะดีกว่านี้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ตัวเล็กแค่นี้ พ่อแม่คงไม่ยอมแน่ๆ ถึงจะไม่ได้เดินเยอะ นั่นก็เป็ูเาเชียวนะ ตอนนี้ตัวเองทำได้แค่แหงนมองเท่านั้นล่ะ
หลังจากผ่อนคลายตัวเองแล้ว หมี่หลันเยว่ก็เดินกลับเข้าห้อง หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กของตัวเองออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและใบหน้า จากนั้นก็ไปล้างผ้าเช็ดหน้าให้สะอาดในอ่างน้ำ สะบัดผ้าแล้วพาดไว้บนเก้าอี้ วางผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กลงบนขอบหน้าต่างที่โดนแสงแดด ไม่นานผ้าเช็ดหน้าก็จะแห้งเพราะแสงแดดอันอบอุ่น
"หลันเยว่นี่เป็เด็กดีจริงๆ แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าก็รู้จักซักเอง ครูหวังนี่เป็คนมีบุญจริงๆ ที่มีลูกสาวดีขนาดนี้"
พี่เลี้ยงคนหนึ่งที่เห็นการกระทำของหมี่หลันเยว่ อิจฉาจนแทบทนไม่ไหว
"ใครว่าไม่จริงล่ะ ฉันหวังว่าตัวเองจะมีลูกแบบนี้ได้บ้าง"
พี่เลี้ยงอีกคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าลูบท้องของตัวเองด้วยความปรารถนา
"เธอหาแฟนให้ได้ก่อนเถอะ อยู่คนเดียวแบบนี้ ความหวังของเธอคงจะอีกยาวไกลเลยล่ะ"
พี่เลี้ยงคนนั้นโดนว่าจนหน้าแดง รีบไปช่วยแบ่งผลไม้ให้เด็กๆ ข้างๆ พี่เลี้ยงที่อายุมากกว่าส่ายหัว เด็กคนนี้ก็ไม่เด็กแล้ว อายุยี่สิบสี่แล้ว แต่เป็คนหัวสูง เลือกไปเลือกมาตลอด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีแฟนตัวจริงสักคน น่าเป็ห่วงจริงๆ ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเธอจะร้อนใจขนาดไหน
"หลันเยว่ กินลูกแพรลูกใหญ่ก่อนไหม น้าช่วยคว้านไส้ให้แล้ว"
น้าเมิ่งถือลูกแพรที่ผ่าครึ่งมาให้
"น้าเมิ่ง หนูเอาแค่ครึ่งเดียวก็พอค่ะ เยอะกว่านี้หนูกินไม่ไหว แบ่งให้เพื่อนๆ เถอะค่ะ"
น้าเมิ่งยื่นลูกแพรครึ่งลูกให้หมี่หลันเยว่ แล้วลูบหัวเด็กน้อย
"ดีจริงๆ เห็นของอร่อยๆ ก็ยังคิดถึงการแบ่งให้เพื่อนๆ"
ถ้าเป็เด็กคนอื่น ถึงจะกินไม่หมด ก็จะหวงไว้ไม่ยอมปล่อย
"ถ้าไม่แบ่งให้เพื่อน ก็เสียดายแย่สิคะ หนูก็กินไม่หมด"
หมี่หลันเยว่กัดเนื้อแพรคำใหญ่ กรอบ หวานฉ่ำ อร่อยกว่าลูกแพรในอีกสิบกว่าปีข้างหน้ามาก ผลไม้สมัยนั้นถูกสารเคมีกัดกร่อนจนหมดแล้ว รสชาติแย่มาก ไม่มีอารมณ์อยากกินเลย
………………
งานกีฬาสีมาเร็วจริงๆ ตอนที่หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม ครูประจำชั้นก็แจ้งว่าอีกสองวันจะมีการจัดงานกีฬาสี ให้พ่อแม่เตรียมรองเท้าผ้าใบสีขาวให้ทุกคน
"เด็กๆ ที่วิ่งเก่ง จะมีลูกอมให้ด้วยนะจ๊ะ"
สำหรับลูกอมแล้ว หมี่หลันเยว่มีความทรงจำที่ชัดเจน เพราะเป็เด็กๆ จากสถานรับเลี้ยงเด็กทั้งหมด จึงจัดทำเพียงลู่วิ่งประมาณห้าสิบเมตรเท่านั้น และที่เส้นชัยของแต่ละลู่ จะมีห่อลูกอมที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้า มีแค่เด็กที่วิ่งเก่งเท่านั้นที่จะได้อย่างที่พี่เลี้ยงบอก
หมี่หลันเยว่ตั้งตารองานกีฬาสีครั้งนี้ เธอไม่ได้ตั้งตารอผ้าเช็ดหน้าที่ห่อลูกอมอย่างแน่นอน เธออยากวิ่งให้ได้ตำแหน่งที่ไม่เหมือนชาติก่อน บางทีอาจจะไม่สำเร็จ แต่เธอจะพยายามอย่างเต็มที่ โอกาสมีไว้สำหรับคนที่เตรียมพร้อม ตัวเองถึงจะเตรียมตัวได้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เวลาก็ไม่คอยใคร จะต้องสู้สักตั้ง
หวังหย่วนฉิงที่กลับมาถึงบ้าน กำลังปรึกษาเื่ที่เด็กๆ จะเข้าร่วมงานกีฬาสีกับหมี่จิ้งเฉิง
"ฉันจะต้องคุมนักเรียนในห้อง คงไม่สามารถไปดูแลลูกๆ ด้วยตัวเองได้ แต่ก็มีพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไร"
หมี่จิ้งเฉิงพยักหน้า
"อืม มีพี่เลี้ยงดูแลอยู่ คงไม่มีอะไรหรอก พรุ่งนี้ฉันก็มีงาน คงไม่มีทางอื่นแล้ว เราก็กำชับหลันหยางให้คอยดูแลน้องสาวให้ดีๆ หน่อย"
"ผมจะดูแลน้องให้ดีครับ พ่อกับแม่สบายใจได้เลย"
หมี่หลันหยางตบหน้าอกเล็กๆ รับประกันกับพ่อแม่ หมี่หลันเยว่มองพี่ชายที่เงยหน้าขึ้น มองเธอด้วยความอบอุ่นใจ พี่ชายคอยดูแลเธอมาั้แ่เล็ก ถึงแม้ว่าเขาจะขี้โมโหบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็พี่ชายที่ดี
"ดีๆ หลันหยางของพวกเราโตแล้วนะ รู้จักดูแลน้องสาวแล้ว"
พ่อตบไหล่ลูกชายเพื่อเป็กำลังใจ ทำให้หลังของหมี่หลันหยางยิ่งตรงขึ้นไปอีก เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ หวังว่าตัวเองจะเติบโตเป็ผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ในพริบตา
"พรุ่งนี้ฉันจะหาเวลา่พักกลางวันไปซื้อรองเท้าผ้าใบให้เด็กๆ นี่อากาศก็ใกล้จะเย็นแล้ว ่ต้นฤดูใบไม้ร่วงก็ใส่ได้พอดี"
หวังหย่วนฉิงคิดถึงราคารองเท้าผ้าใบคู่เล็กๆ ก็ชั่งใจว่าจะประหยัดเงินส่วนนี้จากตรงไหน
"เธอจัดการก็แล้วกัน จะให้ลูกขาดไม่ได้ ถ้าเด็กคนอื่นๆ มีกันหมด แต่ลูกเราไม่มี ลูกก็จะเสียใจ ผู้ใหญ่เราก็เหมือนกัน ถ้าเงินไม่พอ เสื้อเชิ้ตที่เล็งไว้ก็ไม่ต้องซื้อก่อนก็ได้ ตัวนี้ฉันยังใส่ได้อีกหน่อย"
เมื่อได้ยินพ่อแม่พูดถึงเื่เงิน หมี่หลันเยว่ก็ยิ่งร้อนใจ เธออยากจะโตไวๆ อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวให้มากขึ้น งานของพ่อแม่แต่ละคนได้เงินเดือนแค่ยี่สิบสามสิบหยวนต่อเดือน แต่ที่บ้านมีลูกถึงสามคน พ่อแม่คงลำบากมาก ถ้าขาดของใครไปสักคน พวกเขาก็คงจะเสียใจ
ตอนที่หมี่หลันเยว่สวมรองเท้าผ้าใบใหม่ยืนอยู่บนเส้นออกตัว เธอกำหมัดเล็กๆ ของตัวเองแน่น นี่จะเป็ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอ
"เตรียมตัว.... ‘ปัง!’ ...”
เสียงปืนสัญญาณดังขึ้น หมี่หลันเยว่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มองว่ามีใครวิ่งตามมาหรือไม่
ชีวิตของเธอจะเริ่มเปลี่ยนแปลงนับแต่นี้…