“อีกเดี๋ยวเธอเอาหนังสือภาษาอังกฤษกับประวัติศาสตร์ไปให้เซี่ยเจิงหน่อยนะ เขาน่าจะบอกเธอแล้วใช่ไหม? ” โหยวเจียเงยหน้าขึ้นมามองชวีเสี่ยวปอ
“ครับ? เปล่าครับ” ชวีเสี่ยวปอหันศีรษะหลบออกไป พยายามปิดบังอารมณ์ที่ไม่ควรแสดงออกมาต่อหน้าโหยวเจีย
“อ้าว ครูนึกว่าเขาบอกเธอแล้วซะอีก” แต่โชคดีที่โหยวเจียไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเข้า และพูดต่อไปว่า : “โชคดีที่ครูถามเขาไป คือว่า เซี่ยเจิงเป็ไข้ ก็เลยไม่มา จริงสิ ตอนเธอไปอย่าลืมเอาข้อสอบที่เพิ่งแจกคืนวันนี้ไปด้วยนะ เดินทางปลอดภัย แล้วก็รีบกลับบ้านด้วยล่ะรู้ไหม”
“ครับ รู้แล้วครับ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นไม่เต็มเสียง
เป็ไข้...
เพราะว่าวันนั้นยืนตากลมอยู่ตั้งหลายชั่วโมงหรือเปล่านะ?
“ปอเอ๋อร์? โหยวเจียพูดอะไรกับนายเหรอ? ” ซือจวิ้นที่รอเขากลับมาอยู่ตลอด ซึ่งก็ไม่ใช่เื่อื่นใด เขาแค่เห็นว่าท่าทีของชวีเสี่ยวปอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงอยากจะรอเขาสักหน่อย
“เซี่ยเจิงเป็ไข้ ลาป่วย” ชวีเสี่ยวปอหยิบหนังสือสองเล่มที่เขา้าออกมาจากโต๊ะของเซี่ยเจิงอย่างคุ้นเคย ทั้งยังเก็บกระดาษข้อสอบทั้งหมดพับเข้าด้วยกัน จากนั้นก็โบกมันไปมาสองครั้ง “โหยวเจียให้ฉันเอาไปส่งให้เขา”
“เอ่อ” ซือจวิ้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่แล้วก็รีบพูดขึ้นมาว่า : “นี่มันก็เหมาะเจาะเลยไม่ใช่เหรอ เง็กเซียนสร้างโอกาสให้เลยนะเนี่ย”
“เกี่ยวอะไรกับเง็กเซียนด้วย” ชวีเสี่ยวปอดึงกระเป๋าหนังสือออกมา ยัดทุกอย่างเข้าไปรวดเดียวอย่างลวกๆ จากนั้นก็สะพายขึ้นมา “เป็เพราะตอนที่เซี่ยเจิงโทรมาลา เขาบอกกับโหยวเจียว่าให้ฉันเอาไปให้ต่างหาก”
“ถ้างั้นก็ดีกว่าเดิมอีก !” ซือจวิ้นตาเป็ประกายขึ้นมาทันที ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะะโขึ้นมาสองที “แบบนี้หมายความว่าเขาอยากเจอนายไม่ใช่หรือไง นายยังรออะไรอีกล่ะ รีบไปได้แล้ว”
“ฉัน...” ชวีเสี่ยวปออ้าปากยังไม่ทันจะพูดอะไรออกมา เขาก็โดนซือจวิ้นพูดแทรกซะก่อนแล้ว
“อย่าพูดว่าไม่อยากไปนะ !” บนใบหน้าของซือจวิ้นเขียนเต็มไปด้วยคำว่า “ฉันไม่ฟังๆ ”... “อย่าบอกนะว่า ที่เซี่ยเจิงเป็ไข้เป็เพราะรอนายรอจนเป็แบบนี้”
“นี่ตกลงนายอยู่ฝั่งไหนกันแน่? ” ชวีเสี่ยวปอจ้องเขาตาเขม็ง รู้สึกว่ากลางหน้าผากของซือจวิ้นมีตัวอักษรวิบวับสลักอยู่ว่า...คนทรยศ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนของซือจวิ้นทำงานผิดปกติหรือเปล่า ถึงได้กระตือรือร้นจนไม่เป็ตัวเองเช่นนี้
“ฉันคือทูตแห่งความยุติธรรม ร่างจำแลงของวีรบุรุษ !” ซือจวิ้นสะบัดผม ยกแขนขึ้น ทำท่าทางโอเวอร์กวนๆ ขึ้นมา พร้อมทั้งมองไปยังชวีเสี่ยวปอที่ขนลุกขึ้นมาทั้งตัว
“นายค่อยๆ แสดงความยุติธรรมไปเถอะ” ชวีเสี่ยวปอกระแทกเสียง “ไปละ !”
“รอฟังข่าวดีจากนายนะ !” ซือจวิ้นใช้มือจ่อที่ริมฝีปากทำเสียงวี๊ดวิ้วดังขึ้นมา “สู้ๆ !”
ไปหรือไม่ไปดี
ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอนั่งบนรถแท็กซี่คำถามนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว
เพียงแต่เมื่อยิ่งใกล้กับบ้านของเซี่ยเจิงขึ้นมากเท่าไหร่ ชวีเสี่ยวปอก็ยิ่งไม่แน่ใจขึ้นมาเท่านั้น ถึงขนาดที่เขาคิดแผนการขึ้นมาว่า จะเอาของเ่าั้โยนไว้ที่หน้าบ้านเขา เคาะประตูแล้วก็ไปเลยดีหรือเปล่า ยังไงก็แค่ส่งของไม่ใช่เหรอ ของมาส่งถึงก็พอแล้วไหม?
แต่ทว่า ยังมีอีกแง่หนึ่ง
เซี่ยเจิงป่วยอยู่นะ เขาจะไม่เข้าไปเยี่ยมสักหน่อยเหรอ?
“สามสิบหยวนครับ สแกนจ่ายหรือเงินสดดี? ” คำพูดของคนขับรถทำให้ความคิดอันยุ่งเหยิงที่ยังเชื่อมโยงไม่เสร็จของชวีเสี่ยวปอหยุดชะงักไป
“สแกนจ่ายครับ” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังทางแยกอันคุ้นเคยที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างรถ แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ่ายเงิน จากนั้นจึงค่อยๆ เปิดประตูและลงจากรถไปอย่างเอื่อยเฉื่อย
“เสี่ยวปอ? ”
แต่แล้วเมื่อเพิ่งจะก้าวเดินออกไปได้เพียงสองก้าวก็ถูกใครบางคนเรียกเอาไว้ก่อน
เสียงที่คุ้นหูเช่นนี้ชวีเสี่ยวปอไปต้องมองก็รู้ได้ในทันที นอกจากแม่ของเซี่ยเจิงก็ไม่มีใครเรียกเขาแบบนี้แล้ว ชวีเสี่ยวปอหันมองไปตามเสียงด้วยความร้อนตัวเล็กน้อย ในขณะนั้นแม่ของเซี่ยเจิงเดินออกมาจากซอยพอดี พร้อมทั้งยิ้มพลางโบกไม้โบกมือให้เขา
“คุณป้าครับ” ในตอนนั้นชวีเสี่ยวปอรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ก็ยังวิ่งเข้าไปไกลๆ เพื่อทักทายก่อนที่จะมองไปเห็นกระเป๋าช็อปปิ้งที่อยู่ในมือแม่เซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอจึงถามออกไปว่า : “จะไปซูเปอร์มาเก็ตเหรอครับ? ”
“ใช่จ้ะ เสี่ยวเจิงเป็ไข้ อยากกินโจ๊กน่ะ แต่ในบ้านข้าวสารหมดพอดี” แม่ของเซี่ยเจิงพูดขึ้น “ลูกมาเยี่ยมเขาเหรอ? ”
“เอ่อ ครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดตะกุกตะกัก ทันใดนั้นความคิดก่อนหน้านี้ที่ว่า “ทิ้งของไว้แล้ววิ่งหนีไป” จู่ๆ ก็หายวับไปในทันที “คือว่า คุณป้าครับ นอกจากข้าวสารยังซื้ออย่างอื่นด้วยไหมครับ? ให้ผมไปแทนก็ได้นะครับ? ”
“อย่าเลย จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน” แม่ของเซี่ยเจิงโบกมือไม่หยุด “ไม่เป็ไร ลูกไปหาเซี่ยเจิงเถอะ คืนนี้กินข้าวที่บ้านนะ เดี๋ยวป้าตุ๋นเนื้อให้กิน ตอนนี้เสี่ยวเจิงยังกินของมันๆ ไม่ได้ อีกเดี๋ยวลูกก็กินเยอะหน่อยนะ เราสองคนกินให้จุกตายไปเลย !” หลังจากที่แม่ของเซี่ยเจิงพูดจบก็ตบเข้าที่ด้านหลังของชวีเสี่ยวปอเบาๆ เชิงเร่งเขาให้รีบเข้าบ้านไป
ชวีเสี่ยวปอไม่สามารถขัดออกไปได้ จึงทำได้เพียงเดินเข้าไปในซอยอย่างเชื่อฟังภายใต้สายตาแม่เซี่ยเจิงที่จ้องมองมา
ในลานบ้านเงียบสงัด
ชวีเสี่ยวปอมองไปยังกระจกหน้าต่างห้องนอนของเซี่ยเจิง แต่เนื่องจากมีผ้าม่านปิดอยู่จากด้านในห้อง จึงทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย
“ฉันร้อนตัวที่ไหนกัน” ชวีเสี่ยวปอสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ อีกทั้งได้ยินเสียงในใจของตัวเองพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่นดังกังวานว่า “คนที่ไปดื่มเหล้ากับคนอื่นไม่ใช่ฉันสักหน่อย เซี่ยเจิง รอรับความตายได้เลย !”
หลังจากจบการพูดคนเดียวในท่อนนี้แล้ว ชวีเสี่ยวปอก็ดึงกระเป๋านักเรียนของเขาขึ้นมาอย่างแรง แล้วก็เปิดประตูเดินเข้าไปในที่สุด
ห้องนอนของเซี่ยเจิงถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ซึ่งช่วยให้ชวีเสี่ยวปอไม่ต้องไปเตรียมคิดคำถามที่ว่า “ต้องเคาะประตูหรือเปล่า” แต่พอคิดดูแล้วก็หมดคำพูดไปอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าห้องของเซี่ยเจิงเขาเคยเคาะประตูที่ไหนกัน เป็เช่นนั้นจริงๆ เมื่อคนเราถูกครอบงำด้วยอารมณ์ก็จะทำให้จิตใจถูกซ้อนทับขึ้นมาหลายตลบ จนทำทุกอย่างให้ซับซ้อนขึ้นไปกว่าเดิม
แต่ชวีเสี่ยวก็ยังพูดขึ้นตรงหน้าประตูไปว่า “ฉันเข้าไปนะ”
“อืม”
เสียงตอบรับนี้ถือว่าปะทะเข้ามาจนทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสับสนในที่สุด เมื่อครู่เขายังคิดวางแผนอยู่เลยว่า เขาต้องใช้สีหน้าแบบไหน น้ำเสียงอย่างไร เพื่อมาตอบเซี่ยเจิง แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงเบาอันแหบพร่าของเซี่ยเจิง ซึ่งแตกต่างจากเสียงเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ชวีเสี่ยวปอจึงอดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบออกไป จากนั้นก็เข้ามายืนข้างๆ เตียงของเซี่ยเจิงทันที
“ดูเหมือนว่าคำพูดของโหยวเจียจะมีประโยชน์มากกว่าของฉันอีกนะ” ดูเหมือนว่าเซี่ยเจิงสังเกตเห็นความตื่นตระหนกของชวีเสี่ยวปอเข้าแล้ว ถึงแม้ว่าทั้งตัวของเขาจะดูไม่ได้มีชีวิตชีวาสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังยิ้มพลางเอ่ยขึ้นมาว่า : “ใช่หรือเปล่า? ”
ชวีเสี่ยวปอมองไปยังริมฝีปากของเซี่ยเจิงที่แห้งผากขึ้นมาเนื่องจากพิษไข้ ในใจของเขาก็รู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาทันที “ยังตัวร้อนอยู่ไหม? ”
“น่าจะยังร้อนอยู่” เซี่ยเจิงตอบ “แต่ไม่หนักเท่าเมื่อคืนแล้ว”
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้รอให้เขาพูดจบก็ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของเซี่ยเจิงทันที เขาเพิ่งจะมาจากด้านนอก มือของเขาจึงยังเย็นอยู่เล็กน้อย ตอนที่ััลงไปบนิั ชวีเสี่ยวปอก็เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเจิงขมวดคิ้วขึ้นมาแล้ว
“ยังร้อนอยู่นิดนึง” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้น “อยากวัดไข้สักหน่อยไหม? ”
“ไม่ต้องหรอก” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา “นายอย่าบอกนะว่าที่นายมาก็เพื่อที่จะมาวัดไข้ฉันน่ะ”
“แล้วก็เอาหนังสือมาให้นายด้วย” ชวีเสี่ยวปอเปิดกระเป๋าออก หยิบหนังสือที่เตรียมมาวางไว้บนโต๊ะ
“แล้วยังไงต่อ? ” เซี่ยเจิงถามต่อขึ้นมา
“จากนั้นฉันก็จะตีนายยกหนึ่ง !” ในที่สุดชวีเสี่ยวปอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงตัดสินใจโยนกระเป๋าลงไปที่พื้นอย่างแรง “นายนี่โง่หรือเปล่าฮะ! หนาวขนาดนี้นายยังจะรออีก? ฉันไม่รับสายนายก็กลับไปเร็วหน่อยไม่ได้หรือไง? ”