ความเปลี่ยนแปลงของซูฉีฉีนั้นม่อเวิ่นเฉินเห็นมันกับตาเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาคาดเดาในวันนั้นไม่ได้ผิดพลาด
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูในวันนั้นจะต้องเป็ซูฉีฉีอย่างแน่นอนถ้าเช่นนั้นประโยคที่เขาพูดกับเหลยอวี๊เฟิง นางคงได้ยินหมดแล้ว
เขาอยากจะไปอธิบายแต่ว่าเขาม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่เคยสนใจจะอธิบายเื่ใดให้กับใครโดยเพราะกับเื่นี้
เขานั้นคิดว่าตนเองได้ทำมาพอแล้ว มิจำเป็ต้องพูดอะไรเยอะอีก
วันแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที ซูฉีฉีนั้นยุ่งผิดปกติ นางตื่นเช้าและนอนดึกนำเอาความทุ่มเทและกระตือรือร้นออกมาใช้อย่างเต็มที่
ในเมื่อทุกอย่างนางไม่มีทางได้รับมัน เช่นนั้นนางก็จะพยายามอยู่เป็แขนซ้ายขวาให้กับเขารอจนเขาสามารถช่วยนางแก้แค้นให้กับมารดาของตนได้
และทั้งหมดนี้ฮวาเชียนจือผู้กำลังหลงอยู่ในความสุขสำราญนั้นมิได้สังเกตเห็น
นางไม่เพียงแต่จมอยู่กับความคิดเื่งานแต่งงานระหว่างนางกับม่อเวิ่นเฉินแต่ยังจมอยู่กับแผนการที่ตนคิดจะดำเนินการ เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไปนั้นแผนการของนางก็ยิ่งมีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากขึ้น
ต่อให้ต้องทำลายทั้งหมดนั้นนางก็ไม่เสียใจ เพราะว่านางไม่สามารถยอมรับการมีอยู่ของซูฉีฉีได้อีก
โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้ม่อเวิ่นเฉินนั้นได้เห็นถึงความสำคัญของซูฉีฉีความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็มีท่าทีดีขึ้น ทำให้นางไม่สามารถทนดูอยู่เฉยๆ ได้เพราะต่อให้ตนนั้นแต่งกับเขาเป็ชายารองก็เกรงว่าจะเป็แค่ในนามเท่านั้น
ผ้าคลุมสีแดงสดปกปิดใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของนางเอาไว้ระฆังดังสนั่นนอกจวนอ๋องพร้อมกับเสียงประทัดที่ดังอย่างต่อเนื่องภายในจวนอ๋องนั้นตกแต่งไปด้วยผ้าหลากสี บรรยากาศเป็มงคลยิ่งพรมแดงได้ถูกปูจากประตูใหญ่ของจวนอ๋องไปตลอดทางเดินทั่วทั้งจวน กระทั่งถนนทางเล็กๆ ก็ยังมิละเอาไว้
บริเวณโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยสายตาอิจฉาริษยา
ั้แ่เช้ามืด ซูฉีฉีก็ได้คอยจัดการงานแต่งงานให้กับสามีของตนและเพราะว่า่นี้นางยุ่งเป็อย่างมากทำให้สีหน้าขาวซีดผิดปกตินางเองก็สวมชุดกระโปรงสีแดงทำให้โครงหน้าที่สะอาดบริสุทธิ์นั้นดูมีเสน่ห์มากขึ้นไม่น้อย
เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี ซูฉีฉีก็ได้ทำการสั่งให้คนใช้ในบ้านเริ่มขนย้ายของ
“พระชายา ท่านอ๋องเรียนเชิญท่าน” มีคนรับใช้คนหนึ่งวิ่งมาก่อนจะเอ่ยกับนางอย่างมีมารยาท
ทำให้ซูฉีฉีนั้นต้องนิ่งอึ้งไปก่อนจะมองคนรับใช้ผู้นั้นขึ้นๆ ลงๆดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขาเท่าใดนัก นางนั้นพักเรือนเดียวกับม่อเวิ่นเฉินมาโดยตลอดกับคนรับใช้ในเรือนนั้นนางก็คุ้นเคยเป็อย่างยิ่ง
เมื่อคนรับใช้ผู้นั้นเห็นซูฉีฉีมองสำรวจตน เขาก็ก้มหน้าลงน้อยๆ “พระชายา ใกล้ถึงฤกษ์มงคลแล้ว ท่านอ๋องเชิญท่านไปพบเพราะมีเื่จะปรึกษา”
เสมือนกำลังปกปิดอะไรอยู่
เมื่อเห็นทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้แล้วในใจของซูฉีฉีก็รู้สึกจุกแน่นอยู่น้อยๆงานแต่งงานของตนนั้นก็เอิกเกริกเช่นนี้เช่นกันแต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็ฉากอันน่าเศร้าขึ้นได้
ในใจของนางรู้สึกไม่ค่อยสงบขึ้นมาชั่วขณะ
นางอยากจะมองข้ามเวลาไป แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเลยเวลาฤกษ์แล้วนั้นม่อเวิ่นเฉินก็มิได้มีนางเป็ชายาเพียงคนเดียวอีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้น ต่อให้นางเป็เพียงแค่ชายาในนาม นางก็ยอม
“ได้”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซูฉีฉีก็พยักหน้าพลางวางงานในมือลงและเดินเข้าไปในเรือน
ทว่ายังมิรอให้ซูฉีฉีเดินไปถึงด้านหน้าเรือนนางก็รู้สึกเจ็บที่ท้ายทอยจากนั้นก็หมดสติไป
ทางห้องโถงด้านหน้านั้นเต็มไปด้วยแเื่ คึกคักผิดปกติ
แม่สื่อได้ะโแจ้งว่าถึงเวลาฤกษ์มงคลแล้วทว่ากลับไม่เห็นเ้าสาวปรากฏตัวมาเสียที
ม่อเวิ่นเฉินที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานนั้นได้สวมชุดเ้าบ่าวสีแดงสดสีหน้ายังคงราบเรียบเหมือนเดิม ทว่าตอนนี้คิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากันแน่น
เหลยอวี๊เฟิงที่อยู่ด้านข้างก็พยายามชะเง้อคอออกไปมองด้านนอกประตู
เขาเชื่อว่าซูฉีฉีจัดการดูแลเื่นั้นไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาดได้ทว่าทำไมเ้าสาวถึงไม่ปรากฏตัวเสียที? เขาคิดพลางส่ายศีรษะดูเหมือนว่านางเองก็สามารถทำเื่ผิดพลาดได้เช่นกัน
ให้ใครทำเื่ที่ตนไม่ยินยอมนั้น เกรงว่าคงเป็เช่นนี้ด้วยกันทั้งนั้น
เสียงซุบซิบในห้องโถงใหญ่ค่อยๆ ดังขึ้นแม่สื่อเองก็ได้ะโออกมาถึงสามครั้งแล้วทว่าตรงขอบประตูนั้นก็ยังไร้ซึ่งเงาของคน
ในขณะที่แม่สื่อกำลังจะะโเป็ครั้งที่สี่นั้นด้านนอกก็มีคนรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา ท่าทางตื่นตระหนกเป็อย่างมากก่อนจะคุกเข่าลงพลางยื่นจดหมายให้ม่อเวิ่นเฉินฉบับหนึ่ง “ท่านอ๋อง...พระชายาฝากจดหมายเอาไว้...”
เมื่อได้ยินคำว่าพระชายา ม่อเวิ่นเฉินก็ลุกขึ้นยืนทันทีเขาไม่อาจมีท่าทีสงบนิ่งได้อีก
ก่อนจะคว้าเอาจดหมายในมือของคนรับใช้ผู้นั้นขึ้นมาอ่านโดยเร็วสีหน้าที่แต่เดิมไร้ซึ่งอารมณ์นั้นก็เข้มขึ้นเรื่อยๆเสมือนกำลังจะมีพายุโหมกระหน่ำก็มิปาน เดินก็เป็่ฤดูหนาวอยู่แล้วทว่าคนในห้องโถงกลับรู้สึกหนาวเย็นมากขึ้นกว่าเดิม
ต้องรู้กันว่าในเมืองอ้าวนั้นม่อเวิ่นเฉินเป็เสมือนท้องฟ้าที่ปกคลุมทุกสิ่งเพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกคนล้วนเงียบสนิท เสียงแม้แต่นิดเดียวก็ไม่กล้าปล่อยออกมา
แม่สื่อนั้นอยู่ใกล้กับม่อเวิ่นเฉินที่สุดเมื่อเห็นสีหน้าของเขาแล้วก็อดจะสั่นกลัวไม่ได้ กระทั่งจะหายใจดังๆ ยังไม่กล้า
คนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นนั้นตัวสั่นไม่หยุดเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
“ได้มาจากที่ใด?” ทันใดนั้นม่อเวิ่นเฉินก็ขยำกระดาษนั้นจนเป็ผุยผงก่อนจะเอ่ยถามคนรับใช้ที่อยู่แทบเท้าตนอย่างเสียงดัง ดวงตาเสมือนมีไฟแห่งโทสะที่พร้อมจะะเิออกมาทุกเมื่อกระทั่งเหลยอวี๊เฟิงก็ไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
เขาขมวดคิ้วขณะมองเหตุการณ์ทุกอย่าง
“ที่ ที่...” คนรับใช้นั้นหวาดกลัวไม่น้อยกระทั่งจะคำพูดยังเอ่ยออกมาได้ไม่ลื่นไหลนัก
ม่อเวิ่นเฉินยกเท้าขึ้นเตะคนรับใช้ผู้นั้นทำให้เขาลอยจากห้องโถงออกไปด้านนอกทันที เสียงร้องแห่งความเ็ปดังก้องออกมา
ดูเหมือนว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นจะมีโทสะจริงๆ เสียแล้วมิเช่นนั้นเขาจะไม่มีทางทำร้ายคนต่อหน้าประชาชนเป็แน่เชื่อว่าคนรับใช้ผู้นั้นอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเสียแล้ว
หลังจากที่เตะคนรับใช้ผู้นั้นเสร็จ ม่อเวิ่นเฉินก็มิได้เอ่ยคำใดออกมาแต่กลับเหาะตัวออกจากห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็วดุจสายลมก็มิปาน
ไม่นานหลังจากนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็ตามไปด้วย ทิ้งไว้เพียงเสียงซุบซิบเบาๆของผู้คนในห้องโถง ทว่าพวกเขากลับคาดเดาไม่ออกว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
ในวันวิวาห์ เ้าสาวกลับไม่ปรากฏตัวขึ้นเสียทีและจดหมายเพียงฉบับเดียวกลับทำให้ท่านอ๋องมีโทสะได้ถึงเพียงนี้ มีคนคาดเดาว่างานแต่งในวันนี้เกรงว่าจะไม่อาจจัดได้อีกแล้ว
แน่นอนว่าเหลิ่งเหยียนเองก็ตามไปด้วยทว่าเขาได้สั่งให้คนจัดการดูแลแขกรับเชิญให้เรียบร้อยก่อนถึงจะจากไป
ซูฉีฉีนั้นรู้สึกว่าร่างกายหนาวเย็นไม่น้อย นางค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะนวดไปที่ท้ายทอยที่เ็ปของตน ทว่านางกลับพบว่าตนกำลังยืนอยู่ใตู้เาร้างแห่งหนึ่งลมเย็นพัดจากบริเวณโดยรอบมาไม่หยุด
ชุดกระโปรงสีแดงบนตัวของนางนั้นบางไม่น้อย นางลองยกมือขึ้นกอดไหล่ของตนทว่าก็ยังคงรู้สึกหนาวเย็น นางนั้นไม่ได้ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้อีกทั้งยังไม่มีคนมาข่มขู่นาง แต่กลับถูกทิ้งไว้ทีู่เาร้างนี้อย่างน่าประหลาด
ซูฉีฉีลองก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว พยายามบังคับตนเองให้สงบสติอารมณ์ลง นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้มีคนใช้ผู้หนึ่งบอกกับตนว่าท่านอ๋องเรียนเชิญนาง
ตอนนี้แม้ว่านางจะไม่กล้าคาดหวังที่จะได้รับความรักของม่อเวิ่นเฉินและยิ่งรู้ดีถึงฐานะของตน ตนนั้นเป็เพียงแค่เครื่องมือของการพนันเท่านั้นทว่าต่อให้เป็เช่นนั้นนางก็เชื่อว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นจะไม่ทิ้งนางไว้ในสถานที่รกร้างเช่นนี้
ถ้าเช่นนั้นก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้
มุมปากของนางกระตุกยิ้มเย็นขึ้น ซูฉีฉีนั้นรู้สึกเย้ยหยันในตนเองไม่น้อยด้วยฐานะเช่นนี้ของนาง ไม่มีทางสร้างผลกระทบต่อสตรีผู้นั้นได้แน่แต่ว่าคนผู้นั้นก็ยังคงไม่ล้มเลิกความคิดที่จะทำให้ตนถึงที่ตาย
ในขณะที่นางกำลังคิดนั้นก็ได้เห็นว่าในทิศทางไม่ไกลนักมีฮวาเชียนจือผู้สวมชุดเ้าสาวสีแดงสดยืนยิ้มขณะมองมาที่ตนอยู่รอยยิ้มนั้นเสมือนท่าทีของผู้ชนะและหยิ่งยโสไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
นางนั้นเป็ถึงองค์หญิงไม่เคยเห็นซูฉีฉีผู้เป็เพียงแค่บุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
ยิ่งในเวลานี้ด้วยแล้ว
“เ้าคิดจะทำอะไร?” ซูฉีฉีเดินก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็น“เพื่อจะกำจัดข้าแล้ว ถึงขั้นเลือกใช้วันดีของตนเอง”
ดวงตานั้นแฝงด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
“ขอเพียงจัดการเ้าได้แล้ว หลังจากนี้ทุกวันนั้นล้วนเป็วันที่ดี” ฮวาเชียนจือนั้นหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ ภายใต้เครื่องประทินโฉมที่งดงามนั้นกลับซ่อนใบหน้าที่บิดเบี้ยวเอาไว้
นางหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย
“ก็ไม่แน่” ซูฉีฉีเองก็เอ่ยตอบกลับเสียงเย็นนางมองไปที่บริเวณรอบๆ นางมิได้คุ้นเคยกับภูมิประเทศของเมืองอ้าวนักแต่ก็ไม่คิดจะอยู่เสียเวลากับสตรีผู้นี้ต่อไป
นางตัดสินใจแล้วว่าก่อนที่สตรีผู้นี้จะหาเื่ตนนั้นนางจะต้องหลบหนีไปก่อน
ซูฉีฉีนั้นกำเข็มทองในมือของตนแน่น เตรียมพร้อมจะรับมือกับฮวาเชียนจือแม้ว่าจะเป็เพียงแค่การเอาไข่กระทบหิน แต่นางก็ยังคงคิดจะลองดูนางไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ
แม้ว่าวันนี้จะเป็วันมงคลของม่อเวิ่นเฉินแต่ว่าเข็มทองของนางก็ยังคงพกติดตัวไว้อยู่เสมอ
“อยากจะไป ไม่ง่ายนักหรอก” มิต้องรอให้ซูฉีฉีหมุนตัวก็มีบุรุษผู้หนึ่งดึงแขนของนางเอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนเป็บีบที่ลำคอของนางการกระทำนั้นรวดเร็วมาก และเหมือนเขาจะรู้ว่าในมือของซูฉีฉีนั้นมีเข็มทองจึงได้ทำการพลิกตัวหลบเข็มที่พุ่งหมายปลิดชีวิตของนางได้อย่างทันการ
เข็มที่ซูฉีฉีทิ่มออกไปนั้นหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ร่างกายนางเสมือนถูกควบคุมไว้ ไม่สามารถขยับตัวได้ก่อนที่นางจะหันไปจ้องฮวาเชียนจือด้วยสายตาโกรธแค้น “เ้าคิดจะเอายังไงกันแน่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้