ชิงซีเดินไปที่ศาลาและกล่าวเบาๆ ว่า “ซูเจิน เรามาพูดคุยกันดีหรือไม่?”
ซูเจินถามด้วยท่าทีเป็กันเองว่า “ท่านประมุขอยากพูดคุยเื่ใด?”
ชิงซีตอบว่า “เื่ชีวิตหรืออุดมคติดีหรือไม่?”
ซูเจินยิ้ม “ข้าคิดว่าพูดคุยกับอวิ๋นจื่อคงดีกว่าพูดคุยกับข้า”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าลง “ข้าได้ทบทวนสิ่งที่เ้าเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ และข้าก็รู้แล้วว่าข้า้าทำอะไร”
ซูเจินเงยหน้ามองอวิ๋นจื่อ “งั้นหรือ?” เขาถามด้วยท่าทีสนอกสนใจ “ลองบอกข้าสิ เ้าคิดว่าเ้า้าทำอะไร?”
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่สามารถมองเพียงผิวเผินได้ แต่ข้า้าความแน่นอนในการเดิมพันครั้งนี้ ข้าไม่สามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อสิ่งเดียวได้”
ซูเจินพยักหน้า “อืม เ้าหัวไวดีนี่! ไม่เลวเลย เด็กคนนี้สามารถสอนได้จริงๆ”
ชิงซียิ้ม “คุณชายซูก็เป็พี่ชายที่ดีจริงๆ”
ทั้งสามพูดคุยกันอย่างเป็มิตร หัวข้อในการพูดคุยย่อมเป็เื่ของอวิ๋นจื่อ ซูเจินถามว่าอวิ๋นจื่อจะเดินทางไปสำนักชิงซานเมื่อไหร่ ชิงซีบอกเวลาที่แน่นอนแก่เขา แต่ซูเจินกลับกล่าวว่า “เร็วเพียงนี้เลยหรือ? ข้ายังอยากดูแลนางอีกสักหน่อย อวิ๋นจื่อเหตุใดเ้าไม่อยู่กับข้าให้นานขึ้นอีกนิดล่ะ?”
อวิ๋นจื่อรู้สึกงุนงง นางกล่าวว่า “พี่ชายกำลังหวงน้องสาวหรือ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ซูเจินตอบว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากเก็บเ้าไว้ข้างกายนานๆ เพราะถึงอย่างไรข้าก็มีเ้าเป็น้องสาวเพียงคนเดียว”
เมื่อซูเจินพูดเช่นนี้ ชิงซีก็เข้าใจความรู้สึกของเขาทันที
ชิงซียิ้ม “นี่ก็ดึกมากแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับจวนเสียที คุณชายซูจะได้พักผ่อน”
ซูเจินจึงขอให้พ่อบ้านช่วยส่งแขก
ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ดูสว่างนวลตา
ในศาลาเหลือเพียงสองพี่น้องตระกูลซู
อวิ๋นจื่อถามว่า “เหตุใดเ้าถึงอยากให้ข้าอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพักล่ะ?”
ซูเจินกล่าวเบาๆ ว่า “เราต้องวางแผนระยะยาว ในอนาคตชีวิตของเราจะไม่สงบสุขเช่นวันนี้ ดังนั้นเราต้องมีความเข้าใจตรงกัน ถ้าในภายภาคหน้าเราทำการใหญ่ไม่สำเร็จ ข้ากับเ้าตายไปคงไม่มีหน้าไปพบบิดาเ้าแล้ว”
“เ้ารู้จักเสด็จอาด้วยหรือ?” อวิ๋นจื่ออุทาน
เหตุใดบุตรชายของขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองหยงโจวถึงได้พูดราวกับรู้จักเสด็จอาซึ่งเป็บิดาผู้ให้กำเนิดนาง? เหตุใดตระกูลซูถึงยอมทุ่มเทให้กับทายาทของตระกูลอวิ๋นมากขนาดนี้? เกิดอะไรขึ้นที่เมืองหวยโจว? แล้วเกิดอะไรขึ้นที่เมืองหยงโจว? มีความลับที่อยู่เื้ัการตายของเสด็จอาหรือไม่? ตระกูลอวิ๋นมีความลับอะไรอีกบ้าง? นี่ดูราวกับว่าทุกคนรอบตัวนางรู้เื่ราวที่เกิดขึ้นในอดีตยกเว้นนาง แล้วมีใครบ้างที่รู้ความลับในเพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียง?
ราวกับมีเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏบนใบหน้าของนาง
ซูเจินกล่าวว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องรู้มากขนาดนั้น รู้แค่ว่าเขาสำคัญกับข้ามากก็พอ”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า “อันที่จริงข้าไม่เคยรู้ความลับของตระกูลอวิ๋นเลย เสด็จแม่ก็ไม่เคยเอ่ยถึง ซูเจินข้ารู้สึกขอบคุณเ้ามากจริงๆ หลังจากนี้ข้าจะยังคงเคารพและนึกถึงเ้าอยู่เสมอ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทำเพื่อเสด็จอา ข้าขอดื่มให้เ้า”
ขณะที่อวิ๋นจื่อกล่าว นางก็หยิบจอกขึ้นมาก่อนจะรินสุราลงไปในจอกช้าๆ แล้วยกจอกขึ้นจรดริมฝีปาก นางนับถือหญิงสาวตรงหน้าอย่างจริงใจ
ซูเจินดื่มสุราในจอกอย่างใจเย็น หลังจากดื่มหมดก็รินให้ตัวเองอีกครั้ง
ท่านลุงอวิ๋นเซียวเป็บุรุษผู้หล่อเหลาดุจเทพเซียน เมื่อเขาปรากฏตัวที่สำนักชิงซานก็ได้รับความชื่นชอบจากศิษย์ทุกคนที่เป็ผู้หญิง แม้ว่าซูเจินจะยังเด็กมากตอนที่มารดาพูดถึงท่านลุงอวิ๋นเซียว แต่ซูเจินก็ยังสามารถจินตนาการถึงความหล่อเหลาของเขาได้
ซูเจินจำได้ว่าหลังจากที่มารดาเสียชีวิต ท่านลุงอวิ๋นเซียวก็มาที่จวนตระกูลซูครั้งหนึ่ง เขาเป็คนดีมาก เขาพูดคุยเป็เพื่อนบิดาของซูเจินทั้งคืน เขามอบอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นให้เด็กน้อยที่กำลังโศกเศร้า เคว้งคว้าง และไร้หนทาง เขากล่าวกับซูเจินว่า “อาเจินจากนี้ไปเ้าจะเป็บุตรของข้า”
ชายผู้นี้มอบความอบอุ่นในแบบที่ทำให้โลกทั้งใบของซูเจินกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ท่านลุงอวิ๋นเซียวมักมาที่จวนตระกูลซูเดือนละครั้งเพื่อสอนทักษะด้านการค้าให้ซูเจินเป็การส่วนตัว แถมยังปฏิบัติตัวราวกับเป็บิดาที่แท้จริงแม้ว่าซูเจินกับเขาจะไม่ได้สนิทสนมกันหรือเป็ญาติกันก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ซูเจินจึงรู้ความลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็เื่ที่องค์หญิงใหญ่แห่งตำหนักเหวินฮวาเป็บุตรีของท่านลุงอวิ๋นเซียว หรือแม้กระทั่งเื่ที่พี่ชายจ้องจะเอาชีวิตและขโมยตำแหน่งของเขา
ต่อมาหลังจากที่เขาเสียชีวิต ท่านตาท่านยายก็เดินทางมาที่จวนตระกูลซูเพื่อขอให้ซูเจินกลับไปยังตระกูลเสิ่นในเมืองอวิ๋นเมิ่งซึ่งเป็ตระกูลของมารดา แต่ซูเจินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพราะมีแค่การอาศัยอยู่ในเมืองหยงโจวต่อไปเท่านั้นที่จะให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่และยังคงอยู่เคียงข้าง
ท่านลุงอวิ๋นเซียวเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา เขาเอ็นดูและคอยสั่งสอนซูเจิน เรียกได้ว่าเป็ทั้งบิดาและพี่ชายในคนเดียวกัน
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ซูเจินก็จะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
และหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่คนอื่นไกล นางเป็บุตรีเพียงคนเดียวของเขา
ซูเจินจำได้ว่าท่านลุงอวิ๋นเซียวเป็ทุกข์มาก เพราะรู้ว่าตนเองมีบุตรีแต่ไม่สามารถนำมาอยู่ในอ้อมอกได้ ถึงกระนั้นก้นบึ้งของหัวใจซูเจินก็รู้สึกก็อิจฉาเด็กคนนั้นมาก ถึงขั้นเก็บเอาไปเพ้อฝันว่าตนเองอาจเป็บุตรีของเขา ไม่อย่างนั้นเหตุใดท่านลุงอวิ๋นเซียวถึงปฏิบัติกับเขาดีถึงเพียงนี้?
แต่พอเติบโตขึ้นก็ต้องโยนความคิดนี้ทิ้ง
ท่านลุงอวิ๋นเซียวเป็คนที่พิเศษมาก ราวกับว่าในดวงตาของเขามีแสงสว่างที่ช่วยทำให้จิตใจของผู้คนสว่างไสว
นี่คือท่านลุงอวิ๋นเซียวที่ซูเจินรู้จัก
เมื่อนึกถึงเื่ราวในอดีตหัวใจของซูเจินก็อ่อนยวบ เขากล่าวว่า “บิดาของเ้าเป็คนอ่อนโยนและเป็คนดีมาก ทุกคนเคารพและรักเขามากถึงขั้นตั้งฉายาให้เขาว่าอ๋องนักบุญ”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ขอบคุณที่เล่าให้ข้าฟัง ข้าก็พอรู้เื่นี้มาบ้าง”
นางรู้ว่านอกจากเสด็จอาจะมีชื่อเสียงด้านการทำา เขายังได้รับฉายาว่าอ๋องนักบุญด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาอายุสั้นนัก
“ไม่ เ้าไม่รู้” ซูเจินกล่าวอย่างหนักแน่น “เ้ารู้หรือไม่ว่าถ้าเ้าทำได้เพียงหนึ่งในสิบหรือแม้แต่หนึ่งในร้อยของเขา เ้าจะไม่มีทางเป็เช่นวันนี้?”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ “ใช่ ข้ารู้ว่าข้าด้อยกว่ามาก แต่พี่ชาย ข้าจะพยายามอย่างหนัก ข้าจะตั้งใจเรียนรู้ให้ดีที่สุด การทำเช่นนี้จะช่วยให้ข้าเอาชนะอุปสรรคและทวงทุกอย่างกลับคืนมาได้”
ซูเจินตอบสั้นๆ ว่า “ดี”
ซูเจินได้แต่หวังว่าหญิงสาวผู้นี้จะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง
‘ท่านลุงอวิ๋นเซียว ตอนนี้ท่านคงอยู่บน์อันไกลโพ้น ข้าอยากรู้ว่าท่านสบายดีหรือไม่?’
จู่ๆ บนท้องฟ้ากว้างใหญ่ก็มีดาวสุกสกาวดวงหนึ่งตกลงมาอย่างกะทันหัน
ซูเจินบังเอิญมองไปทางนั้นและเห็นดาวตกพอดี
เขาพึมพำ “ดาวตกหนึ่งดวง! ดูเหมือนว่าคนดีอีกคนได้จากไปแล้ว”
อวิ๋นจื่อมองไปยังทิศทางของดาวตก และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเปลือกตาของนางกำลังกระตุก
ความเหน็ดเหนื่อยถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “พี่ชาย ข้าเหนื่อยแล้ว เราไปพักผ่อนกันเถิด”
ซูเจินเห็นด้วย
ทั้งสองเดินช้าๆ ท่ามกลางแสงจันทร์
ขณะที่ทั้งสองกำลังเดิน จู่ๆ อวิ๋นจื่อก็กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดหญิงสาวเ่าั้ถึงชอบเ้ามากเพียงนี้? พวกนางรู้ความลับของเ้าหรือไม่?”
ซูเจินหยุดเดินกะทันหัน “บางคนรู้ บางคนไม่รู้ แต่ข้าว่าคงมีครึ่งหนึ่งที่ไม่รู้ เ้าอย่าได้แพร่งพรายเื่นี้กับใครเป็อันขาด ในวันข้างหน้าถ้าข้าพูดเื่นี้กับเ้าหมายความว่าข้ากำลังประสบปัญหาใหญ่ หากวันนั้นมาถึงให้เ้าไปหาฮั่วฉีอวี่”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะจำไว้”
หลังจากนั้นนางก็เดินเข้าไปในเรือนหลังเล็กของนาง
ด้านซูเจินก็เดินกลับเรือนของตนเองเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้