ั์ตาของหว่านฉือปกคลุมไปด้วยชั้นหมอก นางมองเขาอย่างเขินอาย ความเงียบแผ่ซ่านมีคำพูดมากมายที่มิได้พูดไป แต่ความหมายนั้นเฉียบคมและตรงไปตรงมา
นางปรารถนาและคาดหวัง
หรงซิวยิ้ม หันไปมองท้องฟ้าสีเทา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ข้าไปครั้งนี้ล้วนเป็งานราชการ มียาชิงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด พระชายาวางใจได้”
แม้ว่าจะมิได้พูดให้ชัดเจน แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้ มันก็แปลว่าเขาปฏิเสธ
หว่านฉือเม้มปาก คิดจะพูดต่อ ไม่ให้เขาได้มีโอกาสอธิบาย “ทั้งยังที่หลางโจวฉีโจวกับในอีกหลายพื้นที่นั้นไกลมาก ถนนหนทางเป็หลุมเป็บ่อ พระชายาร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว พักผ่อนอยู่ที่จวนเถิด เช่นนั้นข้าถึงวางใจ”
คำพูดนี้ของหรงซิวทำเอามิมีผู้ใดพูดกระไรต่อได้ เป็คำพูดที่หวังดีต่อนางในทุกคำ ดูเหมือนจะเป็สามีที่รักและห่วงใยนางอย่างแท้จริง
แต่ในความจริงเล่า?
เป็เพียงเพราะว่าไม่อยากให้นางไปด้วย ไม่อยากจะเปิดโอกาสให้พวกเขามีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองไง!
หว่านฉือจิตใจลึกซึ้ง จึงเข้าใจได้ในทันใด แต่ถึงแม้ว่าจะเข้าใจแต่นางก็แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจได้ เพียงแค่ถึงจุดมุ่งหมาย นางไม่สนใจว่าจะต้องทำสักกี่วิถีทาง
นางย่อตัวลงเคารพ ยิ้มอย่างผู้มีความรู้ “ข้าเข้าใจความกังวลของฝ่าาเพคะ เพียงแต่ว่าข้ามีสิ่งที่อยากจะพูด หวังว่าฝ่าาจะฟังสักหน่อย ข้ากับฝ่าาเพิ่งจะอภิเษกกัน คนภายนอกมองเราอยู่ หากท่านเพิ่งอภิเษกแล้วออกไปทำงานไกลทันทีเช่นนี้ เกรงว่าจะกลายเป็ที่พูดกันของผู้คน ในฝั่งไทเฮานั้น...”
อ้อมไปอ้อมมา ก็ยังอดมิได้ที่จะใช้ชื่อไทเฮา
สีหน้าของหรงซิวไร้อารมณ์ แต่ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ
เขากัดปาก หมดความอดทนแล้ว “งานราชการก็คืองานราชการ ไทเฮาน่าจะเข้าใจได้ ไปเถิด ฝนซาแล้ว เรากลับจวนกัน”
หรงซิวไม่อยากจะพัวพันไม่จบไม่สิ้นต่อไป หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองฟ้าครึ้มที่มีเมฆหนา เมฆดำยังคงปกคลุมอยู่ไกลออกไป และยังตั้งเค้าที่จะครอบคลุมท้องฟ้าด้วย เขาหยิบร่มจากสตรีรับใช้ เขย่าเบาๆ แล้วเปิดออก แล้วมองไปที่หว่านฉือ เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้นางตามมา
การเปลี่ยนเื่พูดที่โง่เง่าเช่นนี้ แม้แต่คนโง่ก็มองออก
ในใจของหว่านฉือก็ต้องโกรธเป็ธรรมดา แต่ด้วยภาพลักษณ์ นางทำได้เพียงสูดหายใจเข้า และกดเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในใจ
เื่ที่จะขอไปเจียงหนานด้วยนั้นถูกหรงซิวปฏิเสธแล้ว แต่ยังดีที่ยังมีเวลาอยู่อีกระยะ นางจะต้องหาทางให้ได้
ฝนภายนอกร่มนั้นราวกับลูกปัดที่ด้ายขาด กระเด็นลงมาต่อเนื่อง คนที่อยู่ในร่มทั้งสองนั้นต่างก็มีความคิดต่างกัน เดินเคียงข้างกันไปอย่างเป็ธรรมชาติ
หรงซิวให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของร่มกับหว่านฉือ เมื่อมาถึงประตูวัง ก็มีขันทีมาช่วยทั้งสองไว้ พวกเขาก็แยกกันแล้วขึ้นรถไป
มิมีเสียงพูดคุยใดๆ ตลอดทาง
เมื่อถึงประตูจวน คนรับใช้ก็มาพาทั้งสองเข้าไปข้างใน
หว่านฉือที่คิดมาตลอดทาง ก็คิดหาวิธีดีๆ ได้ อารมณ์ก็ร่าเริงขึ้นมา นางคิดได้ว่ายังมิได้ทานกระไร จึงเชิญหรงซิวไปทานข้าวเย็นด้วยกัน
หรงซิวได้ยินเช่นนั้น ก็เหลือบมองนาง แล้วมองไปทางเหลียนเหอ พูดสั่ง “พระชายาเปียกฝนมา เกรงว่านางจะไม่สบายได้ เดี๋ยวเรียกหมอหลวงมาดูนางด้วยนะ ส่วนเื่อาหารค่ำ...”
นางมองไปที่หว่านฉือ แล้วพยักหน้า “แค่นี้ล่ะ ข้ายังมีงานที่ต้องทำ ข้าไปก่อน”
“เชิญฝ่าาเสด็จเพคะ”
หลังจากหรงซิวจากไปไกล หว่านฉือถึงได้ยืนตัวตรงขึ้นมา
นางเหลือบมองเหลียนเหอ อีกฝ่ายก็ข้าใจ เดินเข้าไปพยุงนาง แล้วพากันเดินเข้าไปที่เรือน
เหลียนเหอรู้ว่าหว่านฉือคิดกระไร เห็นว่าใบหน้านางมิได้สบายใจนักจึงพยายามพูดให้น่าฟังว่า “พระชายาเพคะ ท่าทีที่องค์ชายมีให้ท่านเมื่อครู่อบอุ่นอ่อนโยนมากเลยนะเพคะ ในใจของเขายังมีท่านอยู่เพคะ”
หว่านฉือพึมพำ ดูได้ใจเล็กน้อย
นางกับหรงซิวมีความสัมพันธ์กันมาั้แ่เด็ก มิได้พูดเล่นๆ แม้ว่าจะบังคับให้เขามาแต่งงานด้วยนี้จะทำลายภาพลักษณ์และความรู้สึกดีๆ ของพวกเขา แต่ยังมีเวลาอีกมาก หากว่านางตั้งใจแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะต้องกลับมาเป็เช่นเดิมแน่
เมื่อถึงเวลานั้น อวิ๋นอี้จะยังมีตัวตนกระไร?
“แน่นอนอยู่แล้วสิ” นางพูดอย่างมีความสุข “เพียงแต่ว่าองค์ชายยังดูโกรธข้าอยู่ ไม่ให้ข้าไปเจียงหนานกับเขา กลับพูดว่าเพราะเป็ห่วงสุขภาพข้า”
“ฝ่าาใส่ใจท่านนะเพคะ”
“ใส่ใจก็เื่หนึ่ง แต่เขาจะออกไปนาน รูปร่างหน้าตาของเขาเช่นนั้น ล้วนดึงดูดพวกผึ้งพวกผีเสื้อ ขาไม่อยากได้ผู้ใดให้เข้าจวนมาอีกหรอกนะ!”
“พระชายากังวลมากไปแล้วเพคะ ประตูหลวงมิใช่ผู้ใดคิดจะเข้าก็เข้าได้นะเพคะ” เหลียนเหอพูดปลอบโยน “ฝ่าาทั้งยังสะอาดสะอ้าน รักนวลสงวนตัว ผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว มีสาวงามอยู่ห้อมล้อม เขาก็ไม่เคยจะชายตามอง”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หว่านฉือก็ภูมิใจเป็ที่สุด พูดออกมาอย่างได้ใจมาก “เขาอยู่กับข้า เขาจะชายามองคนที่ด้อยกว่าข้าไปได้อย่างไร?”
“พระชายาพูดถูกที่สุดเพคะ” เหลียนเหอพูดคล้อยตาม “เคยทานอาหารอันโอชะ [1] เขาจะกลืนอาหารข้างทางลงได้อย่างไรเล่าเพคะ?”
“เ้านี่ปากหวาน” หว่านฉือถูกพูดยอเสียจนยิ้มหน้าบาน เอามือปิดปากแล้วหันกลับไป จิ้มหัวนาง “แต่ถึงอย่างไร การไปเจียงหนานครานี้ ข้าก็ต้องไปด้วย”
“แต่ว่าฝ่าา...”
“มิเคยได้ยินคำว่าเจอกันโดยบังเอิญหรือ?” หว่านฉือจู๋ปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “เขาไม่ให้ข้าไปด้วย ข้าก็ไปเจอเขาโดยบังเอิญสิ ถึงตอนนั้นอยู่นอกเมืองไปแล้ว เขาจะไล่ให้ข้ากลับมาหรือ?”
ไล่กลับมานั้นคงจะเป็ไปมิได้ หรงซิวมีสถานะ เขาไม่สามารถทำกระไรที่ไร้ความปรานีได้
หว่านฉือรู้จักนิสัยเขาดี ถึงได้จงใจจะใช้วิธีนี้
เมื่อเห็นว่าเ้านายมีแผนการแล้ว เหลียนเหอก็ไม่พูดกระไรอีก เพียงพูดชมเชยไปสองคำ แล้วเดินตามกลับเข้าไปในห้อง
ก่อนเวลาอาหารค่ำ ทั้งสองก็เตรียมตัวสำหรับการเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ของทุกชิ้นที่จัดเข้าไปนั้นล้วนคัดสรรอย่างดี หลังจากที่ยุ่งอยู่นาน เหลียนเหอจัดของชิ้นสุดท้ายเข้าไปในกล่อง แล้วก็ค่อยๆ ปิดฝาลงอย่างระมัดระวัง
นางบีบนวดแขนที่ปวด แล้วพูดบอกว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว
หว่านฉือสั่งการมาทั้งบ่ายแล้ว นางก็เหนื่อยเช่นกัน นางก็นวดขมับ แล้วพูดอย่างเหนื่อยล้า “เ้าไปบอกให้ฝ่าามาทานอาหารเถิด”
เหลียนเหอรับคำสั่ง กำลังหันออกไป ก็ถูกนางเรียกไว้อีกครั้ง “ช่างเถิดๆ ข้าไปเอง!”
นางลุกขึ้นยืน จัดแจงเสื้อผ้าและหน้าตา แล้วก็เดินอรชรไปที่ห้องหนังสือ แต่ผู้ใดจะรู้ว่ายังไม่ทันจะถึงเรือนห้องหนังสือ ก็ถูกยาชิงเรียกหยุดไว้
หว่านฉือยิ้มอย่างสุภาพกับยาชิง แล้วถามอย่างใส่ใจ “ฝ่าายังวุ่นอยู่ในห้องหนังสือหรือ?”
ยาชิงพยักหน้า แล้วตอบเสียงขรึม “คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
หว่านฉือถอนหายใจ “เย็นมากแล้ว พ่อบ้านเตรียมอาหารค่ำไว้แล้ว ข้าส่งคนมาเรียกกี่คราก็ไม่เห็นเงา งานราชการจะยุ่งอย่างไร ก็ต้องทานข้าวก่อน ข้าจะไปเรียกฝ่าา!”
นางพูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน ยาชิงที่รีบร้อนมาก็โผลงออกมา “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ! หยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าาได้บอกไว้ ว่าตอนที่เขาทำงาน ห้ามผู้ใดเข้าไป!”
หว่านฉือกะพริบตา ไม่เข้าใจเป็อย่างมาก “ข้าก็แค่ไปดูเขา ให้เขามาทานข้าว จะเรียกว่าเป็การรบกวนได้อย่างไรกัน?”
“พระชายาอาจจะยังไม่ทราบ” ยาชิงก้มหน้าลงเล็กน้อย “ฝ่าาเสร็จงานแล้วเขาจะออกมาเองพ่ะย่ะค่ะ ท่านไปทานก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ที่ตรงนี้ข้าจะดูแลให้เอง”
หว่านฉืออยากจะเข้าไปในห้องหนังสือแล้วทำตัวดีๆ สักครั้ง แต่จะไม่ฟังคำพูดของยาชิงก็มิได้
นางกับหรงซิวมีความสัมพันธ์ที่ดีมาั้แ่เด็กน่ะจริง แต่สามปีผ่านไป มิมีการติดต่อใดๆ ความสัมพันธ์ก็จางหายไปเป็ธรรมดา
นางกำลังอยู่ใน่สร้างความสัมพันธ์ นางไม่อยากจะทำให้ตนเองเสียภาพพจน์
“เช่นนั้นก็รบกวนเ้าด้วย” หว่านฉือยิ้มให้เบาๆ “หากฝ่าาถาม ให้บอกว่าข้ามาหานะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ยาชิงเคารพนางอีกครั้ง บอกให้นางออกไปอย่างมิมีเสียงพูดใด
ชายคาที่ปกคลุมไปด้วยท้องฟ้ายามค่ำคืน เอียงเข้าไปในบรรยากาศ ดวงจันทร์ที่ทั้งกลมโตและสว่างไสวเป็พื้นหลัง มุมของชายคาที่บินขึ้นไปดูเหมือนห่านป่าตัวใหญ่
ก่อนที่หว่านฉือจะเดินออกไป พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
มีความเป็ไปได้อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของนาง แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แม้แต่ฝีเท้าก็เร็วขึ้น
เมื่อกลับมาถึงห้องอย่างรีบร้อน นางก็รับสั่งเหลียนเหอเสียงเบา “ไปดูห้องหนังสือไว้ ตอนที่ฝ่าาทำงานเสร็จ ให้บอกกับข้าทันที”
เชิงอรรถ
[1] อาหารอันโอชะ 山珍海味 หมายถึง อาหารชั้นเลิศที่เป็อาหารป่าและอาหารทะเล ซึ่งเป็รายการอาหารรสเลิศที่สำคัญของจีนสมัยโบราณ ได้แก่ อุ้งตีนหมี รังนก หูฉลาม ปลิงทะเล หางกวาง โหนกอูฐ เป็ต้น