รับราชโองการ?!
เฉิงชิงใจเต้นกระหน่ำ นายอำเภอหลี่ลอบส่งสายตาให้นาง เฉิงชิงก็มีความยินดีแล้ว
หนังสือตัดสินที่ถวิลหา ในที่สุดก็มาถึงแล้ว ดูแล้วไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
นางหลิ่วตกตะลึง นางหลี่และเศรษฐีเฒ่าเหอสบสายตากัน รีบช่วยจัดเตรียมโต๊ะตั้งกระถางธูปรับราชโองการในทันที
ภายในใจพี่สาวทั้งสามของเฉิงชิงเองก็ปั่นป่วนมาก คนทั้งครอบครัวล้วนคาดหวังถึงวันนี้ แต่พอวันนี้มาถึงแล้วจริงๆ พี่สาวน้องสาวทั้งสามก็หวาดกลัวอีก
หากไม่ตัดสินก็ยังพอมีทางรอดบ้าง บัดนี้ตัดสินแล้ว ผลลัพธ์จะดีหรือร้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนได้อีก——
ฮูหยินผู้เฒ่าจูยินดีอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับครอบครัวเฉิงชิงที่หวาดกลัวความไม่แน่นอน
เฉิงชิงโชคร้าย ไม่อาจรับตำแหน่ง ‘บัณฑิตอั้นโส่วแห่งอำเภอ” ไว้ได้ เื่น่ายินดีเช่นนี้ยังไม่ทันพ้นวันก็ถูก์รับคืนไปแล้ว
ฮ่าๆ ไม่เสียแรงที่นางมาดูความครึกครื้นที่ตรอกหยางหลิ่วด้วยตนเอง
บุรุษถูกเนรเทศ สตรีถูกส่งเขาหอคณิกา นี่ก็คือจุดจบสุดท้ายของบุตรและภรรยาของเฉิงจือหย่วน!
ฮูหยินผู้เฒ่าจูเกรงว่าตนจะอดขำออกเสียงไม่ได้ รีบก้มหน้าลงแสร้งทำเป็หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา แต่เฉิงจือซวี่กลับไม่ได้มีความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นเช่นฮูหยินผู้เฒ่าจู รับราชโองการอะไรกันถึงต้องเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ เมื่อหนังสือตัดสินลงมา ก็ควรจับตัวครอบครัวเฉิงชิงไปทันที ไหนเลยจะให้เฉิงชิงจุดธูปเตรียมโต๊ะ... เื่ราวดูเหมือนจะนอกเหนือการควบคุมแล้ว เฉิงจือซวี่มองเกี้ยวที่มาถึงพร้อมพวกเ้าเมืองอวี๋ ผู้ที่ไม่ได้ลงเกี้ยวโดยตลอดคงเป็ข้าหลวงใหญ่ผู้ประกาศราชโองการ
บรรดาเพื่อนบ้านของตรอกหยางหลิ่วมองดูอยู่แต่ไกลๆ ทุกคนล้วนอยากรู้ว่าราชสำนักจะตัดสินคดีของเฉิงจือหย่วนอย่างไร
เฉิงชิงเพิ่งจะได้ตำแหน่งบัณฑิตอั้นโส่วประจำอำเภอ อย่าบอกนะว่าจะต้องถูกถอดถอนในทันที?
นี่ก็อนาถเกินไปแล้ว
เฉิงชิงที่ได้รับแววตาเห็นใจและกังวลจากฝูงชน คุกเข่าพร้อมนางหลิ่วและพี่สามทั้งสาม ข้าหลวงใหญ่ที่อยู่ภายในเกี้ยวก็ยินยอมปรากฏตัวในที่สุด
เมื่อข้าหลวงใหญ่ปรากฏตัวก็เกิดเสียงถอนหายใจดังสะท้อนทั่วสารทิศ เฉิงชิงอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก รองเท้าขุนนางสีดำพื้นขาวคู่หนึ่งปรากฏในสายตาของนาง เมื่อได้ยินเสียง ‘เฉิงชิงรับราชโองการ’ เสียงนั้น นางก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังอยู่ในความฝัน——
เสียงนี้ ต่อให้อยากลืมก็ลืมไม่ลง
เหตุใดคนผู้นี้จึงเป็ข้าหลวงใหญ่ที่ประกาศราชโองการได้?
เฉิงชิงงงงวย เกือบไม่ได้ยินราชโองการชัดเจน
เมื่อขจัดถ้อยคำพรรณนางดงามที่ไร้ประโยชน์เ่าั้ออกไปแล้ว ราชโองการมีใจความสำคัญเพียงอย่างเดียว เฉิงจือหย่วนไร้ความผิด!
ไม่เพียงไร้ความผิด ราชสำนักเห็นว่าเฉิงจือหย่วนไม่ได้ร่วมมือกันกระทำความชั่วกับกลุ่มขุนนางฉ้อฉลของเมืองเหอไถ นำไปสู่การที่เขาถูกฆ่าปิดปากให้เป็แพะรับบาป ถือเป็การเสียชีวิตในหน้าที่
ราชสำนักคืนชื่อเสียงของเฉิงจือหย่วน ทั้งยังเลื่อนขั้นย้อนหลังให้เฉิงจือหย่วนเป็ขุนนางขั้นสี่จ้านจื้ออิ่น จ้านจื้ออิ่นคือตำแหน่งขุนนางลอยที่มอบเป็รางวัล ความสำคัญของเกียรติยศเหนือกว่าความสำคัญในความเป็จริง คนก็ตายไปแล้ว จากขั้นเจ็ดะโขึ้นเป็ขั้นสี่ในทีเดียวก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่สำหรับบุตรและภรรยาของขุนนางที่เสียชีวิตในหน้าที่แล้ว การเลื่อนขั้นย้อนหลังนี้เป็การปลอบโยนอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือการปกป้อง
เฉิงจือหย่วนได้เลื่อนขั้นย้อนหลัง ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คนแรกคือนางหลิ่ว จากที่เป็สตรีในครอบครัวที่ต้องได้รับโทษ ะโเป็กงเหรินขั้นสี่[1]——ฮูหยินผู้เฒ่าจูหยุดแกล้งร้องไห้นานแล้ว ดวงตาทั้งคู่เกือบจะพ่นไฟออกมา
กงเหรินขั้นสี่?
อะไรนะ!
สตรีที่เก็บตัวอย่างนางหลิ่วได้รับแต่งตั้งเป็กงเหรินขั้นสี่!
เฉิงจือซวี่ได้เลื่อนขั้นเป็เ้าเมืองขั้นสี่แล้ว ว่ากันตามนี้ก็สามารถทูลขอให้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์แก่มารดาและภรรยาได้ แต่ตามกฎของราชสำนัก ต้องรอหลังจากเฉิงจือซวี่รับตำแหน่งแล้ว ผ่านการประเมินหนึ่งครั้งจึงจะสามารถทูลขอแต่งตั้งได้
ดังนั้นบรรดาศักดิ์ของฮูหยินผู้เฒ่าจูจึงยังอยู่ในขั้นก่อนที่เฉิงจือหย่วนยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง อี๋เหรินขั้นห้า ต่ำกว่านางหลิ่วหลังจากได้รับการแต่งตั้งแล้วหนึ่งขั้น ฮูหยินผู้เฒ่าจูพึ่งพาความรู้สึกแข็งแกร่งภายในใจ ไม่อาจให้ครอบครัวเฉิงชิงเห็นเื่ตลกคอยประคองไว้ ไม่เช่นนั้นคงเป็ล้มพับตรงนั้นไปแล้ว
ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คนที่สองก็คือเฉิงชิง ‘บุรุษ’ ผู้นี้
ขุนนางที่เสียชีวิตในหน้าที่ ตามระเบียบเก่าของแคว้นเว่ย สามารถมีผู้สืบทอดได้หนึ่งคน สืบทอดตำแหน่งก่อนตายของขุนนางผู้นั้น
หรือก็คือเฉิงชิงสามารถเลือกที่จะไม่สอบเข้ารับราชการแล้ว สืบทอดตำแหน่งของเฉิงจือหย่วนยามยังมีชีวิตอยู่ รับตำแหน่งเป็นายอำเภอขั้นเจ็ด... นายอำเภออายุสิบกว่าปีจะสามารถทำอะไรได้ งานราชการไม่อาจจัดการได้ กลับจะทำให้ราษฎรในอำเภอเสียเวลา
อีกทั้งนายอำเภอเป็ตำแหน่งมีอำนาจ ไม่รู้ว่าบัณฑิตจวี่เหรินมากน้อยแค่ไหนที่เป็ขุนนางสำรองยังคงต่อแถวรอ ที่จริงแล้วก็คงเวียนมาไม่ถึงเฉิงชิงผู้นี้ ที่ยังเป็เด็กยังไม่โตเต็มวัยไปทดแทนตำแหน่งมีอำนาจได้
“เสนาบดีเฉิงขอพระราชทานราชโองการจากฝ่าา รอเ้าผ่านการสอบระดับมณฑลแล้ว อนุญาตให้เ้าเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาหลวงหกเดือนเต็ม และไปเป็ผู้รอรับเลือกเสริมกำลังคนขาดที่กรมขุนนาง”
เป็เพราะเฉิงชิงยังอายุน้อย ข้าหลวงใหญ่จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะอธิบายมากหน่อย
เฉิงชิงผิดหวังเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะอายุทางกายภาพของนางยังน้อยเกินไป ก็สามารถเข้ารับราชการเป็เ้าเมืองขั้นเจ็ดได้ทันที ประหยัดเวลาเข้าสู่แวดวงขุนนางได้หลายปีทีเดียว
ความผิดหวังนี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หนทางสืบต่อตำแหน่งรับราชการย่อมเทียบไม่ได้กับการสอบเข้ารับราชการโดยตรง
อายุสิบสี่ปียากที่จะโน้มน้าวกลุ่มคน ไปรับราชการแล้วราษฎรในอำเภอคงไม่เชื่อถือนางเป็แน่ เ้าพนักงานของที่ว่าการก็คงคิดจะหลอกลวงนาง ปลัดอำเภอและเ้าหน้าที่ปกครองก็คงยิ่งไม่เห็นนางอยู่ในสายตา การเป็ขุนนางที่ยังถูกดึงรั้งทุกแห่งหนไม่น่าสนใจอย่างมาก ทำอะไรก็ต้องพยายามเป็สองเท่าเพื่อผลลัพธ์ครึ่งเดียว
เสนาบดีเฉิง ก็คือนายท่านหกเฉิงที่เป็ขุนนางอยู่ที่เมืองหลวง
นายท่านหกก็อยากให้นางสอบเข้ารับราชการเป็ขุนนาง ไม่ใช่เป็ขุนนางโดยการสืบต่อตำแหน่ง ดังนั้นจึงขอพระราชทานพระราชโองการให้นางไปเมืองหลวงศึกษาในสำนักศึกษาหลวงเมื่อสอบผ่านระดับมณฑลแล้ว
เมื่อสอบผ่านระดับมณฑลแล้วก็เป็บัณฑิตจวี่เหริน ห่างจากวุฒิจิ้นซื่อเพียงก้าวเดียว จะเรียนที่ไหนก็แตกต่างกันไม่มากนัก
ความคิดเหล่านี้แวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เ้าเมืองอวี๋กระแอมคอออกเสียงเตือนสติ
“เฉิงชิง ไยจึงยังไม่รับราชโองการอีก? ปกติแล้วขุนนางที่เสียชีวิตในหน้าที่จะได้เลื่อนขั้นย้อนหลังจากยามที่ยังมีชีวิตขึ้นหนึ่งขั้น ใต้เท้าเฉิงถูกเลื่อนขั้นย้อนหลังเป็จ้านจื้ออิ่นขั้นสี่ กล่าวได้ว่าเป็พระเมตตาอันกว้างใหญ่ไพศาลของฝ่าา!”
เฉิงชิงไม่คิดอะไรมาก รีบรับพระราชโองการจากในมือของข้าหลวงใหญ่
ยามส่งมอบราชโองการ นางไม่ระวังััเข้ากับนิ้วมือของอีกฝ่าย ฤดูใบไม้ผลิในเดือนสามช่างแจ่มใส นิ้วมือของข้าหลวงใหญ่กลับเย็นะเื ทำให้เฉิงชิงขนลุกขนพอง
นอกจากเยี่ยอ๋องซื่อจื่อ ในบรรดาผู้ที่เฉิงชิงรู้จักก็ไม่มีผู้ในที่ร่างกายย่ำแย่เช่นนี้
เมื่อรับราชโองการแล้วก็เงยหน้า ข้าหลวงใหญ่ตรงหน้าจะไม่ใช่เยี่ยอ๋องซื่อจือเซียวอวิ๋นถิงได้หรือ!
คนผู้นี้มาหนานอี๋อีกครั้งแล้ว
ครั้งก่อนมาอย่างลับๆ ล่อๆ ครั้งนี้เซียวอวิ๋นถิงใช้สถานะข้าหลวงประกาศราชโองการในการปรากฏตัว ไม่เพียงเปิดเผยน่าเคารพ ขุนนางท้องที่ทั้งหมดก็ไม่อาจเลินเล่อได้
ละครของเซียวอวิ๋นถิงแสดงได้ดี เหมือนครั้งแรกที่พบเฉิงชิง ใช้สถานะข้าหลวงใหญ่กล่าวถ้อยคำน่าเกรงขามบางส่วนแต่ก็เปิดเผยท่าทีอ่อนล้า นายอำเภอหลี่รีบกล่าวว่าได้จัดเตรียมสถานที่พักผ่อนไว้แล้ว เชิญเซียวซื่อจื่อเคลื่อนย้าย เซียวอวิ๋นถิงขึ้นเกี้ยวจากไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ส่วนพวกเฉิงจือซวี่ ฮูหยินผู้เฒ่าจูอะไรนั่น ล้วนไม่อยู่ในสายตาเซียวอวิ๋นถิงเลย แม้แต่แววตายังคร้านจะมอง
เ้าเมืองอวี๋ยังมีงานเลี้ยงรับรองเซียวซื่อจื่อ จึงรีบจากไป แต่ถูกเฉิงชิงเรียกรั้งตัวไว้
“ใต้เท้าอวี๋ พวกข้าทั้งครอบครัวสามารถไปจากตรอกหยางหลิ่วได้หรือยังขอรับ?”
เ้าเมืองอวี๋ถลึงตาใส่นาง “เ้าว่าอย่างไรล่ะ? เ้าคือทายาทของขุนนางภักดี ถ้ามาที่ว่าการข้ายังต้องรับรองเ้าอย่างดี!”
คาดไม่ถึงเลยว่าเื่ราวจะพลิกผัน เฉิงจือหย่วนไม่เพียงไม่ได้รับโทษ แต่ยังถูกราชสำนักเลื่อนขั้นย้อนหลังแล้ว เดิมที่จับครอบครัวเฉิงชิงกักบริเวณที่ตรอกหยางหลิ่วก็ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว เพียงเกรงว่าเฉิงชิงจะไม่ซาบซึ้งบุญคุณ
สิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากความคาดหมายของเ้าเมืองอวี๋ เฉิงชิงค้อมตัวต่อเขา
“ศิษย์ขอบพระคุณใต้เท้าทั้งสองท่าน ความรักและการคุ้มครองของท่านและนายอำเภอหลี่ ศิษย์มิกล้าลืม และไม่อาจลืมได้ขอรับ”
——อายุไม่มาก แต่เป็ผู้ที่เข้าใจคนอย่างหาได้ยาก
ยามเ้าเมืองอวี๋และนายอำเภอหลี่เดินจากไปก็พกรอยยิ้มไปด้วย
เมื่อเ้าเมืองอวี๋นำเ้าหน้าที่เฝ้าดูกลับไปแล้ว ครอบครัวของเฉิงชิงได้รับอิสรภาพคืนมา นางเพิ่งจะบวงสรวงราชโองการ สหายร่วมเรียนที่สถานศึกษาหนานอี๋กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวจากที่ใดไม่รู้
“เฉิงชิง วันนี้เ้ามีเื่มงคลคู่แล้ว!”
เฉิงชิงเอ่ยตอบเสียงสูง “มิผิด วันนี้บิดาข้าปลดเปลื้องมลทิน ได้รับแต่งตั้งถือเป็เื่มงคลใหญ่ชั้นหนึ่ง ข้าสอบผ่านระดับอำเภอคือเื่มงคลเื่ที่สอง เื่มงคลคู่ควรเฉลิมฉลองให้ดี——สำรับของหอไท่ไป๋นั้นข้าไม่ลืม รอข้าจัดการเื่ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว ต้องไปไม่เมาไม่กลับกับทุกท่านแน่!”
[1] ผู้เป็ภรรยาเอกและมารดาของขุนนางจะได้เป็ฮูหยินตราตั้งตามลำดับขั้นขุนนางของผู้เป็สามีหรือบุตรชายโดยมีชื่อเรียกแต่ละขั้นแตกต่างกัน
