ทันใดนั้นมีแสงสว่างขึ้นในแดนมรดกนั้น ปราณลึกลับเข้าห่อหุ้มร่างกายของฟู่เจิน ดวงตาฟู่เจินเป็ประกาย พลันฝ่ามือขยับ ก่อนจะปล่อยพลังในฝ่ามือออกไป มันกลายเป็อักขระล่องลอยอยู่ในอากาศพร้อมเปล่งแสงเรืองรอง หลอมรวมเข้ากับปราณลึกลับ ฟู่เจินแผดเสียงคำราม พลังธาตุไฟพลันปะทุออกจากร่าง จากนั้นปรากฏเงาเตาหม้อใบหนึ่งที่ด้านหลังของเขา มันะเิกลิ่นอายโบราณออกมา ราวกับอยู่มานานั้แ่โบราณกาล
“ิญญาาเตาหม้อ แข็งแกร่งมาก! สมแล้วที่เป็อัจฉริยะของวังเทพโอสถ าาโอสถแต่กำเนิด ด้วยการสนับสนุนของิญญาาเตาหม้อขั้นเหลือง พร์และทักษะในการปรุงยาของเขาจึงเหนือกว่าคนทั่วไปหลายเท่า” นาทีนี้สายตาของฝูงชนล้วนจับจ้องไปที่ร่างของฟู่เจิน ซึ่งห้อมล้อมด้วยแสงสว่างจากิญญาาพลางรู้สึกตื่นตะลึงเป็อย่างมาก
ฟู่เจินหลับตาและปล่อยิญญาาเตาหม้อออกมา เพื่อช่วยให้เขาเรียนรู้พลังมรดก ทั้งร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยแสงประหลาดที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ ขณะเดียวกันนี่จ้านเทียนและอี้ชิงที่อยู่ในแดนมรดกส่วนสองแถวที่หนึ่งก็ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน ลมปราณของพวกเขาแตกต่างจากตอนแรกเป็อย่างมาก
นี่จ้านเทียนตาเป็ประกายสดใสและเฉียบคมกว่าเดิม ปราณรอบตัวแข็งแกร่งทรงพลังราวกับใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบเคียงเขา ส่วนอี้ชิงมีแววตาเปลี่ยนไปเป็สุขุมลึกซึ้ง ทำให้คนที่สบตารู้สึกเหมือนกับว่าตกอยู่ในภวังค์ ปราณบนร่างได้เกิดการเปลี่ยนแปลง มันแข็งแกร่งขึ้น
“สองคนนั้นตื่นแล้ว!” หลายคนมองมาที่พวกเขาสองคนด้วยสายตาตื่นเต้น แม้พวกเขาไม่มีคุณสมบัติในการแย่งชิงมรดก ทว่าการได้เห็นเหล่าอัจฉริยะแข่งขันกันเองกับตา ก็นับได้ว่าไม่ได้มาเสียเที่ยวมิใช่หรือ?
ขณะนั้นนี่จ้านเทียนกับอี้ชิงก็หันมาสบตากัน พวกเขาต่างััได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งบนตัวของอีกฝ่าย ในฐานะศิษย์อัจฉริยะจากสองสำนักยุทธ์ศึกษาที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเมืองหลวง นี่จ้านเทียนกับอี้ชิงอยากประมือกันมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาส ทว่าตอนนี้โอกาสได้มาถึงแล้ว!
“นี่จ้านเทียนแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ข้าขอคำชี้แนะด้วย” อี้ชิงเป็ฝ่ายพูดก่อน ขณะเดียวกันเจตจำนงแห่งการต่อสู้ก็ลุกโชนขึ้นมา
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสเ้า!” นี่จ้านเทียนตอบกลับ ร่างกายสูงโปร่งพลันเหยียดกายตรง ความมั่นใจเปี่ยมล้นอย่างแรงกล้าราวกับว่าตราบใดที่เขาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครต่อกรกับเขาได้ ในฐานะหัวกะทิของสำนักยุทธ์ศึกษา มีใครบ้างที่ไม่มีความภูมิใจในตัวเอง? เื่ศักดิ์ศรีนั้นเป็สิ่งที่ยอมกันไม่ได้!
“วูบ!” เมื่อสิ้นเสียงนี่จ้านเทียน อี้ชิงก็เคลื่อนไหวทันที ร่างของเขาทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วจนเหลือแค่ภาพติดตา ชั่วพริบตาก็มาถึงแดนมรดกที่นี่จ้านเทียนอยู่ จากนั้นจึงะเิพลังที่แข็งแกร่งออกมา
ฝ่ามืออันทรงพลังพุ่งไปที่ร่างของนี่จ้านเทียน พลังฝ่ามือนี้แม้แต่อากาศก็ยังปั่นป่วน คลื่นทำลายล้างแผ่ขยายไปทั่วแดนมรดก ทำให้ม่านแสงสั่นไหวขึ้นมาราวกับจะพังทลายลง
ประกายแสงเย็นะเืปะทุขึ้นมาในดวงตานี่จ้านเทียน รอบกายอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล ก่อนที่กําปั้นขนาดใหญ่จะะเิออกมา ในอากาศปรากฏเงาหมัดอันน่ากลัวนับไม่ถ้วนขึ้นมา จากนั้นก็ปะทะเข้ากับฝ่ามือของอี้ชิง
“ตูม” แผ่นดินไหวะเื คลื่นทำลายล้างแพร่กระจายทั่วทุกทิศทาง โดยมีทั้งสองคนเป็จุดศูนย์กลาง ภายใต้คลื่นทำลายล้าง ม่านแสงของแดนมรดกสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับจะพังทลายได้ทุกขณะ พื้นดินปรากฏรอยแตกแผ่ขยาย!
การโจมตีรอบนี้ ต่างฝ่ายต่างถอยร่นไปทั้งคู่ นี่จ้านเทียนเป็ฝ่ายตั้งตัวได้ก่อน สีหน้าของเขาเ็าสุดขีด ร่างกายยังคงยืนตรงอย่างสง่าราวกับว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขามากนัก
อี้ชิงก้าวถอยหลังมากกว่านี่จ้านเทียนอยู่สองสามก้าวจึงจะตั้งตัวได้ แขนของเขาสั่นระริก อีกทั้งมุมปากยังมีเืไหลออกมา
การปะทะกันครั้งนี้ นี่จ้านเทียนเป็ฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด พลังโจมตีของเขารุนแรงมาก พละกำลังไม่เป็สองรองใคร เมื่อะเิพลังต่อสู้ขึ้นมาอีกฝ่ายจึงได้เปรียบเป็ธรรมดา ในทางตรงกันข้าม การโจมตีที่เรียบง่ายของอี้ชิงดูด้อยกว่ามาก
“ทรงพลังมาก!” ดวงตาทุกคนแข็งทื่อเมื่อได้เห็นฉากนี้ หัวใจพวกเขาเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น นี่คือการต่อสู้ของสองผู้แข็งแกร่ง อย่างไรเสียอี้ชิงก็มาจากสำนักศึกษาเสินเจียง พร์ของเขาไม่ด้อยไปกว่านี่จ้านเทียนเลย
มีผู้คนไม่น้อยที่คิดเช่นนี้ แต่ละคนเริ่มสงบจิตใจเอาไว้ไม่อยู่ แม้อี้ชิงจะแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้แบบซึ่ง ๆ หน้าก็ไม่ใช่แนวทางของเขา ต้องรู้ว่าการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์อย่างนี่จ้านเทียนกับอี้ชิงนั้นเป็เื่ที่เกิดขึ้นได้ยาก หลายปีมานี้มีแค่งานชุมนุมหวงปั่งเท่านั้น จึงจะได้ชมการประลองระหว่างอัจฉริยะจากสำนักยุทธ์ศึกษาชั้นนำของเมืองหลวง ครั้งนี้นับว่าพวกเขาได้เปิดโลกแล้ว
“เ้าไม่ไหวหรอก!” นี่จ้านเทียนยืนเอาสองมือไพล่หลังแล้วกล่าวอย่างทะนงตัว เขาราวกับมีกลิ่นอายเฉพาะแผ่ออกมา ประหนึ่งาากำลังมองอี้ชิงจากที่สูง ส่วนสีหน้าของอี้ชิงดูไม่ค่อยดีนัก การโจมตีเมื่อครู่นี้ ทุกคนล้วนเห็นกันอย่างชัดเจนว่าเขาอี้ชิงไม่สามารถครองความได้เปรียบ
“หวังว่าในอนาคตเ้าจะแข็งแกร่งเหมือนเช่นตอนนี้”
อี้ชิงจ้องมองนี่จ้านเทียนพลางพูดอย่างเ็า จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป เขามุ่งหน้าไปยังแดนมรดกแถวที่สอง
“หึ!” นี่จ้านเทียนแค่นเสียงอย่างเ็า โดยไม่เห็นอี้ชิงอยู่ในสายตา เขาต้องสนใจด้วยหรือว่าคนแพ้คิดเช่นไร? จากนั้นหันไปมองเงาร่างหนึ่งที่อยู่แดนมรดกไม่ไกลนัก เมื่อเห็นรัศมีชะตาปกคลุมเงาร่างนั้น ซึ่งมันแข็งแกร่งกว่าตัวเองไม่รู้กี่เท่า นี่จ้านเทียนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ “สวะขั้นบ่มเพาะกายานี่เก็บชะตาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้เยี่ยงไร มิหนำซ้ำยังเข้ามาในแดนมรดกนี้ได้อีก?”
เมื่อนี่จ้านเทียนเห็นใบหน้าของเงาร่างนั้นอย่างชัดเจน ในใจก็พลันตื่นตกตระหนกขึ้นมา ก่อนหน้านี้นี่จ้านเทียนตกหลุมรักฉินเยียนหรานจึงมีเื่กับเย่เฟิง ซึ่งเื่นี้เย่เฟิงนั้นถูกใส่ความ เนื่องจากฉินเยียนหรานไม่ได้รู้สึกอะไรกับนี่จ้านเทียน นางจึงหาวิธีสลัดอีกฝ่ายไปให้พ้น ๆ ซึ่งบังเอิญเย่เฟิงอยู่ตรงนั้นพอดี ฉินเยียนหรานจึงใช้เย่เฟิงเป็ไม้กันหมา โดยบอกว่าเย่เฟิงคือคนที่อยู่ในใจนาง ทำให้นี่จ้านเทียนเกลียดเย่เฟิงเข้ากระดูกดำ ต่อมานี่จ้านเทียนรู้ว่าเย่เฟิงสังหารเฟิงเฉียน ศิษย์น้องของเขาในงานประลองยุทธ์ที่พรรคเทียนจีจัดขึ้น ซึ่งเป็การตบหน้าอาจารย์ของเขา เมื่อเื่มาถึงจุดนี้ อีกฝ่ายจึงกลายเป็คนที่นี่จ้านเทียน้าสังหาร
อย่างไรก็ตามนี่จ้านเทียนใอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเลื่อนสายตาไปมองทางอื่น สำหรับสวะขั้นบ่มเพาะกายานี่ เขานี่จ้านเทียนสามารถฆ่าตอนไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้ เพราะตอนนี้เป็่เวลาในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงมรดก เขาไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าเพื่อสังหารสวะตัวหนึ่ง จากนั้นผู้คนเห็นนี่จ้านเทียนเดินไปยังแดนมรดกแถวที่สอง
ด้วยพร์ของนี่จ้านเทียน แดนมรดกแถวที่สองไม่คณามือของเขา เขาจึงเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในแดนมรดกอีกแห่งอย่างง่ายดาย และเริ่มเข้าสู่สภาวะเรียนรู้
ตอนนี้ในแดนมรดกส่วนสามแถวที่สองมีสามคนอยู่ในนั้น ได้แก่ นี่จ้านเทียน ฟู่เจิน และอี้ชิง สามคนนี้เป็บุคคลที่น่าทึ่ง เป็อัจฉริยะที่หายาก จิตใจทุกคนพลันสะท้าน อัจฉริยะไม่ว่าจะอยู่ไหน ก็มิมีสิ่งใดมาบดบังพวกเขาได้
“วิ้ง!” ขณะนั้นแดนมรดกส่วนสามแถวที่สองถูกม่านแสงเข้าปกคลุมคล้ายกับปิดตาย ไม่ยอมรับใครเข้ามาอีก
ฉากนี้ทําให้ดวงตาของฝูงชนเป็ประกาย หัวใจพวกเขาสั่นไหวอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้แดนมรดกส่วนสามจึงถูกปิดกั้น ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ยังไม่ตื่นจากการเรียนรู้ของแดนมรดกแถวที่หนึ่งได้สูญเสียโอกาสที่จะเข้าแถวที่สองไปแล้ว เท่ากับว่าสูญเสียโอกาสในการแย่งชิงมรดกสูงสุด กล่าวได้ว่ามรดกสูงสุดอาจเป็ของนี่จ้านเทียน ฟู่เจิน หรืออี้ชิง สามคนนี้เท่านั้น
หาก้าแย่งชิงมรดกสูงสุดกับสามคนนี้ ในทางทฤษฎีแล้วยังมีโอกาส ซึ่งก็คือเข้าไปแย่งพื้นที่ในแดนมรดกกับหนึ่งในนั้น บีบให้หนึ่งในนั้นล่าถอยออกจากแดนมรดก จากนั้นก็เข้าไปแทนที่และรับโอกาสสืบทอดมรดก แต่ทุกคนรู้ดีว่านั่นเป็เพียงทฤษฎี สามคนในแถวที่สองล้วนเป็สุดยอดอัจฉริยะ มีพลังที่ไม่ธรรมดา โอกาสที่จะชนะคนเหล่านี้แทบเป็ไปไม่ได้เลย อย่างน้อยคนที่อยู่ในแถวที่หนึ่งก็ไม่มีใครทำได้ แม้พวกเขามีพร์ที่ไม่ธรรมดา แต่ถ้าเทียบกับสามคนนั้นแล้ว ถือว่าด้อยกว่ามาก
แดนมรดกแถวที่หนึ่งเริ่มมีบางคนตื่นขึ้นมาจากสภาวะเรียนรู้แล้ว พวกเขาแต่ละคนมีดวงตาเป็ประกายดุจสายฟ้า ลมปราณที่ปลดปล่อยออกมาล้วนแข็งแกร่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นแดนมรดกแถวที่สองถูกปิด ในแววตาก็เผยความสิ้นหวังและเกิดความลังเล
แดนมรดกนี้มีความลึกลับมากมาย แม้จะเป็แค่แถวที่หนึ่ง แต่พวกเขาก็ได้รับผลประโยชน์มากมาย ถ้าโชคดีได้เข้าไปในแถวที่สอง ก็คงจะดีไม่น้อย แต่พวกเขาก็ได้แค่คิดในใจ เพราะสามคนที่อยู่ในแถวที่สองนั้นไม่เพียงแต่มีพร์ที่น่าทึ่ง แต่สถานะของอีกฝ่ายยังไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อต้านได้ ฉะนั้นความเป็ไปได้ที่จะเข้าไปในแถวที่สองจึงเป็ศูนย์ และทำได้เพียงมองตาปริบ ๆ เท่านั้น
“อือ?” ขณะเดียวกันมีคนบางส่วนสังเกตเห็นเย่เฟิงที่อยู่ในแดนมรดกใกล้ ๆ ก่อนดวงตาพวกเขาจะฉายแววเฉียบคมขึ้นมา
“ขยะขั้นบ่มเพาะกายากล้าเข้ามาที่นี่ด้วยหรือ หาที่ตายชัด ๆ !” หนึ่งในนั้นจ้องมองด้วยสายตาดูแคลน
พลังของแดนมรดกส่วนห้าแถวที่หนึ่งนั้นแตกต่างกัน แม้จะไม่สามารถเข้าไปในแถวที่สอง แต่ส่วนอื่น ๆ ของแดนมรดกแถวที่หนึ่งก็ไม่เลวนัก คนที่เหลือต่างครุ่นคิดเมื่อถึงจุดนี้ พวกเขาจึงเริ่มสนใจส่วนอื่น ๆ ของแดนมรดกแถวที่หนึ่ง
“วิ้ง!” ตอนนั้นเองชายที่ดูแคลนเย่เฟิงได้มุ่งหน้ามาหาเย่เฟิง เขามองเย่เฟิงด้วยแววตาเหยียดหยามและเต็มไปด้วยความเ็า ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในสภาวะเรียนรู้มาโดยตลอด จึงไม่รู้เื่ราวที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก และย่อมไม่รู้ว่าแดนมรดกส่วนที่เย่เฟิงอยู่นั้น เขาแย่งมันมาจากฟู่หยิง
ฉากนี้เรียกความสนใจจากฝูงชนได้เป็อย่างดี สีหน้าของพวกเขาดูกรุ้มกริ่มขึ้นมา และมองไปที่ชายผู้นั้นด้วยท่าทางเย้ยหยันปนสงสาร
อย่างไรก็ตามชายผู้นั้นกลับไม่รู้เื่อะไรเลย และยังคิดว่าคนอื่นกำลังเวทนาเย่เฟิงกันอยู่
“ยังจะเสแสร้งอยู่อีกหรือ?” ชายคนนั้นจ้องมองเย่เฟิงแล้วยิ้มอย่างเ็า ราวกับแน่ใจว่าเย่เฟิงกำลังกลัวเขาอยู่ จึงจงใจไม่ตื่นขึ้นมา
เมื่อได้ยินชายคนนั้นพูด เย่เฟิงก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เขาไม่ได้ตกอยู่ในภวังค์อย่างลึกซึ้งเฉกเช่นคนอื่น ๆ ดังนั้นจึงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกทุกอย่าง ดวงตาที่เ็าได้จ้องมองไปยังชายผู้นั้น แล้วกล่าวอย่างสงบว่า “เ้ากำลังพูดกับข้าหรือ?”
“ใช่!” ชายผู้นั้นพยักหน้า สายตาของเขายังคงมองมาอย่างดูถูก “เ้ามาทำอะไรที่นี่? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”