“รับไป” ปู่หลินยื่นเหรียญใหญ่ทั้งสามเหรียญไปข้างหน้า
หลินต้าหลางเบ้ปาก แต่ก็คิดว่ายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย จึงรับเงินไว้แล้วเดินจากไป ในขณะที่จ้าวซื่อลูบท้องรออย่างสบายใจ
เหตุการณ์เยือนหมอของจ้าวซื่อจบลง และกลายเป็ชนวนให้ข่าวแพร่ไปทั่วหมู่บ้านหูลู่ จนเป็ที่รู้กันว่าแม่เฒ่าจ้าวซื่อกำลังท้องอีกครั้งแม้วัยใกล้สี่สิบแล้ว
มีทั้งคนที่แอบเยาะเย้ยและคนที่ยินดีกับเื่นี้
เย็นวันนั้น ย่าหลี่และแม่นมฉินก็กำลังหยอกล้อเด็กๆ ทั้งสองพลางเดินเข้าบ้าน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
หลินฟู่อินกำลังนั่งเขียนขั้นตอนการทำถั่วงอกอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าทั้งสองกลับมาพร้อมรอยยิ้ม นางจึงยิ้มออกมา
“ย่าหลี่ น้าฉิน เจอเื่อะไรดีๆ มาหรือ?”
หลังจากที่ฟู่อินเริ่มสนิทสนมกับแม่นมฉินมากขึ้นแล้ว นางจึงเริ่มเรียกนางว่าน้าฉิน
ได้ยินคำถามเช่นนี้ น้าฉินจึงยิ้มออกมาแล้วมองย่าหลี่ “ป้าของเ้านั่นละ หลังจากกลับมาจากเมือง ตอนนี้จึงเป็ที่รู้กันไปทั่วแล้วว่านางท้องในวัยนี้ ทั้งยังเรียกว่าเป็ดาวโชคดีเสียด้วย”
“เป็เช่นนั้นหรือ?” หลินฟู่อินอึ้งไป พลางคิดเทียบกับตนที่ถูกเรียกว่าเป็ดาวหายนะ
“และอีกเื่ เพราะป้าใหญ่ของเ้ามีเด็กในท้อง นางจึงบอกว่าจากนี้ไปนางต้องพยายามทำให้เด็กปลอดภัย นางจึงทำอะไรไม่ได้ และให้ย่าของเ้าเคี่ยวน้ำแกงไก่ให้กินทุกวัน” ย่าหลี่หันเราะจนหัวโยก
หลินฟู่อินอึ้งไปกับความประหลาดนี้ คนท้องในหมู่บ้านหูลู่นี่สามารถนอนกลิ้งรอคนป้อนน้ำแกงไก่ไปวันๆ ได้เลยหรือ?
สบายเกินไปแล้ว!
แล้วย่าหลี่จึงกล่าวต่อ “ตอนนี้นางมีปากเสียงกับย่าของเ้ารุนแรงใช้ได้ ได้ยินมาว่าปู่ของเ้าตีย่าเ้าด้วย แล้วจ้าวซื่อก็ยังพล่ามไปทั่วว่าตอนนี้นางอยู่สบายมาก”
สมกับเป็จ้าวซื่อดี
และเพราะไม่ได้อยากยุ่งอะไรกับบ้านใหญ่อยู่แล้ว หลินฟู่อินจึงหัวเราะออกมา “ถ้าเช่นนั้นบ้านใหญ่ก็คงมีปัญหากันไปอีกสักพัก แปลว่าในระหว่างนี้พวกเราจะได้อยู่อย่างสงบ”
จ้าวซื่อทะเลาะกับอู๋ซื่อ ก็แปลว่าจะมีโอกาสมาหาเื่นางน้อยลง ดังนั้นใช้โอกาสนี้ทำงานของนางต่อไปดีกว่า
ย่าหลี่และน้าฉินพูดคุยกันต่อเื่ความไม่ได้เื่ของจ้าวซื่อ ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน
เมื่อจบเื่ของบ้านใหญ่แล้ว หลินฟู่อินจึงไปเตรียมการเพื่อเริ่มกิจการใหม่
อย่างแรก หลี่อี้ได้ขอให้ลุงหลิวนำข้อความมาส่งให้นาง ว่ายาที่สั่งไว้มาถึงโรงหมอตระกูลหลี่แล้ว
เมื่อหลินฟู่อินได้ยินเช่นนี้จึงรู้ได้ทันทีว่ามันหมายถึงไขมันสัตว์ที่แม่นางฉินบอกว่าจะส่งให้หลี่อี้ นางจึงเข้าไปคุยกับคนในบ้าน แล้วไปขึ้นเกวียนเทียมลาเพื่อเข้าเมือง
เมื่อมาถึงโรงหมอสกุลหลี่ก็พบหลี่อี้ที่กำลังจ่ายยาอยู่ที่โต๊ะ เมื่อเขาเห็นว่านางมาแล้วจึงยิ้มออกมา แล้วหันไปหาศิษย์หนุ่มอีกคนที่ทำเอกสารอยู่ด้านหลัง “ซุนเหมา มาทำแทนข้าที”
หลินฟู่อินมาเยือนที่นี่หลายครั้งแล้ว นางจึงรู้จักซุนเหมาผู้นี้ด้วย นางยิ้มแล้วผงกหัวให้เขา ซุนเหมาก็ผงกรับอย่างสุภาพ
“ฟู่อิน เ้ามาถึงเร็วนัก ไม่ใช่ว่าเ้ายุ่งกับเื่ทางบ้านอยู่หรือ?” หลี่อี้พานางไปยังห้องเก็บของที่โรงหมอสกุลหลี่ใช้เก็บสมุนไพรพลางพูดคุยไปด้วย “แม่นางฉินรักษาคำพูดเป็อย่างดี นางส่งถังไม้ใส่ไขมันสัตว์ถังใหญ่มาหลายถังจนกลายเป็จุดสนใจจากทั้งโรง แม้แต่อาจารย์และท่านป้ายังเกิดระแวงขึ้นมาเลย”
หลี่อี้กล่าวพลางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
หลินฟู่อินจึงกล่าว “รบกวนท่านมากจริงๆ แล้วท่านบอกท่านหมอหลี่และหลี่ฮูหยินไปว่าอย่างไรหรือ?”
เมื่อเห็นนางรู้สึกผิด หลี่อี้จึงรู้สึกว่านางสำรวมมากเกินไป จนต้องส่ายศีรษะ “ฟู่อินไม่ต้องใส่ใจ เหล่านี้เป็เพียงเื่เล็กน้อย ไม่จำเป็ต้องคิดมาก” และเมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินหัวเราะตอบ เขาจึงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ส่วนคำที่ข้าใช้อ้างกับอาจารย์นั้น ก็เป็ข้ออ้างเดียวกับที่เ้าบอกแม่นางฉินไปนั่นแหละ ว่าข้าสั่งไขมันนี้มาเพื่อใช้ทดลองเป็วัตถุดิบทำยา”
“ท่านบอกเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” คิ้วของหลินฟู่อินเลิกขึ้นด้วยความขบขัน นางรู้สึกขอบคุณความช่วยเหลือของหลี่อี้เป็อย่างมาก
“เป็ประโยคที่เ้ากล่าวเองเลยนะ” หลี่อี้หัวเราะ “และเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่เพียงอาจารย์จะไม่ดุข้า เขากลับชมข้าเสียอีกว่ามีความคิดยืดหยุ่นนัก และบอกว่าคนรุ่นใหม่ต้องรู้จักใช้สมองและสองมือให้มากขึ้น และเพียงเตือนข้าไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเท่านั้น”
“ดีจริงๆ” หลินฟู่อินรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าหมอหลี่เป็ครูที่ดีจริงๆ ทั้งยังไม่ใจแคบ นับเป็โชคดีที่เขาเป็คนเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วการจะให้แม่นางฉินส่งไขมันมันมาให้นางคงเป็เื่ยากเป็แน่
เมื่อหลินฟู่อินเห็นถังไขมันมันในห้องเก็บสมุนไพรของโรงหมอสกุลหลี่แล้ว นางก็ตะลึงไป
พอนับดู มันมีถังใหญ่ทั้งหมดสี่ถัง แต่ละถังหนาประมาณคนสองคนกอดกัน โดยมีกระดาษปิดถังแล้วคาดทับไว้ด้วยเชือก
เยอะเหลือเกิน แม่นางฉินซื่อสัตย์ดีจริงๆ อย่างไรเสียนางก็ต้องใช้ไขมันนี้ในปริมาณมาก และแม้จะไม่ใส่อะไรเข้าไปเพิ่ม แค่กันโหยวเฉยๆ ก็เป็ผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ดีแล้ว
“ฟู่อิน เ้าจะทำอย่างไรกับไขมันเหล่านี้หรือ? จะฝากไว้กับข้าหรือจะเอาอย่างไร?” หลี่อี้ถามหลินฟู่อินพลางชี้ไปยังถังไม้
หลินฟู่อินกะพริบตา แล้วยิ้มหน้าบานออกมาพลางเงยหน้ามองหลี่อี้ “ข้าอยากขนทั้งหมดนี่ไปไว้ที่บ้านที่ข้าเพิ่งซื้อมา ไม่ทราบว่าพี่หลี่จะสะดวกหรือไม่?”
หลี่อี้เองก็อยากช่วยนางให้มากกว่านี้อยู่แล้ว เมื่อเห็นนางขอเขาจึงพยักหน้าทันที “ไม่เป็ปัญหา เ้ากลับไปก่อนแล้วทิ้งกุญแจไว้ให้ข้า พอมืดแล้วข้าจะให้คนขนไปให้”
บ้านใหม่ของฟู่อินและโรงหมอสกุลหลี่อยู่ห่างกันไม่มาก การให้เขาขนไปตอนกลางคืนจึงไม่ใช่เื่ยากนัก
และแม้จะถูกพบเข้า ก็เพียงบอกว่าพวกนางเป็คนรู้จักกัน และมาขอพักอยู่ที่บ้านนางพักหนึ่งเท่านั้นก็จบ
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการขนไขมันนี่ไปใช้ทำชาด ดังนั้นใครจะไปสนเื่ยิบย่อยอื่นกัน
เมื่อเห็นหลี่อี้รับคำหลินฟู่อินก็โล่งใจ ขอบคุณหลี่อี้ด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่หลี่อี้ เพื่อเป็การตอบแทน เอาไว้ข้าจะเชิญท่านไปทานอาหารที่ภัตตาคารหลิวจี้นะ”
หลี่อี้ยิ้มออกมา “ตกลง แล้วข้าจะรอเ้า”
“ได้” หลินฟู่อินโค้งให้ แล้วถามเื่เวลา “แล้วพี่หลี่อี้จะส่งของให้ข้าได้วันไหนหรือ?”
หลี่อี้เห็นว่านางดูเร่งรีบ เขาจึงไม่อยากขัด “จัดการให้ได้วันนี้เลย”
หลินฟู่อินขอบคุณเขาอีกครั้ง หลังจากทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก็ออกมาจากห้องเก็บสมุนไพร ก่อนที่จะถูกหลี่ฮูหยินพบตัวเข้า
ดูเหมือนว่าหลี่ฮูหยินจะได้ยินเื่ที่หลินฟู่อินมา จึงส่งคนมาตามหาตัวทันทีเพื่อเรียกไปพูดคุย
หลินฟู่อินจึงร่ำลากับหลี่อี้ ก่อนจะตามคนของหลี่ฮูหยินไป
เมื่อไปถึงที่ หลี่ฮูหยินก็ดีใจมากที่ได้พบนาง วางสมุดบัญชีในมือลงแล้วเชิญให้นางนั่ง ก่อนจะเรียกหาชาและขนมไม่หยุด
หลินฟู่อินพินิจมองหลี่ฮูหยินให้ดี และจึงได้เห็นว่าสีหน้าของนางดีขึ้นมากแล้ว จึงรู้ว่าการรักษาได้ผลดีและดีใจกับนางด้วย
“ฟู่อิน ข้าใช้ทั้งยากินและยาทาที่เ้าให้มาไม่มีขาด ตอนนี้ข้าอาการดีขึ้นมากเลย” เมื่อชาและขนมมาถึง หลี่ฮูหยินก็คะยั้นคะยอให้นางดื่มชาและกินขนมไปพลางพูดคุยกัน
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง คิ้วโค้งมน สายตาดูอ่อนโยน นางยิ่งรู้สึกดีกับหลินฟู่อินขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
หลินฟู่อินรับน้ำใจแล้วยื่นมือออกไปหยิบขนมมากินพลางหัวเราะ “นับเป็ข่าวดีที่สุดที่ข้าได้ยินใน่นี้เลย ยินดีกับฮูหยินด้วย”
“เ้าก็พูดเกินไป” หลี่ฮูหยินยิ้มพลางหยอกล้อกับนาง
“เ้าก็พูดเกินไป” หลี่ฮูหยินยิ้ม แล้วกล่าวต่อ “ร่างกายของข้าแข็งแรงขึ้นแล้ว และข้าได้ยินมาว่าเ้าไปรักษาวังฮูหยินด้วย นางรับยาตามที่เ้าจ่าย และตอนนี้สุขภาพก็ดีขึ้นมากเช่นกัน ตอนนี้ในแวดวงนักธุรกิจหญิงในเมืองต่างก็ยกย่องให้เ้าเป็หมอหญิงเทวดากันเลยทีเดียว”
ขนาดนั้นเชียวหรือ?
หลินฟู่อินตะลึงกับข่าวนี้จนนิ่งไป นางสั่นสะท้านจนถึงกับลืมนำตั้นเกาถั่ว [1] ที่เหลือในมือเข้าปาก เป็ผลให้หลี่ฮูหยินมองนางอย่างขบขัน
“อะไร เ้าคิดไม่ถึงหรือ?” หลี่ฮูหยินหรี่ตามองนาง “แต่นี่เป็โอกาสดีแล้ว นักธุรกิจหญิงเ่าั้ล้วนอยากถามเื่ของเ้า แต่เพราะกลัวว่าข้าจะไม่อยากตอบ พวกนางจึงไปถามวังฮูหยินแทน ข้าว่าตอนนี้น่าจะได้เวลาที่เ้าจะเปิดโรงหมอสำหรับรักษาโรคนรีเวชแล้วมิใช่หรือ?”
เปิดโรงหมอหรือ?
ก็จริงที่หลินฟู่อินมีแผนจะเปิดอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะตอนนี้นางต้องจัดการกิจการตรงหน้าก่อน แน่นอนว่านางเข้าใจถึงความสำคัญของเื่โรงหมอดี เพราะหากทำสำเร็จ ไม่เพียงจะมีเงินไหลมาเทมาเท่านั้น แต่มันจะยังเป็โอกาสให้นางสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าตระกูลพ่อค้าแม่ค้าด้วย ซึ่งถือเป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก
และหากนางอยากทำกิจการในเมืองชิงหยางแล้ว เส้นสายเ่าั้สำคัญเป็อย่างมาก หลินฟู่อินคิดอยู่หลายรอบ และเมื่อตัดสินใจได้ นางจึงหัวเราะให้กับคำของหลี่ฮูหยิน
“ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว ข้ายังไม่มีฝีมือพอจะเปิดโรงหมอหรอกเ้าค่ะ แต่หากมีใครป่วยขึ้นมา ท่านก็บอกให้พวกนางเ่าั้ส่งจดหมายมาหาข้าได้เลย แล้วข้าจะไปรักษาพวกนางถึงที่ หากใช้วิธีนี้ก็จะเก็บเป็ความลับได้ง่ายกว่าด้วย” หลินฟู่อินกล่าว
นางคิดว่าก่อนจะเปิดโรงหมอเป็หลักเป็แหล่ง นางยังสามารถเป็หมอพเนจรเพื่อไปรักษาพวกนางได้อยู่ เพราะอย่างไรส่วนมากก็เป็โรคทางนรีเวช ซึ่งเป็สิ่งที่สตรีในยุคนี้ไม่ค่อยอยากเปิดเผยนัก ทำให้ปกติพวกนางไม่ค่อยจะยอมไปโรงหมอกันสักเท่าไร
แน่นอนว่าเมื่อหลี่ฮูหยินได้ยินความคิดนี้ นางก็ปรบมือพร้อมยิ้มออกมา “ความคิดเ้ายอดเยี่ยมมาก เหตุใดข้าถึงนึกไม่ถึงกันนะ! พวกนางเ่าั้ต่างก็เป็คนมีสถานะ แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไม่อยากให้เื่แพร่งพรายว่าพวกตนป่วย แต่หากไปโรงหมอก็คงเลี่ยงการเป็ข่าวไม่ได้ ดังนั้นการที่เ้าไปรักษาพวกนางถึงที่จึงย่อมเป็การดีกว่า เพราะจะไม่มีใครรู้ว่าเ้าไปรักษาอะไรหรือใครด้วย”
“ยิ่งคิดก็ยิ่งสมเหตุสมผล” หลี่ฮูหยินมองหลินฟู่อินแล้วปรบมืออีกครั้ง “และด้วยวิธีนี้ คนไข้หลายรายที่มีสถานะค้ำคอจนไม่สะดวกมารับการรักษาจากสามีข้าก็จะสามารถได้รับการรักษาได้ ข้าจะส่งข้อความไปบอกพวกนางให้เชิญเ้าไปรักษาถึงที่ให้”
“ขอบคุณฮูหยิน!” หลินฟู่อินกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ หากหลี่ฮูหยินจะเป็คนลงมือให้ ก็แปลว่านางต้องได้ลูกค้าที่มีคุณภาพเพิ่มมาอีกมากแน่
อย่างไรเสียพวกนางที่กล่าวถึงนี้ต่างก็เป็คนมีฐานะ แค่ค่าตรวจก็คงไม่น้อยแน่นอน
“จะขอบคุณข้าไปทำไมกัน?” เมื่อเห็นคำขอบคุณอย่างจริงใจของหลินฟู่อินแล้ว หลี่ฮูหยินจึงรู้สึกวางตัวไม่ถูกขึ้นมา แต่ถึงจะประหลาดใจนางก็ยังยิ้ม “วังฮูหยินเองก็แนะนำเ้าให้คนมากมาย จากนี้ไปคงมีคนเรียกหาเ้าอีกไม่น้อยแน่”
หลินฟู่อินหัวเราะ “ขอบคุณฮูหยิน” แล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “หากท่านใช้ยาชุดนี้หมดแล้ว ท่านอาจต้องใช้ยาเพิ่มอีกสามชุด และหากไม่สบายตรงไหนในอนาคตก็อย่าได้อดทน เพียงเรียกมา แล้วข้าจะมาพบท่านเอง”
“ได้ ข้าเองก็ยังรักชีวิตอยู่ ข้าจะทำตามที่เ้าบอกแน่” หลี่ฮูหยินตอบตกลงด้วยสีหน้าจริงจัง
แล้วนางก็คิดเื่หนึ่งออก จึงหันไปมองหลินฟู่อินตรงๆ “ข้ามีเื่ที่ต้องบอกเ้าอีกเื่หนึ่ง สามีของข้าได้เขียนจดหมายเื่ที่เ้าสามารถรักษาโรคของข้าได้ไปถึงท่านพ่อสามีที่บ้านใหญ่สกุลหลี่... แล้วท่านพ่อสามีจึงตอบกลับมาว่าพี่ใหญ่ของสกุลหลี่นั้นประทับใจในฝีมือเ้ามาก และอยากขอมาที่นี่เพื่อพบเ้าในสักวัน จึงอยากถามเ้าว่าเ้าสะดวกใจที่จะพบเขาหรือไม่?”
หลี่ฮูหยินมองหลินฟู่อินด้วยความคาดหวัง หลินฟู่อินเห็นท่าทีนั้นแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมา หลี่ฮูหยินอยากให้นางได้พบกับพี่ใหญ่ของหมอหลี่หรือ?
และใช่ ความจริงหลี่ฮูหยินก็อยากให้หลินฟู่อินได้พบกับพี่ใหญ่ของหมอหลี่จริงๆ เพราะอย่างไรเสียตระกูลหลี่ก็ไม่เคยยอมพบนางเลย และนั่นเป็ความเ็ปที่นางต้องทนมาตลอดหลายปี แต่ตอนนี้พี่ใหญ่กลับจะมาที่เมืองชิงหยางแล้ว แม้จะมาเพื่อพบหลินฟู่อินก็ตาม แต่ก็เป็คนในตระกูลคนแรกที่จะมาอยู่ใกล้ๆ นางในรอบหลายปี!
หากนางทำได้ดี แล้วพี่ใหญ่กล่าวชมนางให้ทางบ้านใหญ่ฟัง ก็เรียกได้ว่าดียิ่ง!
“เช่นนั้นแล้วก็ต้องขอรบกวนหลี่ฮูหยินด้วย นับเป็โชคของข้าแล้วที่จะได้พบกับหมอใหญ่” หลินฟู่อินกล่าวด้วยรอยยิ้ม นางรู้ว่าหลี่ฮูหยินเป็กังวลและไม่ได้มีประสงค์ร้ายอะไร นางจึงพร้อมที่จะตอบรับคำขอ
หลี่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจมาก นางจึงยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมพลางมองหลินฟู่อิน “เช่นนั้นแล้วก็ให้เป็หน้าที่ของข้าเอง เมื่อได้วันเวลาแล้วข้าจะส่งจดหมายไปแจ้งเ้า เ้าต้องมานะ!”
การส่งจดหมายเรียกได้ว่าเป็การนัดที่เป็ทางการมาก ทำให้หลินฟู่อินเข้าใจว่านี่เป็เื่สำคัญสำหรับหลี่ฮูหยิน นางจึงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง
เมื่อสบายใจแล้ว บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงมาก แล้วหลี่ฮูหยินจึงนึกเื่ไขมันสัตว์ถังใหญ่เ่าั้ขึ้นได้ แล้วบ่นออกมา “เ้าหลี่อี้ ศิษย์ของสามีข้านั่น ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงได้ให้คนส่งไขมันเหลือๆ จากการทำสบู่นั่นมาให้ แล้วบอกว่าจะเอาไปทดลองทำยา ดูพูดเข้า ดูพูดเข้า! แต่ข้าก็ไม่ใช่แม่เขา ข้าเลยพูดอะไรมากไม่ได้ แต่ฟู่อิน เ้าเป็คนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล เ้าว่าไขมันนั่นมันจะใช้รักษาโรคได้หรือไม่?”
เมื่อฟู่อินได้ยินหลี่ฮูหยินกล่าวถึงไขมัน นางก็สะดุ้งไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อมองหน้าหลี่ฮูหยินดีๆ จึงได้รู้ว่านางแค่กำลังปวดหัวจริงๆ เพราะไม่เข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่
พอรู้เช่นนี้นางก็สบายใจขึ้นมา
เมื่อลองคิดดูแล้ว หลินฟู่อินจึงตอบ “ฮูหยินไม่ต้องกังวล มันอาจให้ผลลัพธ์ที่ล้ำค่าในอนาคตก็เป็ได้ ทุกสิ่งต้องเริ่มจากการทดลอง เพราะโลกใบนี้มันไร้ซึ่งถนน แต่ผู้คนก็ยังต้องก้าวเดิน และเมื่อผู้คนก้าวเดินกันมากขึ้น มันก็จะกลายเป็ถนนในที่สุด”
หลี่ฮูหยินรู้สึกว่าแิของหลินฟู่อินแปลกใหม่ดี ในตอนแรกนางเพียงบ่นไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากเท่านั้น และเมื่อคิดได้ว่าสามีของนางเองก็ลองผิดลองถูกมามากในสมัยที่ยังเยาว์วัย นางจึงหัวเราะออกมา “เ้ากล่าวได้ถูกต้อง คนหนุ่มสาวนั้นชอบการลองผิดลองถูกอยู่แล้ว ดังนั้นข้าคงไม่ต้องเป็กังวล เพราะสามีของข้าก็คงคอยจับตาดูอยู่ด้วย”
หลินฟู่อินยิ้มให้นาง พลางคิดในใจว่าหากหลี่ฮูหยินรู้เข้าในภายหลังว่านางเองต่างหากคือคนร้าย นางจะว่าอย่างไรกันนะ?
แต่เมื่อคิดว่าในเมื่อนางลากหลี่อี้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยแล้ว ถึงตอนนั้นแค่บอกไปว่าเป็คู่ค้ากันเท่านั้นก็น่าจะพอ
หลี่ฮูหยินอยู่ในอารมณ์ช่างคุย แล้วเล่าว่าลูกๆ ทั้งสองของนางที่เพิ่งมีอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปีมาบอกนางว่าพวกนางอยากมองหาสามีแล้ว
เมื่อพูดถึงเื่นี้แล้ว หลี่ฮูหยินก็บอกว่านางเป็กังวล เพราะแม้สกุลของสามีนางจะเป็สกุลใหญ่ และเด็กๆ ในตระกูลต่างก็หาคู่ครองดีๆ ได้ไม่ยาก แต่ด้วยสถานการณ์ของตัวนาง ทำให้บ้านใหญ่ไม่ยอมติดต่ออะไรกับนางจนส่งผลถึงเื่การหาคู่ครองด้วย นางจึงอยู่ไม่สุขจนแทบกินอะไรไม่ลงเมื่อคิดถึงเื่นี้
“ฟู่อิน ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร? ข้าน่ะไม่สนเื่ชาติกำเนิด เพราะข้าเองก็เป็เพียงลูกพ่อค้า แต่หากข้าเลือกคนในเมืองชิงหยางแล้วเ้าตระกูลไม่ถูกใจขึ้นมา ข้าจะมิถูกไล่ออกจากตระกูลเอาหรือ?”
หลินฟู่อินฟังแล้วคิดตาม ก็เป็ไปได้ เพราะสกุลหลี่นั้นเป็ตระกูลหมอหลวง แต่เพราะหมอหลี่ไปแต่งงานกับคนจากตระกูลพ่อค้าทั่วไปเข้า ทางตระกูลใหญ่จึงไม่ยินยอมให้หลี่ฮูหยินย่างเข้าประตูบ้านใหญ่มานับสิบปี และหากคู่ครองของลูกๆ ของหมอหลี่และหลี่ฮูหยินไม่ได้รับการเลือกมาอย่างดีอีก ก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าเ้าตระกูลจะเดือดดาลเพียงใด
หลินฟู่อินจึงถามหลี่ฮูหยิน “เด็กๆ ที่บ้านท่านเคยไปเยือนบ้านใหญ่บ้างหรือไม่?”
“เคย ไปด้วยกันกับสามีข้า” หลี่ฮูหยินไม่เข้าใจว่าหลินฟู่อินถามเื่นี้ทำไม
หลินฟู่อินได้ยินแล้วจึงคลี่ยิ้มบาง มองหลี่ฮูหยิน “หากฮูหยินคิดว่านี่เป็ปัญหาของคนรุ่นถัดไปแล้ว ปัญหานี้จะกลายเป็ปัญหาที่ใหญ่ แต่แก้ไขได้ไม่ยาก”
เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของหลินฟู่อิน หลี่ฮูหยินจึงดูดีใจขึ้นมาแล้วถาม “แล้วข้าจะแก้ได้อย่างไรหรือ?”
หลินฟู่อินไม่ตอบ แต่กลับถามต่อ “แล้วฮูหยินทราบหรือไม่ ว่าเ้าตระกูลดีใจที่ได้เจอหลานหรือไม่”
หลี่ฮูหยินลองนึกย้อนถึงสิ่งที่ลูกๆ บอกนางหลังจากการกลับไปเยี่ยมบ้านใหญ่ ดูเหมือนว่าอย่างน้อยเ้าตระกูลก็ชอบพวกเด็กๆ
นางจึงพยักหน้า
เยี่ยม
หลินฟู่อินจึงเสนอความคิดให้นาง “เช่นนั้นแล้ว ฮูหยินก็น่าจะลองส่งบุตรชายไปอยู่กับเ้าบ้านให้นานขึ้น แค่บอกว่าทำเพื่อเป็การแสดงความกตัญญูแทนท่านทั้งสองก็พอ”
หลี่ฮูหยินนั้นไม่ได้โง่ เมื่อได้ยินความคิดนี้นางก็เข้าใจได้ทันที ผู้คนต่างก็ต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยต่อกัน กว่าจะผูกพันธ์กันลึกซึ้งก็ต้องใช้เวลา หากห่างกันนานๆ แล้ว แม้แต่ความสัมพันธ์ที่ดีก็ขาดสะบั้นได้ หลี่ฮูหยินพลันตื่นเต้นขึ้นมา
นางมองตาหลินฟู่อินแล้วกล่าว “ฟู่อิน เ้าเป็ดาวนำโชคของข้าจริงๆ ข้าจะนำเื่นี้ไปปรึกษากับสามีข้าวันนี้เลย แล้วจะหาโอกาสส่งเด็กๆ ทั้งสามไปบ้านใหญ่”
หลินฟู่อินยิ้มออกมาเล็กน้อย ความเริงร่าของหลี่ฮูหยินแพร่มาติดนางเสียแล้ว
แต่หลังจากลิงโลดได้ครู่หนึ่ง สีหน้าของนางกลับดูยุ่งยากขึ้นมาอีกครั้ง นางมองหลินฟู่อินแล้วกล่าว “แต่ข้าไม่รู้ว่าโอกาสดีๆ มันคือเมื่อไรนี่สิ”
-------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตั้นเกาถั่ว หมายถึง ขนมเค้กถั่ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้