เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของบิดา จึงพากันเดินออกมาจากห้องนอน
พวกเขาทั้งสี่คนพากันเข้ามาถามหลี่ซาน ในใจของหลี่ซานก็เปี่ยมไปด้วยความสุขและความลำพองใจ เขาหัวเราะออกมาแล้วบอกไปว่า “ข้าใช้เงินเพียงสิบแปดตำลึงซื้อที่ดินได้หกหมู่ ทั้งยังเป็ที่ดินที่ดีทั้งหมดด้วย”
หลี่ฝูคังกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ที่ดินดีถูกเพียงนี้เชียวหรือ ท่านพ่อ ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ ขอรับ”
หลี่อิงฮว๋ากลับใจเย็นมากกว่า เขาคิดในใจว่าของถูกใช่ว่าจะดีเสมอไป ที่ดินดีๆ และถูกเช่นนี้จะต้องอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงถามไปว่า “ท่านพ่อ ที่ดินอยู่ที่ใดหรือขอรับ”
หลี่ซานตอบอย่างภูมิใจว่า “ย่อมอยู่ในที่ที่ดี ที่ดินหกหมู่ที่ข้าซื้ออยู่บริเวณชายขอบของอำเภอฉางผิง”
“ที่ดินอยู่ชายขอบของอำเภอ!”
“ราคานี้ไม่แพงเลยจริงๆ”
“ข้าจำได้ว่าที่ดินที่ดีบริเวณชายขอบของอำเภอฉางผิง ยามฤดูใบไม้ผลิจะต้องใช้เงินสี่ตำลึงหนึ่งเฉียนจึงจะซื้อได้ แต่ตอนนี้ราคากลับลดลงไปเหลือสามตำลึงแล้วหรือ!”
“บริเวณชายขอบของอำเภอเป็ที่ที่ดีจริงๆ ดีกว่าหมู่บ้านเรามากนัก”
สี่พี่น้องพากันเอ่ยแสดงความยินดีกับผู้เป็บิดา ทั้งยังพากันแปลกใจว่าราคาที่ดินลดลงมากเหลือเกิน
ทว่าหลี่หรูอี้กลับกล่าวขึ้นว่า “ภาคใต้ปลูกธัญพืชได้สองในสามส่วนในทุกฤดู แต่ภาคเหนือนั้นไม่เหมือนกัน ภาคเหนือปลูกธัญพืชได้เพียงฤดูเดียว ยิ่งไปกว่านั้นก็มักจะมีภัยแล้งและภัยจากแมลง อีกทั้งที่ดินก็ให้ผลผลิตน้อย ดังนั้นมูลค่าของที่ดินทางเหนือจึงไม่คุ้มค่าเท่ากับที่ดินทางใต้”
คำพูดของนางดึงดูดความสนใจของหลี่ซานที่กำลังดีใจจนแทบจะบินได้ขึ้นมา
จ้าวซื่อเดินมาที่ห้องโถง นางกล่าวขึ้นว่า “พี่ซาน ท่านซื้อที่ดินบริเวณชายขอบของอำเภอเช่นนี้ ท่านคิดว่าจะจ้างคนงานมาดูแลที่ดินในปีหน้า หรือจะปล่อยให้ชาวบ้านเช่าตอนสิ้นปีนี้”
หลี่ซานกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ที่ดินดีเพียงนี้ แน่นอนว่าครอบครัวพวกเราต้องดูแลกันเอง”
หลี่อิงฮว๋าปรายตามองไปทางหลี่หรูอี้อย่างจงใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ตอนนี้ครอบครัวเรามีที่ดินดีและที่ดินที่ไม่ค่อยดีรวมกันทั้งหมดยี่สิบหมู่แล้ว”
“ที่ดินเหล่านี้ไม่พอ ประเดี๋ยวหากในมือข้ามีเงินแล้วจะไปซื้ออีก” เมื่อหลี่ซานกล่าวจบก็มองไปทางจ้าวซื่อและหลี่หรูอี้ คิดในใจว่าหากพวกนางให้เงินเขาอีกสักหลายร้อยตำลึงก็คงดี จะได้นำไปซื้อที่ดินร้อยหมู่
จ้าวซื่อไม่อยากทำลายความตั้งใจของหลี่ซาน จึงพูดยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ค่อยๆ สะสมเงินไปเถิด”
หลี่หรูอี้ไม่สนใจว่าหลี่ซานจะโกรธหรือไม่ ถึงกับพูดออกไปตามตรงว่า “ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ข้าพูดกับท่านแล้ว หากท่านจะไปปลูกข้าวในที่ดิน ก็ให้พาท่านอารองไป อย่าพาพวกอาอู่ไปด้วย”
ที่ผ่านมาจ้าวซื่อไม่สนใจเื่ทำการเกษตรอยู่แล้ว ย่อมเข้าข้างบุตรีสุดที่รัก จึงช่วยกล่าวเสริมไปว่า “กิจการของครอบครัวต้องใช้คน ท่านก็พาเ้าก้อนหินไปทำการเกษตรด้วยกันเถิด ส่วนข้ากับหรูอี้จะคอยดูแลกิจการเอง”
บนใบหน้าของหลี่สือเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาอยากทำอาหารกับหลานสาว ไม่อยากไปทำการเกษตร ทว่าั้แ่เล็กจนโตเขาเชื่อฟังคำพูดของพี่ชายมาตลอดจึงไม่กล้าขัด
“พวกเ้าไม่สนับสนุนให้ข้าทำการเกษตรหรือ” หลี่ซานหันไปมองทุกคน ก่อนหน้านี้บุตรชายทั้งสี่ยังสนับสนุนเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้บุตรชายกลับไม่ส่งเสียงใดๆ เขาหุบยิ้มโดยพลัน กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ครอบครัวเรามีคนมากเพียงนี้ มีปากท้องต้องกินอาหารมากเพียงนี้ หากไม่มีที่ดินก็ไม่มีธัญพืช เช่นนั้นจะได้อย่างไรกัน”
หลี่หรูอี้กล่าวตอบ “ธัญพืชใช้เงินซื้อได้เ้าค่ะ ตอนนี้ครอบครัวเราหาเงินได้ทุกวันวันละหลายตำลึง นำไปซื้อธัญพืชได้เ้าค่ะ”
หลี่สือก้มหน้ากล่าวเสียงเบาว่า “ในห้องใต้ดินมีธัญพืชอยู่เต็มไปหมด”
“เอาล่ะ เื่นี้ท่านเคยตกลงกับหรูอี้ไว้แล้วมิใช่หรือ ท่านก็ไปทำการเกษตรของท่าน นางก็ทำการค้าของนาง”
หลี่หรูอี้กลัวว่าเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วหลี่ซานจะไม่ยอมให้ครอบครัวทำการค้า จึงกล่าวไปอย่างเคร่งขรึมว่า “ใช่แล้วเ้าค่ะ ตอนไปซื้อคนท่านก็ห้ามข้า ดังนั้นหากท่านไปทำการเกษตรก็อย่าใช้คนที่ข้าซื้อเล่า”
“ที่บ้านมีรายจ่ายมากเพียงนี้ ทำการเกษตรจะเลี้ยงชีพได้หรือ” จ้าวซื่อมองไปทางหลี่ซานแล้วส่ายหน้า “กระทั่งคนตระกูลหวังยังตัดสินใจว่า ่ต้นฤดูใบไม้ผลิจะยังใช้กิจการก่อเตียงเตาเลี้ยงชีพ ส่วนที่นาก็จ้างคนงานมาดูแล แล้วครอบครัวเราจะดูแลเองหรือ”
คืนนี้อารมณ์ของหลี่ซานแปรปรวน ตกดึกจึงนอนหลับไม่สนิท
รุ่งสาง ยามเมื่อจ้าวซื่อตื่นมาจะทำธุระ นางกลับไม่ได้ยินเสียงกรนอันคุ้นเคยจึงหันหน้าไปดู พบว่าหลี่ซานที่นอนอยู่ข้างๆ กำลังลืมตามองหลังคาอย่างเหม่อลอย “พี่ซาน เหตุใดยังไม่นอนเ้าคะ”
“ข้ายังอย่างทำการเกษตรอยู่”
“ท่านคิดว่าทำการเกษตรแล้วจะสร้างบ้านได้หรือ จะก่อเตียงเตาได้หรือ จะห่มผ้าผืนใหม่ได้หรือ”
“ข้าทำเป็แต่การเกษตร”
จ้าวซื่อไปล้างหน้าล้างตาที่ถังไม้ตรงมุมหนึ่ง นางตำหนิด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “กิจการการค้าของครอบครัวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ หากท่านไปทำการเกษตรไม่อยู่บ้าน ข้ากับหรูอี้ก็รับมือได้”
“พวกเ้าล้วนไม่อยากให้ข้าไปทำนาหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าไม่อยากให้ท่านไปทำนา” จ้าวซื่อกลับขึ้นเตียงแล้วห่มผ้า จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ตอนนี้บ้านเรามีคนมาก ค่าใช้จ่ายก็มาก ลูกชายสี่คนต้องไปเรียนหนังสือและเข้าสอบเคอจวี่ ต้องเก็บสินเดิมให้ลูกสาว ทั้งยังมีทารกสองคนที่ต่อไปก็ต้องส่งให้เรียนหนังสือ หากท่านพาเ้าก้อนหินไปทำนาในที่ดินยี่สิบกว่าหมู่ ในหนึ่งปีต่อให้เป็ปีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี อย่างมากก็ได้เงินห้าตำลึง ยังได้ไม่เท่ากับการทำการค้าสิบวันด้วยซ้ำ”
หลี่ซานเงียบไป
“หากที่บ้านมีเงิน หากข้าเป็บุรุษ และหากหรูอี้ก็เป็บุรุษ เช่นนั้นท่านก็ไปทำนาได้ ไม่จำเป็ต้องสนใจเื่ในบ้าน แต่พวกเราไม่ใช่ ข้าเป็สตรี หรูอี้ก็เป็เพียงเด็กหญิง หากท่านโยนการค้าให้พวกเราแม่ลูกดูแล เพื่อที่ท่านจะได้ไปทำนาอย่างที่ท่านชอบ ข้าก็ไม่อยากให้ท่านไป”
หลี่ซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าทำนาไปด้วยดูแลเื่การค้าไปด้วยได้”
“ที่ดินที่ซื้อมาใหม่อยู่ที่อำเภอฉางผิง จากบ้านเราไปอำเภอฉางผิง ไปกลับก็เป็ระยะทางหลายสิบลี้แล้ว ต่อให้นั่งเกวียนลาไปก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม”
“ข้า…”
จ้าวซื่อพลิกตัวหันหลังให้หลี่ซาน “อย่างมากข้าก็ให้หรูอี้ไปซื้อคนมาคอยช่วยอีกสองคน”
“อย่า... ครอบครัวเราไม่ต้องซื้อบ่าวไพร่แล้ว ครอบครัวเรามีสิบกว่าคนแล้ว ยังจะซื้อคนเพิ่มอีกหรือ ที่ข้าจะไปทำนาก็เพื่อเก็บเสบียงไม่ให้ครอบครัวพวกเราต้องทนหิว ข้าเป็ชาวนา หากไม่ทำนาแล้วจะทำอะไรได้ ข้าทำการค้าไม่เป็ ทุกครั้งที่พวกเถ้าแก่หม่ามา ข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไร ข้าไม่มีหัวทางการค้าเลยจริงๆ”
จ้าวซื่อไม่อยากฟังหลี่ซานพูดต่อไปอีก จึงหลับตาแสร้งทำเป็ว่าหลับไปแล้ว
หลี่ซานพูดอยู่นาน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ จึงกระซิบเสียงแ่ “ซู่เหมย เ้าเสียใจหรือไม่ที่แต่งงานกับข้า”
จ้าวซื่อแอบถอนใจกับตนเอง
หลี่ซานยังคงไม่ได้รับคำตอบจึงรู้สึกคับข้องใจยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงลูกๆ ทั้งเจ็ดคน ยังจะมีอะไรไม่พอใจอีกเล่า เขาใช้สองมือโอบกอดจ้าวซื่อจากทางด้านหลัง “ซู่เหมย หากเ้าไม่อยากให้ข้าทำนา ข้าก็ไม่ทำแล้ว”
“จริงหรือ”
“จริง เ้าควรบอกข้าให้เร็วกว่านี้”
“ข้าไม่เคยเสียใจที่แต่งงานกับท่าน” เมื่อปีนั้นจ้าวซื่อต้องอยู่โดดเดี่ยวลำพัง นางลี้ภัยมายังสถานที่แปลกตา หากแต่งให้ผู้อื่นเกรงว่าทั้งเงินทองและชีวิตคงสูญสิ้นไปหมดแล้ว จะได้ใช้ชีวิตดีๆ เช่นนี้ที่ไหน จะได้มีความสุขและสงบปลอดภัยเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน
ผ่านไปอีกสองวัน ในที่สุดหลี่ซานก็คิดตก ขณะกินข้าวเช้าเขาก็ประกาศกับทุกคนว่า “ข้าคิดดูแล้ว กิจการการค้าของครอบครัวจำเป็ต้องใช้คน ดังนั้นเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ข้ากับเ้าก้อนหินจะไม่ไปทำนา ที่ดินของครอบครัวก็ให้ชาวนาเช่าที่ไว้ทำกิน ส่วนพวกเราก็เก็บค่าเช่าไป”
หลี่หรูอี้มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าและดวงตา “โอ้ ท่านพ่อท่านฉลาดจริงๆ เ้าค่ะ”
“ข้าไม่ต้องไปทำนาแล้ว ไม่ต้องแบกจอบสู้แสงตะวันแล้ว!” หลี่สือดีใจจนแทบจะลุกขึ้นเต้น
“เ้าก้อนหิน นี่เ้า...” หลี่ซานนึกไม่ถึงเลยว่า หลี่สือจะไม่ชอบทำนา ดูแล้วทั้งครอบครัวคงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ชอบทำนากระมัง
หลี่หรูอี้รอให้หลี่ซานกินข้าวเสร็จก่อน จึงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ วันนี้ท่านกับพี่ชายไปจวนเจียงเป็เพื่อนข้านะเ้าคะ”
หลี่ซานเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเราจะไปจวนเจียงกันทำไมหรือ”
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่กล่าวขึ้นพร้อมกันว่า “น้องสาวจะไปตรวจซ้ำให้ผู้ป่วยขอรับ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้