ั้แ่โหยวพิงถิงเข้ามาที่นี่ นางก็พบว่ามือของทั้งสองคนสอดประสานกัน ก่อนหน้านี้ความเป็อันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างทั้งคู่ไม่เคยมีมาก่อน
นางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อาจเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งสองคนที่ดูผูกพันกันอย่างแแ่ได้
โหยวพิงถิงปรี่ไปยืนตรงหน้าของไป๋เซี่ยเหอ จากนั้นนางก็คุกเข่าลง ใบหน้าเล็กร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องสายฝน แสดงความน่าสงสารออกมาจนถึงขีดสุด แม้แต่สตรียังอดไม่ได้ที่จะะเืใจ
ความงดงามของนางส่งตรงไปถึงหัวใจ
“พี่สะใภ้ ข้าขอร้องนะเ้าคะ อย่าไล่ข้าไปเลย ข้าเห็นท่านอ๋องเป็เพียงพี่ชายบุญธรรมจริงๆ เ้าค่ะ”
ขณะที่ร้องไห้ นางก็สะอึกสะอื้นจนต้องหอบหายใจ
“ข้าไม่มีคนในครอบครัวแล้ว ทั้งยังไม่มีบิดา ในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่นี้ ข้ารู้จักท่านอ๋องเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“เมืองหลวงนี้กว้างใหญ่นัก มันทำให้ข้ารู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป อย่างทิ้งข้าไว้คนเดียวได้หรือไม่เ้าคะ?”
เมื่อเห็นใบหน้าเล็กที่มีน้ำตาไหลพราก ทั้งยังเห็นนางคุกเข่าอ้อนวอนอยู่ตรงหน้า ไป๋เซี่ยเหอก็ใจอ่อน
บางทีอาจเป็เพราะชาติก่อนตนเองเป็เด็กกำพร้า คำพูดของโหยวพิงถิงจึงทิ่มแทงใจนางเป็อย่างยิ่ง
ชาตินี้นางมีทั้งมารดา ฝูเอ๋อร์ เซี่ยถิง และจิ่วหาน ที่สำคัญกว่านั้นคือ นางยังมีฮั่วเยี่ยนไหวที่จะครองคู่กันไปตลอดชีวิต
นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นแล้ว
นอกจากนี้ ในเมื่อนางยอมรับฮั่วเยี่ยนไหวแล้ว นางย่อมเต็มใจที่จะมอบความเชื่อใจให้เขา
แม่ทัพโหยวสละชีพเพื่อช่วยเขา สิ่งเดียวที่เขาวางไม่ลงย่อมเป็บุตรีของแม่ทัพโหยว
หากฮั่วเยี่ยนไหวไล่โหยวพิงถิงออกไปจริงๆ ตัวเขาเองจะทรมานใจยิ่งกว่าผู้ใด
ไป๋เซี่ยเหอไม่้าเช่นนั้น นางไม่เต็มใจให้เขาโทษตนเองและถูกความรู้สึกผิดกัดกร่อนไปทั้งชีวิต
เขาเป็คนเ็าทว่ามั่นคงในความรัก ไม่ว่าจะเป็ความรักฉันหนุ่มสาวก็ดี หรือจะเป็ความรักฉันเพื่อนพี่น้องก็ดี
ในเมื่อตัดสินใจว่าจะอยู่ด้วยกันแล้ว นางก็ไม่อยากให้เขาลำบากใจ
ระหว่างคู่รัก สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การอยู่ด้วยกันทุกวัน ทว่าเป็ความเชื่อใจที่กลั่นออกมาจากใจ
หากมีวันหนึ่งที่เขาทรยศความเชื่อใจของนางขึ้นมาจริงๆ นางจะตัดความรักครั้งนี้ทิ้งโดยไม่ลังเล ระหว่างเขากับนางจะกลายเป็เพียงคนแปลกหน้า
“มิสู้ให้นางอยู่ต่อเถิด จวนอ๋องกว้างใหญ่ปานนี้ คงไม่ขาดเรือนปีกข้างสักหลัง หรืออาหารสักคำหรอกกระมัง”
แววตาของนางเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด ฮั่วเยี่ยนไหวเห็นแล้วจิตใจก็สั่นไหว
ใช่แล้ว ให้นางอยู่ในจวนอ๋องแล้วอย่างไร?
ข้างๆ จวนอ๋องก็เป็เรือนของไป๋เซี่ยเหอไม่ใช่หรือ?
จวนอ๋องมอบให้โหยวพิงถิงอาศัยอยู่ ส่วนพวกเขาย้ายไปอยู่ที่เรือนของไป๋เซี่ยเหอก็ได้
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังได้อยู่ด้วยกัน
ฮั่วเยี่ยนไหวเข้าใจความเ้าเล่ห์ที่ซ่อนอยู่ในแววตาของนางทันที สตรีตัวเล็กที่ฉลาดและซุกซนเช่นนี้ ทำให้เขารักจะแย่แล้ว
เขาข่มกลั้นรอยยิ้มที่เอ่อล้นออกมาจากแววตา ก่อนจะพยักหน้าและฝืนทำท่าเคร่งขรึม “ในเมื่อพระชายาพูดเช่นนี้ เช่นนั้นก็เอาตามนั้นแล้วกัน”
พระชายาของเขาย่อมมีอำนาจมากที่สุด
“ขอบคุณพี่สะใภ้เ้าค่ะ”
หลังจากโหยวพิงถิงเช็ดน้ำตาและจากไปแล้ว ฮั่วเยี่ยนไหวก็โอบร่างเล็กของไป๋เซี่ยเหอเข้ามาในอ้อมแขนอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป
ศีรษะเล็กของไป๋เซี่ยเหอซบลงตรงอกของฮั่วเยี่ยนไหว นางอยู่นิ่งๆ ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้น มันทำให้จิตใจของนางสงบนิ่งอย่างอธิบายไม่ได้
เขาจะดูท่าทีและจิตใจของนางไม่ออกได้อย่างไร? สตรีตรงหน้าคือหัวใจพิสุทธิ์เจ็ดห้องที่หาได้ยากเชียว
ริมฝีปากบางอันเย็นเยียบของเขาพรมลงบนหน้าผากนุ่มนิ่มและขาวผ่องของนางด้วยความอ่อนโยนอย่างยิ่ง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มบาง “ได้ภรรยาเช่นนี้ สามีก็ไม่ร้องขอสิ่งใดแล้ว”
ไป๋เซี่ยเหอเงยใบหน้าเล็กที่ไม่ได้แต่งหน้าทว่ากลับดูงดงามไร้ที่ติ ความอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความเย็นะเืเล็กน้อย
“ฮั่วเยี่ยนไหว ข้าเชื่อใจท่าน แต่ท่านไม่อาจทำให้ข้าผิดหวัง ไม่อาจทรยศข้า เพราะค่าตอบแทนของการทรยศข้า ท่านย่อมชดใช้ไม่ไหวแน่”
“เ้าจะไปแล้วหรือ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวยื่นมือไปลูบศีรษะของไป๋เซี่ยเหอ เรือนผมอันนุ่มนิ่มที่ฝ่ามือทำให้เขารู้สึกคัน
ไป๋เซี่ยเหอปัดมือเขาออก พลางพึมพำอย่างไม่พอใจ “ท่าทางนี้ของท่านเหมือนลูบขนให้สัตว์จริงๆ”
ฮั่วเยี่ยนไหวเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาหลุดหัวเราะออกมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางราวกับมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็ไม่ปาน
ไป๋เซี่ยเหอถูกจับจ้องจนขนลุกซู่ นางกระวนกระวายเล็กน้อย ก่อนจะกัดใบหน้าของเขาเบาๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“กลับไปตอนนี้เพื่อที่จะย้ายออกมาเร็วกว่าเดิม”
จากนั้นน้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นอกจากนี้ ข้าทิ้งท่านแม่ไว้ที่จวนสกุลไป๋ไม่ได้ ข้าไม่วางใจ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ฮั่วเยี่ยนไหวมองเด็กสาวที่งดงามตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง
“เพียงแต่ข้าไม่วางใจให้เ้ากลับจวนสกุลไป๋”
สถานที่แห่งนั้นสกปรกเกินไป
“ฮั่วเยี่ยนไหว ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าไม่ใช่นกขมิ้น สิ่งที่ข้า้าคือการได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน”
ไป๋เซี่ยเหอแค่นเสียงเบาทีหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอวดดี “หากแม้แต่จวนสกุลไป๋ข้ายังจัดการไม่ได้ ข้าจะคู่ควรยืนเคียงข้างท่านได้อย่างไร?”
เขามีชื่อเสียงั้แ่เยาว์วัย เป็ชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมราวกับพระอาทิตย์สีทองที่เจิดจ้า นางภูมิใจในตนเอง ทว่าก็อยากตามรอยเท้าของเขาอย่างอดไม่ได้
นางหวังว่าวันหน้า ผู้อื่นจะไม่เรียกนางว่าพระชายาของฮั่วเยี่ยนไหวเพียงเท่านั้น
นางหวังว่ายามที่มีคนพูดถึงเขา ผู้คนจะพูดว่าเขาคือสามีของไป๋เซี่ยเหอ!
น้ำเสียงของนางชัดเจนและไพเราะอย่างยิ่ง ดวงตาสีดำสว่างไสว เต็มไปด้วยความแน่วแน่
ท่าทางหยิ่งยโสนั้น ฮั่วเยี่ยนไหวเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ปรารถนาที่จะโอบร่างของนางเข้ามาในอ้อมแขนอีกครา
“ได้! ข้าจะไปส่งเ้า”
นี่คือการผ่อนปรนครั้งสุดท้ายของเขา
เขาต้องเห็นนางกลับไปอย่างปลอดภัยจึงจะวางใจ
แม้จะรู้ว่านางไม่ได้อ่อนแอ ทว่าในสายตาของเขา นางคือเด็กสาวที่ต้องให้เขาปกป้อง
ณ จวนสกุลไป๋
หลังจากไป๋เซี่ยเหอกลับจวน ก็ตรงเข้าไปในเรือนของไป๋เหล่าฮูหยิน
“คุณหนูใหญ่ โปรดรอก่อนเ้าค่ะ บ่าวจะไปแจ้งไป๋เหล่าฮูหยินก่อน คุณหนูใหญ่ ท่านไม่อาจ...”
ไป๋เซี่ยเหอไม่สนใจ นางเดินตรงไปผลักประตูออก
ภาพที่เห็นคือ...
ไป๋เหล่าฮูหยินกอดแจกันดอกโบตั๋นเคลือบสีน้ำเงินใบหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน นางคิดจะนำแจกันไปซ่อน ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าไป๋เซี่ยเหอจะผลักประตูเข้ามาเช่นนี้ ใบหน้าจึงเผยความกระอักกระอ่วนออกมาเล็กน้อย
ไป๋เหล่าฮูหยินเอ่ยด้วยความโมโห “ผู้ใดอนุญาตให้เ้าเข้ามา? เหตุใดนับวันถึงยิ่งไม่มีกฎระเบียบขึ้นเรื่อยๆ?”
ไป๋เซี่ยเหอยืนพิงกรอบประตูด้วยท่าทีเอ้อระเหย ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “กฎระเบียบเอาไว้ใช้กับคน”
นางเหลือบมองแจกันที่ไป๋เหล่าฮูหยินกอดไว้ในมือ เห็นว่ายังมีกำไลใหม่อีกหลายวง นางจึงเลิกคิ้ว “ดูเหมือนว่าไป๋เหล่าฮูหยินยังมีเงินอยู่ ไม่ตรงกับข่าวลือที่แพร่พรายออกไปเลยสักนิด”
“ข่าวลืออะไร?”
ความรังเกียจบนหน้าของไป๋เหล่าฮูหยินมลายหายไป หัวใจเต้นโครมครามทันที ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจ
“ผู้คนพากันพูดว่าจวนสกุลไป๋ดูงดงามพร่างพราว ทว่าความจริงแล้วเป็หนี้ก้อนโต เพียงแต่ตอนนี้ดูแล้วเห็นได้ชัดว่าข่าวลือนั้นไม่ใช่เื่จริง”
ไป๋เซี่ยเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ไป๋เหล่าฮูหยินคงไม่สนใจเื่เป็หนี้หรอก เพราะยังคงพึงพอใจกับเครื่องประดับล้ำค่า ทั้งยังเห็นแก่ตัวและให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตน หากเื่ที่เป็หนี้เป็ความจริง ถึงอย่างไรก็เป็เื่คอขาดบาดตาย”
ไป๋เซี่ยเหอยกมือขึ้นลูบคออย่างไม่ใส่ใจ ไป๋เหล่าฮูหยินเห็นดังนั้นก็รู้สึกเพียงว่าต้นคอเย็นวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน
จากนั้นนางก็วางแจกันในมือลงบนชั้นเก็บของด้วยความระมัดระวัง
ไป๋เหล่าฮูหยินทนฟังต่อไปไม่ไหวจริงๆ นางหมุนกายมาจ้องหน้าไป๋เซี่ยเหอด้วยแววตามืดครึ้ม
“ไป๋เซี่ยเหอ เ้ารู้มานานแล้วใช่หรือไม่?”
------------------------