เซี่ยโม่ไม่ใช่คนโง่ พวกเขามีท่าทางขลาดกลัวตอนที่เธอบอกว่าจะให้ทั้งคู่ผัดเอง เธอคาดเดาในใจ หรือทั้งสองคนจะทำกับข้าวไม่เป็ ที่ชวนเธอกินมื้อเที่ยงก็เพราะจะให้เธอเป็คนทำกับข้าวใช่หรือไม่?
หลังจากทำไข่คนใส่ต้นหอมเสร็จ เธอเลยลองหยั่งเชิงพี่พั่งจื่อซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “พี่พั่งจื่อช่วยเอามันฝรั่งพวกนี้ไปผัดให้หน่อยได้ไหมคะ ฉันต้องไปหั่นเนื้อกวางตุ๋น”
พั่งจื่อโบกมือปฏิเสธทันควัน “น้องสาว คือว่าฉันทำกับข้าวไม่เป็ เดี๋ยวฉันช่วยหั่นเนื้อกวางตุ๋นแทนเองก็แล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ”
เธอนำมันฝรั่งที่ซอยเตรียมไว้ไปผัดในกระทะ
หลังจากผัดเสร็จ เซี่ยโม่หันไปมองด้านข้าง พบว่าพี่พั่งจื่อกำลังสับเนื้อกวางตุ๋นอยู่ ภาพที่เห็นทำเอาอึ้งพูดอะไรไม่ออก ที่แท้ทั้งสองคนไม่เพียงทำกับข้าวไม่เป็ แม้แต่หั่นเนื้อก็ยังทำไม่เป็
“พี่พั่งจื่อไม่ต้องทำแล้วค่ะ ขืนสับต่อคงต้องเอาไปทำไส้เกี๊ยวแทนแน่”
พั่งจื่อยิ้มแหย “น้องสาว คือฉันหั่นเนื้อไม่เป็ เคยเห็นแต่ลูกพี่สับเนื้อก็เลยนึกว่าต้องทำแบบนี้”
เด็กสาวยกมือกุมขมับ นี่เธอถูกหลอกหรือนี่
ทั้งสองคนท้องหิว แต่ทำอาหารเองไม่เป็ก็เลยชวนเธอให้อยู่กินข้าวด้วย เพื่อจะได้เป็แม่ครัวทำกับข้าวให้พวกเขาได้กิน
“ปกติเวลาหิวข้าว พวกพี่สองคนทำยังไงกันคะ”
“ปกติเวลาพวกเราหิวก็ออกไปหาอะไรกินข้างนอก ไปซื้อซาลาเปาในร้านอาหารของรัฐบ้าง ไม่ก็กินบะหมี่บ้าง แล้วก็ไปขอข้าวกินที่ร้านอาหารของพี่หม่าบ่อยๆ อย่างไรเสียมีเงินก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย แต่ถ้าลูกพี่อยู่ก็จะทำกับข้าวให้พวกเรากิน”
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนมาที่นี่คราวก่อน ในห้องครัวถึงได้สะอาดสะอ้านนัก ที่แท้เป็เพราะเ้าของบ้านทำอาหารไม่เป็นั่นเอง
ส่วนพี่ซ่งก็เป็ทั้งลูกพี่และพ่อครัว พี่ซ่งเป็คนรักความสะอาด ห้องครัวก็เลยสะอาดเป็ระเบียบ
“พวกพี่ทั้งสองคนคะ ทำอาหารออกจะง่าย ถึงทำอาหารอย่างอื่นไม่เป็ ก็น่าจะทำโจ๊กหรือไม่ก็ต้มบะหมี่เป็ใช่ไหมคะ” เธอยิ้มพลางเอ่ยถาม
ทั้งสองคนมีสีหน้าลังเลก่อนจะเอ่ยอย่างจนปัญญา “น้องสาว พวกเราก็เคยลองเรียนกับลูกพี่แล้ว แต่มันไปไม่รอดจริงๆ ขนาดต้มโจ๊กยังไหม้เลย”
เธอเข้าใจแล้ว ทั้งสองคนคงจัดอยู่ในกลุ่มนักฆ่าในห้องครัวสินะ
“น้องสาว ฉันอยากได้แฟนที่ทำอาหารเป็แบบเธอบ้าง จะได้ไม่ต้องพะวงเื่อาหารการกิน แล้วก็ไม่ต้องไปกินข้าวที่ร้านอาหารอีก น้องสาวพอมีพี่น้องบ้างไหม” พั่งจื่อเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวังรอคอย
เซี่ยโม่ส่ายหน้า ความจริงเธอมีพี่สาวต่างมารดาอยู่หนึ่งคน รายนั้นอย่าว่าแต่ทำอาหารเลย งานบ้านหรืออะไรก็ทำไม่เป็สักอย่าง
เธอตัดอีกฝ่ายออกจากความคิดในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ แต่แม่ฉันมีฉันกับน้องชายแค่สองคน”
พั่งจื่อทำหน้าเศร้า “จะไปหาแฟนที่ทำกับข้าวเป็จากที่ไหนได้บ้างนะ”
“เมื่อกี้พวกพี่ไม่ได้บอกว่าไปกินข้าวที่ร้านอาหารของพี่หม่าบ่อยๆ เหรอคะ ที่นั่นน่าจะมีพนักงานผู้หญิงที่ไม่เลวอยู่นะ” เด็กสาวเอ่ยเย้า
แววตาพั่งจื่อพลันเป็ประกาย “น้องสาว เธอพูดถูก น้องเสี่ยวชุ่ยที่อยู่ร้านของพี่หม่าก็ไม่เลว เดี๋ยวไปคราวหน้าจะลองถามดู”
โซ่วจื่อชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะะโเสียงดัง “น้องเสี่ยวชุ่ยเป็ของฉัน!”
พั่งจื่ออยากจะเข้าไปฟาดเพื่อนสักป้าบ ฝันไปเถอะ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะเจอเป้าหมาย คิดจะมาแย่งกับเขางั้นหรือ?
“พวกพี่ทั้งสองอย่าทะเลาะกันเลยค่ะ ใครเก่งกว่าก็ได้น้องเสี่ยวชุ่ยไป” เซี่ยโม่รีบเอ่ยห้าม นึกไม่ถึงเลยว่าประโยคล้อเล่นของตัวเองจะทำให้ทั้งสองคนผิดใจกัน
“ใช่!”
ทั้งสองคนมองจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนเธอแทบเห็นประกายไฟออกมาจากแววตาของทั้งคู่
นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งคู่จะพึ่งไม่ได้ขนาดนี้ ทะเลาะกันด้วยเื่ขี้ปะติ๋ว
ทั้งสองคนเหมือนะเิเวลาที่พร้อมสร้างความวอดวายได้ทุกเมื่อ
เธอคิดในใจ ผู้ชายเวลาเจอศัตรูความรักนี่น่ากลัวชะมัด
“พวกพี่ทั้งสองใจเย็นๆ ก่อนค่ะ กินข้าวให้อิ่มก่อน เสร็จแล้วค่อยมาตกลงกันดีไหมคะ”
ทั้งสองคนสะกดกลั้นความไม่พอใจลงท้อง ก่อนจะยอมร่วมโต๊ะอาหาร
เห็นพวกเขาเป็เช่นนี้ ทำให้เธอนึกถึงของที่ฝากทั้งสองคนไปขาย ด้วยความกังวลจึงเอ่ยเตือนโดยอ้อม “พวกพี่ทั้งสองคนอย่าลืมเื่สำคัญนะคะ”
ทั้งสองคนนึกถึงของที่น้องสาวฝากขายขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยอย่างเป็มั่นเป็เหมาะ “น้องสาววางใจเถอะ เมื่อกี้พวกเราแค่ล้อเล่นเท่านั้น เื่ที่น้องสาวฝากของไปขายรับรองไม่มีปัญหาแน่นอน หรือจะให้พวกเราเอาเงินให้ก่อนดี”
“ฉันเชื่อพวกพี่ทั้งสองคนค่ะ ของยังขายไม่ได้แล้วฉันจะรับเงินได้ยังไงคะ” เซี่ยโม่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“น้องสาว คาดว่าพรุ่งนี้ตอนเที่ยงก็น่าจะขายหมด พรุ่งนี้เธอจะเข้ามาในตำบลอีกไหม” พั่งจื่อเอ่ยถาม
“พรุ่งนี้ไม่ได้เข้ามาค่ะ วันมะรืนนี้ถึงจะได้มา” เธอส่ายหน้าอีกรอบก่อนจะทำการนัดหมาย “วันมะรืนนี้โรงเรียนจะเปิดเทอมแล้ว ฉันต้องเข้ามาเรียนในตำบล งั้นเดี๋ยววันนั้นตอนเที่ยงฉันจะมาหานะคะ”
โซ่วจื่อพยักหน้า “ได้”
เธอพบว่าพอคุยเื่งาน ทั้งสองคนก็สลัดท่าทีกรุ่นโกรธอย่างไม่มีใครยอมใครเมื่อครู่นี้ทิ้งไปจนหมดสิ้น ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ ทั้งสองคนกลับมีท่าทีฮึดฮัดใส่กันอีกครั้ง เธอจึงรีบขอตัวกลับ
ขณะกำลังขี่จักรยานกลับบ้าน เซี่ยโม่นึกขึ้นได้ว่าต้องไปถามเื่สมัครเข้าเรียนของน้องชายอีกเื่ เธอจึงขี่จักรยานกลับทางเดิมเพื่อไปยังโรงเรียนประถม
โรงเรียนประถมไหนเลยจะเทียบกับโรงเรียนมัธยมได้ ในโรงเรียนมีตึกเรียนซึ่งสร้างจากอิฐโคลน มีห้องเรียนสิบกว่าห้อง ซึ่งรวมห้องทำงานของบรรดาคุณครูเอาไว้แล้ว ส่วนห้องน้ำจะอยู่ตรงบริเวณสนามด้านหลัง
ภายในโรงเรียนเงียบสนิท เธอนึกว่ายังไม่มีใครมาทำงานจึงคิดจะกลับออกไป ทว่าเวลานี้เองเซี่ยโม่เห็นชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งเดินออกมาจากตึกเรียน
ชายชราผู้นี้ท่าทางดูน่าเคารพนับถือ แต่เซี่ยโม่จำได้ว่าตอนเธอเรียนชั้นประถมที่นี่ ไม่คุ้นว่าเคยเห็นชายชราผู้นี้มาก่อน
เธอเดินเข้าไปถามอย่างมีมารยาท “ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณครูของที่นี่ใช่ไหมคะ”
ชายชรามองเธอเรียบนิ่งอย่างสำรวจก่อนจะพยักหน้า “ใช่”
“คือแบบนี้ค่ะ น้องชายหนูอยากเข้าโรงเรียน แต่เขาเพิ่งจะอายุห้าย่างหกขวบเท่านั้น ไม่ทราบว่าโรงเรียนจะรับเขาเข้าเรียนได้ไหมคะ”
“ความสามารถในการดูแลตัวเองของน้องชายเธอเป็ยังไงบ้าง แล้วความสามารถในการเข้าใจเื่ราวต่างๆ ล่ะ ถ้ายังไม่ไหวก็อย่าเพิ่งให้รีบเข้าเรียนเลย” ชายชราตอบกลับกว้างๆ ไม่ได้เจาะจงว่ารับหรือไม่รับ แต่เลือกจะบอกถึงเกณฑ์คัดเลือกโดยสังเขป
เซี่ยโม่พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล แต่น้องชายหนูฉลาดมาก เรียนรู้ไว ความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองก็ดีเยี่ยม”
“คนในครอบครัวมักจะเห็นลูกหลานตัวเองดีและเก่งกว่าคนอื่นเสมอ พามาให้ฉันดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้หนูพาน้องชายมาหาคุณ ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้คุณว่าง่เช้าหรือ่บ่ายคะ” เธอพยักหน้ารับทราบ
“ว่างทั้งวันนั่นแหละ”
เวลานี้เองถึงค่อยรู้สึกได้ว่าชายชราตรงหน้าไม่ใช่คุณครูธรรมดา น่าจะเป็คนที่รับหน้าที่สำคัญในโรงเรียน ไม่เช่นนั้นจะรับปากอย่างรวดเร็วโดยไม่ปรึกษาคนอื่นในโรงเรียนก่อนได้อย่างไร
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่บอกฐานะที่แท้จริง เช่นนั้นเธอก็จะไม่ถาม เธอเอ่ยกับชายชราอย่างนอบน้อม “ขอบคุณมากค่ะ”
ชายชราเห็นเด็กสาวตรงหน้าสะพายกระเป๋านักเรียนมาด้วยจึงเอ่ยถาม “สาวน้อย เธอเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้วล่ะ”
“วันมะรืนหนูก็จะได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายในตำบลนี้แล้วค่ะ” เซี่ยโม่ตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่เลว สอบข้ามชั้นสินะ”
ชายชราตรงหน้าสายตาแหลมคมเหลือเกิน เธอยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
หลังเดินออกจากโรงเรียนประถม สายตามองไปยังโรงเรียนมัธยมต้นซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล คือโรงเรียนมัธยมต้นที่เธอเรียนอยู่นั่นเอง
ตึกเรียนสร้างจากอิฐดูสวยงามอย่างมาก
วันนี้ยังต้องทำเื่ย้ายโรงเรียนอีก แต่พอเดินเข้าไปกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน เธอจึงต้องขี่จักรยานกลับหมู่บ้านเซิ่งลี่อย่างจนปัญญา
ก่อนถึงหมู่บ้านจะมีป่าเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง เธอขี่จักรยานเข้าไปในป่า นำเสื้อผ้าที่ตัดให้พี่ซ่งใส่โกดังสินค้า แล้วหยิบขนมกับลูกอมจากในนั้นใส่ลงกระเป๋านักเรียนแทน
อีกไม่กี่วันเธอกับน้องชายก็ต้องไปเรียนแล้ว เซี่ยโม่หยิบรองเท้าใหม่เอี่ยมจากโกดังสินค้าออกมาหนึ่งคู่ ไว้สำหรับให้น้องชายใส่ไปโรงเรียน จากนั้นก็หยิบรองเท้าผ้าใบให้ตัวเองอีกหนึ่งคู่
เธอหยิบกระเป๋านักเรียนออกมาสองใบ และพอนึกได้ว่ารองเท้าของผู้ใหญ่ในบ้านก็เก่าแล้วเช่นกัน เลยถือโอกาสหยิบรองเท้าสำหรับผู้ใหญ่ออกมาอีกสามคู่
จากนั้นก็ยัดของทั้งหมดใส่ลงในกระเป๋านักเรียน