หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม
“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”
ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้าย้ากดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมายใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็ครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”
หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วย้าระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต้องรับเคราะห์กับเ้าไปด้วยก็แล้วกัน”
เพราะคำข่มขู่ที่มีสายตาเคียดแค้นก่อนการจากไปของซูอัน ยังเป็ที่จดจำได้ดี ครอบครัวของหลิวชางหรงจึงรีบเข้าข้างบิดา “ท่านพ่อพูดถูกถึงไม่มีครอบครัวของมู่ถง แต่ในเมืองถู่หลานยังมีนักปักผ้าที่มีฝีมืออีกหลายคน แค่ให้ค่าจ้างมากหน่อยปัญหาใบสั่งซื้อก็แก้ได้แล้วมิใช่หรือพี่ใหญ่ ข้ายังไม่อยากตายตอนนี้หรอกนะ ท่านไม่เห็นสายตาของนางเด็กซูอันนั่นรึว่ามันน่ากลัวเพียงใด”
“พี่สามีข้าไม่เชื่อหรอกว่าในเมืองถู่หลานนี้ จะไม่มีช่างปักผ้าที่เก่งกาจเหนือกว่าครอบครัวเนรคุณนั่น อย่างไรเสียตระกูลหลิวก็พอมีชื่อเสียง แค่จ้างช่างปักเก่ง ๆ มาทำงานคงไม่เกินกำลังกระมังเ้าคะ ท่านพ่อสามีข้าเห็นด้วยกับท่านพี่เ้าค่ะ พวกเราอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนบ้าอย่างครอบครัวนั่นจะดีกว่า” หลิวซิ่วอิงย่อมรักตัวกลัวตายเช่นกัน เพราะเงินที่แอบซ่อนแม่สามีเอาไว้ มีจำนวนหลายพันตำลึงเงิน
“พะ พะ พวกเ้า” หลิวฉางฮุ่ยถึงกับคิดหาคำพูดชักจูงไม่ออก
หลิวเฟยเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของหลิวชางหรง “พอแล้ว!! ทำตามที่ชางหรงบอกมาก็แล้วกัน แยกย้ายกลับเรือนของพวกเ้าไปได้แล้ว รีบรักษาตัวให้หายยังมีงานรออยู่อีกมาก”
“ขอรับ/เ้าค่ะ”
เมื่อผู้นำตระกูลตัดสินใจแล้วใครจะกล้าขัดคำสั่งนี้ได้ บุตรหลานของพวกเขาต่างช่วยกันประคองบิดามารดา เพื่อกลับเรือนของตนเองไป
ทางด้านซูอันที่พาครอบครัวออกจากจวนมาได้ นางจึงพาทุกคนไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักให้เต็มที่ กินอาหารอร่อยให้อิ่มท้อง ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกเข้าพักที่โรงเตี๊ยมขนาดเล็ก เพราะราคาห้องพักไม่แพงจนเกินไป เนื่องจากบิดามารดาของซูอันแอบเก็บเงินยามที่ท่านย่าของบุตรทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ แต่มิได้มากมายอันใดนัก
ก่อนที่บิดากับมารดาจะกลับห้องพัก หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว ซูอันได้รั้งพวกเขาเอาไว้ เพื่อพูดคุยเื่สถานที่สำหรับตั้งรกรากครั้งใหม่
“ท่านพ่อท่านแม่เ้าคะ พวกเราควรเดินทางไปเมืองไหนดีเ้าคะ”
มู่ถงนิ่งไปเกือบหนึ่งลมหายใจก็นึกออกว่า เขาควรพาครอบครัวเดินทางไปทำงานหาเงินที่เมืองใด “อันเอ๋อร์พ่อว่าจะพาพวกเ้าไปเมืองผู่เถียน ที่นั่นมีงานให้พวกเราทำอย่างแน่นอน เพราะเป็เมืองที่มีการเลี้ยงไหมและการทอผ้ามากกว่าเมืองถู่หลานน่ะ”
จือเหมยพยักหน้ายืนยันเพิ่มอีกคน “ใช่แล้วลูก ที่แม่กับพ่อพอจะรู้เื่นี้ เพราะเคยได้ยินท่านย่าของพวกเ้าเล่าให้ฟัง เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ แต่ระหว่างทางพวกเราคงต้องใช้จ่ายประหยัดกันสักหน่อย พวกเ้าสองคนช่วยอดทนสักนิดนะ”
คราแรกเยี่ยนหลิงก็พอยิ้มออกได้บ้าง แต่สิ่งที่มารดาพูดทำให้นางตระหนักได้ เื่ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางของครอบครัว จะต้องคิดทบทวนให้มากเพื่อคนทั้งสี่
แต่สำหรับซูอันนางมิได้สนใจเื่อื่น นอกจากสิ่งที่บิดาบอกว่า เมืองผู่เถียนคือเมืองที่เลี้ยงไหมและทอผ้า นั่นย่อมเป็สถานที่เพื่อให้นางกับครอบครัว ได้สร้างกิจการที่ต่อไปจะเป็ที่นิยมไปทั่วแคว้น ซูอันจึงคิดแต่งนิทานขึ้นมาหนึ่งเื่ เกี่ยวกับสิ่งที่นางมีติดตัวอยู่ในยามนี้ เพราะนางไม่อยากให้คนทั้งสามต้องโศกเศร้า
ซูอันมองครอบครัวพร้อมรอยยิ้ม ที่บ่งบอกว่านางมีความสุขมากกว่า เมื่อได้ออกจากจวนตระกูลหลิว “ท่านพ่อท่านแม่ พี่หญิง ข้ามีเื่หนึ่งต้องบอกกับพวกท่านให้เข้าใจ เพราะเื่ที่ข้าจะบอกเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ข้าาเ็เ้าค่ะ”
ทั้งสามคนมองไปยังซูอันเป็จุดเดียว พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน อาการคล้ายเกิดความสงสัยว่าคือเื่อันใด มู่ถงจึงเอ่ยถามกับบุตรสาวทันที “หลังจากเ้าาเ็เกิดสิ่งใดขึ้นงั้นรึอันเอ๋อร์ หรือว่ายามนี้เ้ารู้สึกเจ็บแผลหรืออย่างไร”
ซูอันยิ้มบางให้พวกเขาคลายกังวล “ท่านพ่อข้ามิได้เจ็บแผลอันใดเลยเ้าค่ะ แต่เื่ที่ข้ากำลังจะเล่านี้ มันเป็เื่ที่เหลือเชื่อมากกว่านั้น คือว่าในตอนที่ข้าหมดสติไป และคิดว่าตนเองอาจไม่รอดกลับมาหาพวกท่าน จึงได้สวดอ้อนวอนท่านเทพเซียนทั้งหลาย สุดท้ายท่านเทพเ่าั้คงเกิดสงสารข้า จึงพาดวงจิตของข้าไปยังโลกแห่งหนึ่ง ที่นั่นข้าได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้และการใช้อาวุธมากมาย รวมถึงเื่ทำการค้าจนมีอำนาจเหนือบุรุษ เมื่อฝึกฝนจนสำเร็จท่านเทพถึงได้พาข้ากลับมาเ้าค่ะ”
“อะไรนะ! ฝึกการต่อสู้กับใช้อาวุธรึ /ทำการค้าเก่งกว่าบุรุษ!” เสียงของผู้ฟังเื่เล่าทั้งสามคนดังขึ้นพร้อมกัน เพราะไม่อยากเชื่อเื่การมีโลกใบอื่น
ซูอันทำสีหน้าจริงจังเข้าสู้ เพื่อให้ทั้งสามคนเชื่อในสิ่งที่นางเล่าออกมา และเพื่อเป็การยืนยันว่าเป็เื่จริง ซูอันจึงจะพาครอบครัวไปดูกิจการ ที่พวกเขาจะสร้างมันในอนาคตอันใกล้นี้
“ใช่เ้าค่ะ ที่สำคัญที่สุดนะเ้าคะ ข้ายังได้ของวิเศษมาด้วยล่ะ พวกท่านหลับตาให้สนิทก่อน ประเดี๋ยวข้าจะพาไปดูของวิเศษเ้าค่ะ”
สามคนที่ยังอึ้งกับเื่ที่ซูอันเล่าออกมา ไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาแย้งได้แต่ทำตามที่นางขอ พวกเขาหลับตาลงและได้ยินเสียงของซูอัน เรียกชื่อใครบางคนออกมา “จีจี้” แต่เพียงประเดี๋ยวเดียวกลับััถึงอากาศที่ดูแปลกไปจากเดิม เยี่ยนหลิงเอ่ยถามน้องสาวเพราะนางอยากลืมตาเสียที
“อันเอ๋อร์พี่กับท่านพ่อท่านแม่ลืมตาได้หรือยังเล่า ทำไมรอบ ๆ ตัว จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลก ๆ ดังไม่หยุดเช่นนี้”
“พวกท่านลืมตาได้เ้าค่ะ”
..!?.. “นะ นะ นี่พวกเราอยู่ที่ใดกันอันเอ๋อร์ มิใช่ว่าก่อนหน้ายังอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยม แล้วที่เห็นนี่มันคืออันใดกันแน่” มู่ถงละล่ำละลักถามเอาความกับบุตรสาวคนเล็ก
“ยินดีต้อนรับพวกท่านเข้าสู่มิติของวิเศษเ้าค่ะ ส่วนอาคารแปลก ๆ ทั้งสองที่พวกท่านเห็นอยู่นั้น มันคือโรงทอผ้าและโรงปักผ้า จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้พวกท่านต้องลำบากอีกแล้ว”
เสียงเครื่องมือกลไกที่ประสานกันเป็จังหวะเบา ๆ ทั้งสามคนไม่อยากเชื่อสายตาว่า ที่ตนเองยืนอยู่ในขณะนี้คือพื้นที่กว้างใหญ่ ประหนึ่งหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง โรงงานทอผ้าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เป็อาคารใหญ่ที่สร้างจากวัสดุในโลกอนาคต มันดูมั่นคงและสง่างาม เสียงเครื่องทอผ้าและเครื่องปักผ้ายังคงดังเป็จังหวะอย่างต่อเนื่อง
“โอ้ ์! ขอบคุณพวกท่านที่เมตตาอันเอ๋อร์ของข้า ที่แห่งนั้นคงทำให้อันเอ๋อร์ได้เรียนรู้สิ่งที่มีประโยชน์มากมายสินะ” มู่ถงถึงกับคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้น เพื่อขอบคุณเทพเซียนบน์
เยี่ยนหลิงที่คิดกลัวว่าครอบครัวของนาง จะต้องเริ่มต้นใหม่อย่างยากลำบาก ยังอดรู้สึกตื่นเต้นกับความอัศจรรย์ตรงหน้าไม่ได้ “อันเอ๋อร์หากมีโรงงานทั้งสองนี้ของเ้า การค้าที่ครอบครัวเราอยากทำคงง่ายขึ้นมาก ใช่ไหมน้องพี่”
ซูอันโล่งใจที่พี่สาวมองถึงสิ่งที่นางอยากทำได้ทันที “ใช่แล้วพี่หญิง แต่หากพวกท่านอยากปักผ้าเองก็ยังทำได้เหมือนเดิม เพื่อเลี่ยงปัญหาที่คนอื่นอาจเกิดความสงสัย ส่วนเื่ค่าเดินทางพวกท่านไม่ต้องกังวล เพราะในตู้เหล็กใบนี้เป็ของมีค่า ที่ติดตัวข้ากลับมาด้วยเช่นกันเ้าค่ะ”
“หืม แล้วอันเอ๋อร์เก็บสิ่งใดไว้ในนั้นหรือลูก” จือเหมยถามบุตรสาว
ซูอันมิได้ตอบมารดาแต่นางหันไปกดรหัส ซึ่งใช้ล็อคตู้เซฟขนาดใหญ่นี้เอาไว้แทน ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! กึก
“ทองคำ!!!”
“เป็อย่างไรเ้าคะ ต่อไปไม่ว่าพวกท่านอยากกินอะไร อยากซื้อเครื่องประดับที่งดงามก็ซื้อได้แล้วนะ ครอบครัวของพวกเราจะต้องร่ำรวย และยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตระกูลอื่น ๆ ด้านการค้าผ้าที่มีลวดลายงดงามไม่เหมือนผู้ใดเ้าค่ะ”
มู่ถงมองบุตรสาวคนเล็กด้วยน้ำตาคลอเบ้า หากตนเองเข้มแข็งไม่รีรอและคาดหวังกับผู้เป็บิดา ทั้งฮูหยินและบุตรสาวทั้งสอง คงใช้ชีวิตที่มีความสุขไปนานแล้ว “อันเอ๋อร์ลำบากเ้าแล้วล่ะนะ พ่อขอโทษพวกเ้าที่ก่อนหน้ามัวให้ความหวังกับบิดาไร้หัวใจเช่นนั้น ทำให้พวกเ้าสามคนพลอยลำบากไปด้วย”
“ท่านพี่..”
ซูอันไม่อยากให้ทุกคนกลับไปคิดถึงเื่เดิม ๆ จึงได้พูดปลอบใจบิดาที่กล่าวโทษตนเอง “ท่านพ่อเ้าคะคนเราเกิดมาย่อมทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ในเมื่อเื่มันผ่านไปแล้ว ท่านเองก็อย่าเก็บมันมาใส่ใจอีกเลย แม้แต่ผู้ปกครองแคว้นก็อาจทำผิดพลาดได้ ดังนั้นยามนี้พวกเราควรมองไปข้างหน้า ใช้ความสามารถที่มีสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ ต่อไปจะได้
ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเสียทีนะเ้าคะ”
“ท่านพ่ออันเอ๋อร์พูดถูกแล้วเ้าค่ะ พวกเราไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็เพราะท่านเลยสักครั้งนะเ้าคะ ดังนั้นท่านพ่ออย่าได้กล่าวโทษตนเองอีกเลย” เยี่ยนหลิงสนับสนุนคำพูดของน้องสาว เพราะนางก็คิดคล้าย ๆ กับซูอันเช่นกัน
“ได้! พ่อจะไม่ให้เื่ในอดีตมาทำร้ายความรู้สึกของพวกเราอีก อันเอ๋อร์พ่อว่าเรากลับออกไปกันเถิด จะได้พักผ่อนให้มีแรงเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าพ่อจะไปที่ศาลาว่าการเพื่อเปลี่ยนชื่อแซ่ของเราเสียใหม่ ว่าแต่พวกลูกสองคนอยากใช้แซ่อันใดกันบ้างเล่า”
เยี่ยนหลิงไม่มีความเห็นในเื่นี้ จึงโยนให้ซูอันเป็คนตอบบิดาแทน “ข้าใช้แซ่อันใดก็ได้เ้าค่ะแล้วแต่ท่านพ่อจะจัดการ อันเอ๋อร์เล่า มีแซ่ที่เ้าชอบบ้างหรือไม่”
ซูอันใช้ความคิดเล็กน้อยจากนั้นจึงบอกกับบิดาว่า “ท่านพ่อข้าอยากเปลี่ยนไปใช้แซ่ ‘จิน’ เ้าค่ะ จินที่แปลว่าทองคำ เพราะในอนาคตอันใกล้พวกเราจะมีเงินทองเพิ่มพูนอีกมาก”
“อืม เช่นนั้นพวกเราเปลี่ยนจากแซ่หลิว ไปเป็แซ่จินั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไปก็แล้วกัน” มู่ถงเห็นดีเห็นงามตามที่ซูอันเสนอมา
“เอาล่ะ ข้าจะพาพวกท่านกลับออกไปพักผ่อนนะเ้าคะ ยามแสงของดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า นั่นถือเป็ฤกษ์ดีกับการเดินทางครั้งใหม่ของครอบครัวเราเ้าค่ะ”
แน่นอนว่าทั้งสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันย่อมยิ้มแย้มอย่างมีความสุข หลังจากซูอันพูดจบนางจึงพาครอบครัวออกจากมิติ และแยกย้ายกลับห้องไปพักผ่อน ซึ่งทั้งสี่คนพอหัวถึงหมอนก็หลับไป ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเป็เวลานานหลายปี
ส่วนมู่ถงได้ทำอย่างที่บอกกับบุตรสาวไว้ เมื่อเช้าวันใหม่มาถึงเขาไปยังศาลาว่าการเมืองถู่หลานเพื่อขอเปลี่ยนแซ่ และนำป้ายชื่อพร้อมหนังสือรับรองกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ภายหลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ซูอันนำทองคำแท่งขนาดเล็กหนึ่งแท่งไปขาย เพื่อนำเงินที่ได้มาเป็ค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง เพื่อย้ายไปอาศัยยังเมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น
