ในบรรดากลุ่มมีอิทธิพลในลู่ินั้น นอกจากกำลังการปกครองของเสวี่ย กลุ่มชนชั้นสูงและสำนักกวางขาวรวมทั้งกลุ่มกิจการพาณิชย์ทั้งหลายแล้ว กลุ่มที่พึ่งกำลังเอาพรรคเอาพวกมากเข้าไว้ ก็เป็ส่วนประกอบที่สำคัญเช่นกัน
และกลุ่มสองนทีก็เป็หนึ่งในพรรครวมอิทธิพลเช่นกัน
ในเขตภายในเฉิงเป่ยนั้น อิทธิพลของพรรคสองนทีถือเป็หนึ่งในสิบอันดับ หัวหน้าพรรคคือหลางจง ข่าวว่าเป็นักยุทธ์ขั้นอาณาน้ำพุิญญามานานแล้ว ยอดฝีมือในอาณัติมิใช่น้อยๆ มีแรงกระทบมาก โดยเฉพาะเขตใกล้กับมธุรส์นี้เป็เขตในความควบคุมของพรรคสองนทีอย่างแน่แท้
“ท่านนี้คือคุณชายเย่หรือไม่ขอรับ?”
บุรุษอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งเห็นเ่ิูก้าวออกมาก็ยกมือเคารพแล้วไถ่ถามอย่างเกรงใจยิ่ง
เ่ิูพยักหน้ารับ
“คารวะคุณชายเย่” บุรุษชุดม่วงคำนับอีกครั้งแล้วจึงหันหลังไปกวักมือเรียก
ใกล้กายเขามีสหายมาอีกสี่คน ยกกล่องไม้สีแดงชาดสูงหนึ่งเมตรหกกว้างครึ่งเมตรมาช้าๆ ดูภายนอกแล้วกล่องไม้นี้น้ำหนักไม่เบาแน่ พลังของชายชาตรีสี่คนถึงยังยกแบบก้าวมาช้าและหนักหน่วง
ผู้เป็หัวหน้าชี้กล่องไม้พลางรายงานอย่างนอบน้อม “คุณชายเย่ นี่คือของขวัญที่ประมุขหลางมอบแด่ท่าน ขอท่านรับไว้ด้วย”
“หลางจงส่งของขวัญให้ข้าหรือ?”
เ่ิูขมวดคิ้วน้อยๆ
ความคิดและการอนุมานมากมายผุดขึ้นในสมองเด็กหนุ่ม
ว่ากันว่าโชคชะตาจะนำพาศัตรูมาให้เจอกันเสมอ ประมุขพรรคสองนทีก็เป็หนึ่งในคนที่เ่ิูเตรียมพร้อมรับมือ
เพราะคนที่ขโมยศาสตราวุธิญญาของตระกูลเย่ไปเมื่อครานั้น ก็คือประมุขพรรคหลางผู้นี้เอง
ทว่าคนผู้นี้ไม่เหมือนกับพวกลัวจิ้น ไม่เพียงอิทธิพลเหนือกว่าเท่านั้น เขายังเป็ยอดฝีมือขั้นอาณาน้ำพุิญญาด้วย ถึงเด็กหนุ่มจะพบพานสิ่งอัศจรรย์อยู่เสมอและผ่านเข้าอาณาน้ำพุิญญาแล้ว ทว่าก็ปลุกน้ำพุได้ตาเดียวเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าจะใช่คู่มือของหลางจงหรือไม่
ด้วยเหตุนั้นในคราวนี้เ่ิูจึงจัดการพวกลัวจิ้น แต่ยังมิได้ไปหาหลางจงแห่งพรรคสองนที
ไม่นึกเลยว่าหูตาของหลางจงจะว่องไวเพียงนี้ ถึงได้หาร่องรอยของเ่ิูเจอโดยฉับพลัน แล้วยังส่งคนมาส่งของกำนัลให้อีกต่างหาก
ดูท่าเื่ตระกูลเย่กับเื่ที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ เขาจะรู้เื่ไปไม่ต่ำกว่าแปดในสิบ
ประมุขพรรคสองนทีผู้นี้ท่าจะรับมือยากกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้าหน่อยหนึ่ง
ทว่าเื่ที่หลางจงส่งของขวัญมานี้ มีจุดประสงค์สิ่งใดกันแน่นะ?
เ่ิูลังเลเล็กน้อย เขายกมือขึ้น กำลังภายในพลันเอ่อท้น
บุรุษทั้งสี่ใเมื่อมือเบาหวิวในบัดดล เมื่อมองอีกที กล่องไม้สีแดงชาดนั้นก็ถูกเ่ิูยึดเอาไว้กลางอากาศจนมาถึงฝ่ามือ ใช้มือเพียงข้างเดียวก็ถือกล่องไว้ได้นิ่งไม่ไหวติงยิ่งนัก
ชายชาตรีทั้งสี่มองตาสหายที่ตะลึงพอกันไปมา
พวกเขาเป็กองกำลังติดอาวุธพร้อมพลังใจของพรรค ทั้งสี่ที่ช่วยกันแบกกล่องไม้ล้วนแล้วแต่รู้สึกหนักน้อยๆ กันทั้งนั้น ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะยกของหนักให้เหมือนขนนกได้ พลังเยอะกว่าพวกเขามากนัก
อีกด้าน
เ่ิูรู้สึกเพียงกล่องไม้สีแดงในมือนี้หนักเหลือเกิน ไม่ต่ำกว่าห้าพันจินเป็แน่ ขณะนี้จึงทายไม่ออกว่าด้านในคือสิ่งใดกันแน่ มือขวาดึงฝาปิดเอาไว้แล้วยกขึ้นเบาๆ
กลิ่นอายเหน็บหนาวแผ่ออกมาจากกล่องไม้ ความเย็นเยียบอัดแน่นพวยพุ่งออกมาบัดดล
ความงดงามประหลาดนาทีนี้ ประหนึ่งแสงจันทร์สาดนภายามราตรี
เ่ิูมองลงไปแล้วก็ได้แต่นิ่งงันอย่างห้ามมิได้
ในตลับขนาดใหญ่นั้น มีกระบี่ั์นอนแน่นิ่งอยู่ กว้างประมาณสามนิ้ว ยาวครึ่งจ้าง ตัวกระบี่ใสประหนึ่งน้ำยามวสันต์ ไร้ซึ่งแกนกระบี่หรือลวดลายใด เปล่งประกายกลอกกลิ้ง ราวกับปรอทโลดแล่น ด้ามกระบี่หนาเท่าไข่เป็ด บนด้ามแกะสลักลวดลายไว้ สีฟ้าเวหาแบ่งแยกเป็สามชั้น แต่ละชั้นเชื่อมโยงกันอย่างประณีตบรรจง หลุดออกจากตัวกระบี่โดยสิ้นเชิง...
รูปแบบของกระบี่เล่มนี้ช่างเรียบง่าย ปราศจากเครื่องตกแต่งหวือหวา ทว่างามสง่ายิ่งนัก ดลให้ใครก็ตามที่ได้มองเป็ต้องรักสนิทดั่งชิดใกล้กันมานานนม
“นี่มัน...กระบี่ฉ่าวชาง!”
เ่ิูเกือบจะกู่ร้องออกมาอยู่แล้ว
กระบี่เล่มนี้คือกระบี่ฉ่าวชางที่เป็ของตระกูลเย่เมื่อก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากนั้นก็ถูกประมุขพรรคสองนทีหลางจงชิงเอาไป ตอนที่เด็กหนุ่มยังเล็กๆ นั้นเคยเห็นบิดานำกระบี่เล่มนี้มาวาดเล่น เขาจดจำได้แม่นมั่น ไม่มีทางเข้าใจผิดเป็อื่นไปแน่
วันนี้หลางจงกลับส่งคืนศาสตราวุธิญญาชิ้นนี้ให้เขาอย่างง่ายดายกระนั้นหรือ?
เ่ิูไม่เคยคาดฝันว่าจะเกิดเื่เช่นนี้
เด็กหนุ่มก้มหัวคิดครู่หนึ่งก็ปิดฝากล่องกลับที่เดิม มือหนึ่งถือกล่อง อีกมือหนึ่งจูงเสี่ยวฉ่าว ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรอีกเมื่อเดินผ่านบุรุษอาภรณ์ม่วงเ่าั้ไปทีละก้าวๆ จนลับตาที่หัวมุมถนน...
ขณะเดียวกันนั้นเอง
เลยจากโรงเตี๊ยมมธุรส์ไปประมาณสามร้อยเมตร
บนแผงลอยข้างทาง หลี่ฉือเจินหมอชราผมขาวพับเก็บเก้าอี้พับของตัวเอง ม้วนป้ายเนื้อหยาบเก็บไว้แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นมา ผู้เป็หลานสาวก็เก็บกล่องยาโดยพลัน สองปู่หลานเดินเหินโขยกเขยกจากไป...
ชายหนุ่มชุดไหมสีม่วงส่งทั้งสองด้วยสายตาเคารพ
...
...
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เ่ิูกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่
ป้ายสลักหน้าประตูใหญ่ได้ถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว อักษรคำว่า ‘ตระกูลเย่’ ส่องประกายแวววาว มีความรู้สึกพิเศษกระจายอยู่ทั่ว
ฉินหลันยืนเมียงมองอยู่หน้าประตูตลอดเวลา
เมื่อเห็นเ่ิูกับเสี่ยวฉ่าวกลับมาอย่างปลอดภัยนางก็ได้ถอนใจโล่งอก รีบะโสั่งให้คนออกไปต้อนรับ
เ่ิูมิได้อยู่ในห้องโถงนานนัก พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็อดไม่ไหวที่จะกลับไปยังที่ของตน เริ่มพินิจพิจารณาอาวุธิญญากระบี่ฉ่าวชาง
เขาเพิ่งเข้าอาณาน้ำพุิญญาได้ไม่นาน และยังไม่มีอาวุธิญญาประจำกำลังภายในตนเลย หากประมือกับนักยุทธ์ธรรมดานั้นไม่มีปัญหาใดมาก แต่หากพบกับยอดฝีมือที่มาพร้อมอาวุธิญญาประจำกายแล้วล่ะก็ ต้องตกเป็รองอย่างแน่นอน
ถึงแม้เมื่อขึ้นปีสองแล้วจะเริ่มการเรียนทักษะต่างๆ เช่นอักขระ หลอมอาวุธ จ่ายยา แยกแร่ เจียระไน เป็ต้น ทว่าการจะหล่อหลอมอาวุธิญญาขึ้นมา ไม่เพียง้าศิลปะและฝีมือระดับมาตรฐานอันหมดจดเท่านั้น ยัง้าทรัพยากรจำนวนมาก แร่ิญญา สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางที่เ่ิูจะหามาบรรณาการได้ในเวลาอันสั้นแน่ๆ
ดังนั้น ในสภาพการณ์เช่นนี้ กระบี่ฉ่าวชางช่างมาได้เหมาะเจาะเหลือเกิน
กระบี่ฉ่าวชางเป็กระบี่ที่บิดาได้มาโดยบังเอิญ แม้มิใช่ของมีชื่อหรืออาวุธิญญาระดับต้น แต่ก็เป็อาวุธิญญาที่แท้จริงเช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดกับเป้าหมายในภายหน้านี้ มันก็สามารถเติมเต็มความ้าของเ่ิูได้ใน่เวลายาวนาน่หนึ่ง
เมื่อฝึกกระบี่ฉ่าวชางแล้ว พลังของเ่ิูก็จะสามารถก้าวขึ้นไปได้อีกระดับ
...
“เ้าพูดว่าคุณชายเย่ไปมธุรส์มาหรือ?” ฉินหลันถามอย่างใยิ่ง
นางคุยกับลูกสาวอยู่ในห้องครัว แล้วพอนึกได้ก็ถามเท่านั้น เสี่ยวฉ่าวเล่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มารดาฟังรอบหนึ่งอย่างมีชีวิตชีวายิ่ง
ฉินหลันตะลึงพรึงเพริดนัก
ลัวจิ้น หวังโหยวเต๋อ เนี่ยอิ่น คนเหล่านี้เฉือนตระกูลเย่เป็ชิ้นๆ เพื่อแบ่งกันกินอย่างโอชะ ฉินหลันเกลียดพวกมันเข้ากระดูกดำ เสียดายที่ไม่มีกำลังจะตอบโต้ได้ เมื่อเ่ิูปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อวานนี้ และได้ยึดบ้านกลับคืนมา นางก็เป็ห่วงโดยตลอดว่าหากคนเหล่านี้รู้เื่ที่เกิดขึ้นที่นี่ขึ้นมาอาจจะก่อเื่ใหญ่โตขึ้นมาอีกได้
ฉินหลันห่วงเ่ิูซึ่งขาดประสบการณ์ อายุน้อยเยาว์วัยนัก หากทำอะไรวู่วามไป ในทางร้ายจะถูกลัวจิ้นและผองพวกใช้แผนมากเล่ห์กัดกินจนไม่เหลือที่ให้ยืน กลัวจะไปแหย่เสือแล้วถูกเสือขย้ำ
นางกะไว้ว่าจะหาเวลาวันนี้แนะนำและบอกเขาให้แน่ใจ วางแผนระยะยาวเสียกันเหนียวไว้ก่อน
ไม่นึกเลยว่า...
ในสายตาของฉินหลัน ศัตรูที่น่ากลัวได้ถูกคุณชายจัดการอย่างละมุนละม่อมไปแล้ว
“เห็นท่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ...” ฉินหลันทั้งดีใจทั้งปลง เ่ิูเติบโตมากกว่าที่นางคาดไว้ ทำให้สตรีผู้ซื่อสัตย์ภักดีเช่นนางได้รู้ซึ้งว่านางและคุณชายหยูไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกันอีกต่อไปแล้ว
ไม่ถึงอึดใจ ถังซานก็กลับมาพร้อมตราประทับเทียบกับอักขระทุกอย่างครบครัน
“สำเร็จเสร็จสรรพแล้ว ฮ่าๆ ช่างน่าภูมิใจจริงๆ” ถังซานยินดีปรีดานัก เขาทักทายฉินหลันแล้วถามต่อ “คุณชายเย่ล่ะ?”
“พี่หยูเก็บตัวฝึกฝนแล้ว เขาบอกว่าเื่ในบ้านทุกอย่างให้พี่ถังกับแม่ปรึกษากันตัดสินใจก็พอแล้ว” เสี่ยวฉ่าวว่าเจื้อยแจ้ว
เมื่ออยู่ในอาภรณ์ผ้าไหมผ้าแพร เสี่ยวฉ่าวยิ่งสวยงามประหนึ่งรูปหยกแกะสลัก เสียแต่ว่าด้วยขาดสารอาหารมาระยะยาว ร่างกายจึงผอมไปบ้าง
ถังซานและฉินหลันปรึกษาเื่ปัญหาในการจัดการค่าใช้จ่ายส่วนกลางของธุรกิจที่ได้คืนมา
ตระกูลเย่ต้องพลิกฟื้นขึ้นมาใหม่ เื่ภายในภายนอกยังมีหลายสิ่งให้ต้องบริหารจัดการ ใจของทั้งสองสุมด้วยกำลังทุกหยดที่มี ต้องสร้างบ้านที่ปลอดภัยมั่นคงให้นายท่านหยู มิให้เ่ิูต้องรู้สึกถึงความเสียใจภายหลังได้
เื่ของวันนี้ทำให้ทั้งสองล่วงรู้ว่าเ่ิูประหนึ่งักำลังอยู่ในที่ลึก เมื่อบัดนี้กำลังจำศีล ภายภาคหน้าจักต้องมีสักวันที่ผงาดขึ้นท้องฟ้า โบยบินฉวัดเฉวียนสู่์ชั้นที่เก้า ตระกูลเย่ไม่อาจยกให้เขาแบกภาระไว้เพียงผู้เดียวได้
...
บ้านตระกูลเย่
สวนปณิธาน
เ่ิูยืนกางขาปลายเท้าแยกออกอยู่กลางสวนนั้น
ทั่วร่างเขามีพลังไร้รูปร่างเอ่อท้น กระตุ้นกำลังภายในทั้งหมด กลิ่นอายแข็งแกร่งเบ็ดเสร็จหยั่งทั่วถึงทุกอณูร่าง อากาศห่อหุ้มร่างในระยะสามเมตรราวกับแช่แข็ง วาโยเวียนวนผังแผ่...
กระบี่ฉ่าวชางลอยอยู่เหนือเศียร และสั่นะเืด้วยความเร็วสูงในอัตราที่ดวงตามิอาจมองเห็น เหนือด้ามกระบี่เป็ริ้วลายสีเงินมีริ้วลายใหม่แตกแขนงออกไป กลายเป็แสงสว่างสีฟ้าเรืองรอง ราวกับมีชีวิตและกำลังเลื้อยขยุกขยิกอย่างแช่มช้า
ริ้วแสงสีฟ้านี้คือเส้นทางแห่งอักขระ
สิ่งที่เรียกว่าอาวุธิญญา คือการนำวัตถุดิบเหล็กกล้าชนิดที่หาได้ยากนักมาสร้างเป็ศาสตราวุธ สิ่งสำคัญที่สุดคือภายในอาวุธิญญาและชั้นผิวเนื้อ ต้องมีอักขระที่ปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอักขระสลักเสลาและแกะเกลาด้วยตนเอง ไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ตาม
กระบวนอักขระเหล่านี้เมื่อถูกกำลังภายในของนักยุทธ์กระตุ้นแล้ว จะเกิดเป็พลังงานประหลาดหนักหน่วง กลายเป็เพิ่มพูนพลังโจมตีหรือป้องกันของตัวนักยุทธ์ และอาวุธิญญาที่สลักกระบวนอักขระสำหรับโจมตีเป็พิเศษ ก็ยังสามารถเข้าคู่กับนักยุทธ์ สำแดงฤทธีการฆ่าและกระบวนสู้ศึกชั้นสูงออกมาได้
ทั่วไปก็ว่ากันว่านักยุทธ์ที่มีอาวุธิญญาสามารถฆ่าแกงนักยุทธ์ระดับเดียวกันที่ไร้ซึ่งอาวุธิญญาได้สามถึงห้าคน
ตอนนั้นที่สู้ศึกกัน หากฉินอู๋ซวงผนึกพลังหลอมรวมเป็หนึ่ง ทำให้กระบี่ไร้ขอบเขตกลายเป็อาวุธิญญาประจำชีพไปได้เต็มคราบแล้วล่ะก็ เ่ิูคงไร้ซึ่งโอกาส
น่าเสียดายที่ยามนั้นเองฉินอู๋ซวงก็เข้าอาณาน้ำพุิญญาได้ไม่นาน พื้นฐานไม่ดีพอ ยังไม่อาจฝึกฝนกระบี่ไร้ขอบเขตได้สมบูรณ์พอ ไม่อาจสำแดงพลังน่ากลัวของอาวุธิญญา จึงได้ถูกเ่ิูกำราบจนพ่ายแพ้ไป
“นี่เองคือเื่มหัศจรรย์ของศาสตราิญญา”
เ่ิูกระตุ้นกำลังภายในทั่วเรือนร่าง พลังแต่ละสายประหนึ่งเส้นแสงเคลื่อนไหวไปตามร่างกาย สุดท้ายก็พวยพุ่งออกมาจากสองแขนของเขา ราวกับสายฟ้าแลบขนาดจ้อยอบอวลอยู่รอบรูปกาย ทั้งยังโอบพันรอบตัวกระบี่ประหนึ่งตรวนแห่งอัสนี