นับั้แ่เขาเดินทางมาถึงเถิงชงเขาก็ไม่ได้ฝึกผ่าธูปอีกเลย ถึงแม้ว่าการผ่าธูปจะเป็เพียงบททดสอบอย่างหนึ่งเท่านั้นแต่มันก็เป็พื้นฐานของการแกะสลัก เพราะการผ่าธูปนอกจากจะได้ฝึกฝนกำลังแขนแล้วยังได้ฝึกฝนข้อมือ รวมทั้งฝึกฝนสายตาและความอดทนอีกด้วย การแกะสลักมีเงื่อนไขต่างๆสูงมาก หากมือของช่างแกะสลักสั่นเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ผลงานการแกะสลักชิ้นนั้นเสียไปเลยก็ได้ ดังนั้นการแกะสลักจำเป็ต้องมีความแม่นยำและความละเอียดอ่อน รวมทั้งความอดทนและยังต้องมีความนิ่งของมือและแขนในระดับที่สูงมากอีกด้วย
หนังสือ “คัมภีร์การแกะสลัก” ที่ไม่สมบูรณ์เล่มนั้นที่ท่านปฐมาจารย์อวี๋ซินทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังหลินเยว่ก็อ่านภาพรวมทั้งหมดแล้ว เขาพบว่าเนื้อหาภายในถูกแบ่งออกเป็ 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก คือ แกะรูป ขั้นที่สอง คือแต้มจิติญญา ขั้นที่สาม คือ เหนือแก่นแท้
ขั้นตอนแรก ขั้นตอนนี้เป็การแกะสลักตามลักษณะของสิ่งมีชีวิตทั้งดอกไม้นก ปลา และหนอน* รวมทั้งมนุษย์ขั้นตอนนี้้าเพียงรูปร่างลักษณะภายนอกเท่านั้น ยังไม่ต้องแกะสลักถึงจิติญญาวิธีการใช้มีดในขั้นตอนนี้มีความซับซ้อนมาก เพียงจดจำวิธีเหล่านี้ก็ต้องใช้เวลาเยอะมากแล้วอีกทั้งยังต้องสามารถใช้งานตามวิธีการต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว
ขั้นที่สอง คือ แต้มจิติญญาคือการทำให้สิ่งที่แกะสลักออกมาดูมีอากัปกิริยาและมีชีวิตชีวาทำให้มันมีทั้งรูปลักษณ์และจิติญญาในเวลาเดียวกันวิธีการใช้มีดในขั้นตอนนี้กลับง่ายกว่าขั้นตอนแรกมากแต่ทว่ากลับ้าความละเอียดแม่นยำมากกว่า
สำหรับขั้นตอนที่สามนั้นหลินเยว่ก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน เนื่องจากตอนนี้ “คัมภีร์การแกะสลัก”หลงเหลือเพียงครึ่งเล่มเท่านั้น และขั้นตอนที่สองก็มีเพียงครึ่งเดียวแต่ทว่าหลินเยว่ก็สามารถจินตนาการได้ว่าขั้นตอนที่สามนี้จะต้องมีเงื่อนไขต่างๆสูงมาก สูงจนกระทั่งขั้นตอนแรกและขั้นตอนที่สองไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้เลยเพียงเห็นคำว่า “เหนือแก่นแท้” คำนี้เขาก็รู้ว่ามันต้องเป็ระดับขั้นที่ต้องใช้เพียงความเข้าใจโดยสัญชาตญาณรวมทั้งความรู้สึกเท่านั้นแต่ไม่สามารถใช้ภาษาพรรณนาออกมาได้
ข้อมูลจาก “คัมภีร์การแกะสลัก” หลินเยว่จึงสามารถคาดการณ์ในสิ่งที่ท่านอาจารย์ฉางไท่เคยพูดกับเขาไว้ว่า“เทคนิคการแกะสลักแบบโบราณจะทำเื่ซับซ้อนให้เป็เื่ง่าย” ได้แล้วนั่นเอง
ดังนั้น เป้าหมายในอนาคตของเขาก็คือความละเอียดแม่นยำ และความเรียบง่าย
เนื่องจากสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กของเขายังคงไม่คงที่ดังนั้น หลินเยว่จึงตัดสินใจไว้ว่าเขาจะยกระดับสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กจนถึง 6มีด หลังจากนั้นค่อยเริ่มฝึกฝนขั้นตอนแรกซึ่งก็คือการแกะรูป
หลังจากผ่าธูปเป็เวลา 2 ก้านธูปแล้ว หลินเยว่ก็เหนื่อยจนยื้อต่อไปไม่ไหวเขาจึงล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้แม้กระทั่งถอดเสื้อผ้า
วันถัดมาตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น หลินเยว่ก็มีสภาพสดใสเป็ปกติจากสถานการณ์ในหลายๆครั้งทำให้เขาพบว่าไม่ว่าวันก่อนหน้าเขาจะใช้พลังพิเศษตาทิพย์จนเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดแต่หากไม่ได้ใช้จนหมดเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิงเช้าวันถัดมาเขาก็จะสามารถฟื้นฟูจนกลับมาเป็เหมือนเดิมได้
ความสามารถในการฟื้นฟูของเขาช่างดีจริงๆ!
หลินเยว่รำพึงอย่างหลงตัวเองหลังจากนั้นเขาจึงเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกไปจากห้อง
วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ววันนี้เขาจะต้องพนันหินหยกดีๆ สักก้อน!
วันนี้ไม่เหมือนกับวันก่อนๆ เพราะเฮ่อโย่วจ้างยังไม่ตื่นนอนและนี่ก็เป็สิ่งที่ทำให้หลินเยว่อารมณ์ดี เขาสั่งอาหารเช้าชุดหนึ่งหลังจากนั้นจึงเลือกที่นั่งตำแหน่งหนึ่งแล้วก็ทานอาหารรอเฮ่อโย่วจ้างไปพลางๆ
ผ่านไป 1 ชั่วโมงเฮ่อโย่วจ้างถึงได้เดินลงมาทานข้าวเมื่อเขาเห็นว่าหลินเยว่ลงมารอเขาั้แ่เช้าแล้วสีหน้าของเขาก็แสดงความประหลาดใจอยู่ชั่วครู่
และสีหน้านี้ของเฮ่อโย่วจ้างหลินเยว่ก็สังเกตเห็นเช่นกันทำให้หลินเยว่รู้สึกว่าการรอหนึ่งชั่วโมงนี้มันก็ไม่เสียหลายเลยทีเดียวเขามีความสุขจนแทบจะร้องไห้เลยล่ะ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เดินทางมายังถนนหินหยกอีกครั้ง
หลินเยว่ยังไม่คิดเร่งร้อนที่จะตัดหินหยกก้อนเมื่อวานเพราะหากเขาตัดหินหยกต่อเนื่องกันหลายครั้งย่อมทำให้พวกมีเจตนาแฝงอยู่เริ่มสนใจมากขึ้นดังนั้น เขาจึงคิดรอให้ตนเองไม่มีเงินก่อนแล้วค่อยตัดหินหยกก้อนนั้นแต่ทว่าสิ่งที่หลินเยว่ไม่รู้ก็คือ เขาได้เป็ที่สนใจของทุกๆ คนเสียแล้ว
หลังจากแยกกันเดินกับเฮ่อโย่วจ้างหลินเยว่จึงเดินอยู่บนถนนหินหยกเขาพบว่าเ้าของแผงทั้งหลายต่างมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปในนั้นมีความเคารพเลื่อมใส และมีความคาดหวัง แต่สิ่งที่มีมากยิ่งกว่าก็คือความกังวล
หากสนใจหินหยกของร้านไหนร้านนั้นก็ต้องให้ราคาพิเศษ แล้วใครจะไม่กังวลบ้างล่ะ
นอกจากเหล่าเ้าของแผงเหล่านี้แล้วแม้กระทั่งนักธุรกิจที่ผ่านไปมาก็ยังพูดถึงหลินเยว่จากทางด้านหลัง
“เห็นหรือยังเด็กหนุ่มคนนั้นก็คือคนที่ได้รับบัตรการยอมรับจากเถิงชงไงล่ะ”
“ก็เขาน่ะสิ คนที่เหยียบขี้หมานำโชคคนนั้นแล้วจะมีใครรู้บ้างว่าเขาจงใจทำเื่นี้ขึ้นมาหรือเปล่า หากผมเป็คนทำ ผมก็มีโอกาสได้รับบัตรการยอมรับเหมือนกัน”คนที่รู้สึกริษยาแล้วเกิดอาการองุ่นเปรี้ยวคนหนึ่งพูดขึ้น
และเวลานี้เองก็มีคนอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วถามขึ้น“ดูจากหน้าตาท่าทางของคุณ ดูเหมือนเป็คนเก่าแก่ในวงการนี้แล้วก็น่าจะเคยมาที่เถิงชงหลายครั้งแล้วใช่ไหมแล้วทำไมคุณถึงไม่ได้ทำในสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนั้นเขาทำล่ะ?”
ประโยคนี้เป็การถามคนที่มีความริษยาคนนี้จนทำให้เขาหน้าแดงด้วยความละอาย หลังจากนั้นจึงมุดตัวเข้าไปในฝูงชนแล้วหายไปทันที
……
เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเหล่านี้แล้วหลินเยว่จึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ ั้แ่เมื่อวานที่เขารู้เื่จากฉินจงฮั่นเขาก็รู้แล้วว่าจะต้องมีคนบางส่วนชื่นชมในการกระทำของเขาแต่ก็ต้องมีคนบางส่วนที่จ้องจะประชดประชันเหน็บแนมแต่หลินเยว่ก็ไม่ได้คิดมากในจุดนี้
ในเมื่อคุณได้รับประโยชน์จากจุดนี้แล้วคุณยังไม่ยอมให้คนที่ใฝ่ฝันมานานแต่ไม่เคยแม้กระทั่งจะได้เห็นหรือได้รับพูดจาแสดงความไม่พอใจอีกหรือ?
ขอแค่คนเหล่านี้ไม่ทำจนเกินไปจนหลินเยว่รู้สึกรับไม่ได้เขาก็ยินดีอดทนกับสิ่งเหล่านี้
หลินเยว่เดินไปสักพักเขาจึงพบว่าตนเองกลายเป็คนที่มีชื่อเสียงบนถนนสายนี้เสียแล้วไม่ว่าเขาจะเดินไปตรงไหนก็จะมีคนพูดถึงเขาอยู่เสมอ มีคนใส่ร้าย มีคนประชดประชันมีคนชื่นชม มีคนสะท้อนใจ...... ความรู้สึกของคนเรามันช่างแตกต่างกันจริงๆ
แต่ในบรรดากลุ่มคนเหล่านี้กลุ่มที่ใส่ร้ายจะมีจำนวนมากที่สุด ถึงหลินเยว่จะได้ยินคำพูดใส่ร้ายตนเองแต่เขาก็ยังฟังเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาคิดว่านี่เป็โอกาสอันดีที่เขาจะได้ฝึกฝนจิตใจของตนเองเพราะหากคำพูดคำจาเหล่านี้ไม่สามารถทำให้จิตใจของเขาแปรปรวนนั่นก็แสดงว่าการฝึกฝนจิตใจของเขาถือว่าผ่านแล้ว
หลินเยว่เดินมุ่งต่อไปข้างหน้าเขาตั้งใจจะเดินไปยังตำแหน่งที่นักธุรกิจชาวกว่างโจวพนันหินหยกตรงนั้นวันนี้เขาจะเริ่มต้นเดินจากที่นั่น
นักธุรกิจที่เดินอยู่บนถนนต่างมองเื้ัของหลินเยว่ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆอย่างเหม่อลอย
ไม่ว่าจะเป็การใส่ร้ายหรือว่าเป็การชื่นชมแต่ทุกคนต่างมีคำถามหนึ่งลอยวนเวียนอยู่ในสมอง พวกเขาตั้งคำถามนี้ให้กับตนเองอยู่ตลอด
ทำไมตอนที่ตนเองเห็นคนที่สติไม่สมประกอบผู้นั้นถึงไม่ได้คิดจะลงมือทำอะไรเลย?
แต่เด็กหนุ่มที่ดูค่อนข้างผอมบางผู้นั้นกลับเต็มใจที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คิดจะทำและไม่ยินดีจะทำล่ะ?
หากไม่มีบัตรการยอมรับใบนั้นรวมทั้งสิทธิพิเศษเื่ราคาแล้วตนเองยังจะรู้สึกอิจฉาริษยาแบบนี้หรือเปล่า? บางทีอาจจะบอกว่าเขาโง่ก็ได้?
ปกติคนเรามักจะอิจฉาริษยาผลงานของคนอื่นหลังจากเหตุการณ์เ่าั้ผ่านไปแล้วแล้วเด็กหนุ่มคนนั้นจะคิดถึงสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า? หรือว่าเขาคิดเพียงว่าเขามีความปรารถนาดีจึงลงมือทำในครั้งนี้แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้รับสิ่งตอบแทนใดๆ
คนคนหนึ่งยินดีใช้เงินจำนวนครึ่งหนึ่งของตนเองทำเพื่อคนที่ไม่รู้จักอีกคนหนึ่งการกระทำแบบนี้จะมีใครทำได้บ้าง?
แต่เขา... เด็กหนุ่มคนนั้น ทำได้แล้ว!
แล้วตนเองจะทำได้หรือเปล่า???
สายตานักธุรกิจที่เดินอยู่รอบๆ เริ่มล่องลอยไปไกลพวกเขาไม่รู้คำตอบ เป็เพราะคำตอบที่ได้อาจจะทำให้พวกเขารับไม่ได้ดังนั้นจึงทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นแทน
การใส่ร้าย การประชดประชันถึงแม้ว่าปากของพวกเขาจะพูดแต่สิ่งร้ายๆ แต่ทว่าในใจลึกๆของพวกเขากลับรู้สึกนับถือหลินเยว่เด็กหนุ่มรูปร่างค่อนข้างผอมบางผู้นั้น
จะไม่นับถือก็คงจะเป็ไปไม่ได้หรอกนะ
เพียงไม่นาน หลินเยว่ก็เดินมาถึงตำแหน่งที่นักธุรกิจชาวกว่างโจวพนันหินหยกหลังจากนั้นเขาก็เริ่มสำรวจหินหยกในแต่ละแผงเพื่อมองหาหินหยกที่มีโอกาสพนันได้สูง
เนื่องจากวันนี้เฮ่อโย่วจ้างตื่นค่อนข้างสายตอนที่พวกเขามาถึงบนถนนหินหยกเส้นนี้ก็เป็เวลาเกือบสิบโมงเช้าแล้ว ดังนั้นเมื่อหลินเยว่เดินสำรวจไม่กี่แผงก็ถึงเวลาเที่ยงแล้วนั่นเอง
หลินเยว่มองดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะหลังจากสำรวจหินหยกในมือของตนเองก้อนนั้นเสร็จแล้ว สุดท้ายเขาจึงได้แต่ถอนหายใจ
หินหยกดีๆ ถูกคนอื่นเลือกไปหมดแล้ว
ส่วนหินหยกที่ลักษณะไม่ดีก็มองไม่ออกว่าก้อนไหนมีโอกาสพนันได้
หลินเยว่คิดอยากให้ตนเองมีเนตรอัคคีสีทอง**เพียงกวาดตามองหินหยกก็สามารถมองเห็นตัวหยกที่แท้จริงได้ทันทีไม่จำเป็จะต้องใช้เวลานานขนาดนี้ในการเสาะหาถึงตอนนั้นเขาก็แค่ต่อราคาเท่านั้นก็พอ
* ดอกไม้ นก ปลา และหนอน (花鸟鱼虫) หมายถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก โดยดอกไม้ (花) หมายถึง พืชทั้งหมด นก (鸟) หมายถึง สิ่งที่บินได้บนท้องฟ้า ปลา (鱼) หมายถึง สิ่งที่ว่ายอยู่ในน้ำ และหนอน (虫) หมายถึง สิ่งที่คลานได้บนพื้นดิน
** เนตรอัคคีสีทอง (火眼金睛)เป็ดวงตาของเห้งเจีย (ซุนหงอคง) ในเื่ไซอิ๋วที่สามารถแยกแยะปีศาจออกมาได้ก่อน ภายหลังถูกนำมาใช้แสดงถึงคนที่มีดวงตาเฉียบคมสามารถแยกแยะของจริงของปลอมได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้