บทที่ 7
สีทองอำไพส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า พร้อมกับสายลมอ่อน ๆ ที่โบกพัดผ่านไปทั่วตัวเมืองเป่ย บนท้องถนนที่ในยามนี้ต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวกันอย่างพลุกพล่าน อีกทั้งรถราที่เริ่มมีมากมายบนถนนล้อไปกับสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นและนโยบายการสร้างเส้นทางในตัวเมืองของทางพรรค จนทำให้เมืองเป่ยที่เคยเงียบเหงาในยามที่ตะวันจะตกดิน เริ่มมีสีสันและความครึกครื้นอีกครั้งในยามใกล้ราตรีเช่นนี้
บริเวณย่านโรงเรียนมัธยมประจำเมืองเป่ยที่อยู่ไม่ห่างจากประตูเทียนอัน หลินห่าวซวนที่ปั่นจักรยานมาก็ได้จอดอยู่ตรงร้านบะหมี่เล็ก ๆ ที่ไม่สะดุดตาใคร ก่อนที่จะกวาดสายตามองไปทั่วทั้งร้านแล้วพบกับแผ่นป้ายไม้ที่เขียนว่า ‘เสี่ยวเมี่ยนฉงชิ่ง (1) ’ รอยยิ้มก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินห่าวซวนทันที
“เอาล่ะ เราถึงแล้ว ”
หลินห่าวซวนพูดออกมาพร้อมกับผลักจักรยานเข้าที่จอด ก่อนที่จะหันมามองซ่งหยูเยียนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง บนใบหน้าที่งดงามยังปรากฏความงุนงงอยู่เล็กน้อย
“เรามาที่นี่กันทำไมเหรอ ?ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่ามารับฉันกลับบ้าน… ”
“ก็ใช่ที่ผมบอกว่ามารับคุณกลับบ้าน แต่ว่านี่ก็เย็นมากแล้ว คุณเองก็ไม่ได้กินอะไรมาั้แ่เที่ยง ผมเลยมาคุณมากินบะหมี่รองท้องไปก่อน ”
ไม่ทันที่ซ่งหยูเยียนจะทันได้กล่าวจนจบประโยค หลินห่าวซวนก็พูดขัดออกมาเสียก่อน ทำให้ซ่งหยูเยียนที่กำลังจะกล่าวถามว่าอีกฝ่ายก็คิดได้ว่า ก่อนหน้านี้เฉินยวี่ที่เป็เพื่อนสนิทได้บอกเอาไว้หมดแล้ว ทำเอาเธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลินห่าวซวนด้วยความสงสัยอีกครั้ง
ไม่คิดเลยว่าคนเสเพลอย่างหมอนี่จะเป็คนละเอียดรอบคอบแบบนี้ คำพูดไม่กี่คำของยวี่เอ๋อร์ก็จำได้แถมยังพามาหาอะไรกินจริงด้วย ไม่รู้ว่านี่เป็นิสัยจริง ๆ หรือว่าเป็ไม้ตายที่เขาใช้เที่ยวผู้หญิงตอนกลางคืนกันนะ ?
“จริง ๆ แล้วคุณไม่ต้องพาฉันมากินข้าวทันทีเลยก็ได้ ปกติแล้วฉันก็อดอาหารแบบนี้บ่อย ๆ จนทุกวันนี้ร่างกายมันชินไปแล้ว อีกอย่างคุณปู่กับคุณย่าคงรอให้พวกเรากลับไปกินข้าวที่บ้านอยู่ อย่าปล่อยให้พวกท่านรอนานเลย ”
แม้จะสงสัยกับการกระทำของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แต่ซ่งหยูเยียนก็ไม่ได้กล่าวคำพูดที่ทำร้ายน้ำใจอีกฝ่าย อย่างไรเสียนี่ก็เป็น้ำใจที่ชายหนุ่มที่เป็สามีถูกต้องตามกฎหมายมอบให้ แม้เธอจะไม่ร้องขอหรือวางใจต่อชายคนนี้มากนัก แต่หากว่ามันไม่ใช่เื่ที่ร้ายแรงจนเกินไป เธอก็ยังปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีที่เป็มิตรต่อกัน
“เื่ปู่กับย่าจะรอพวกเรา คุณไม่ต้องเป็ห่วงไปหรอก ผมเพจไปบอกลุงหยางแล้วว่าวันนี้จะกลับช้าหน่อย ไม่ต้องให้พวกท่านรอกินข้าว ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งหยูเยียน หลินห่าวซวนก็กล่าวตอบกลับไปในทันทีและหันไปมองคู่สนทนาของตนที่แสดงสีหน้าที่อยากกล่าวแย้งออกมา หลินห่าวซวนก็กล่าวออกมาอีกรอบ
“ ก่อนที่ผมจะออกมาทำงานพวกท่านกำชับผมให้ดูแลคุณอย่างดี หากพวกท่านรู้ว่าคุณไม่ได้กินข้าวั้แ่เที่ยง พวกท่านก็คงเอ็ดตะโรใส่ผมอีกรอบแน่ อีกอย่างต่อให้คุณไม่หิว แต่ผมหิวแบบสุด ๆ ไปเลย คุณคิดว่าเข้าไปนั่งรอผมก่อนก็ได้ ”
ซ่งหยูเยียนที่ได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวนก็คิดคำพูดที่จะปฏิเสธไม่ออก จึงได้แต่จำใจพยักหน้าตอบรับคำของอีกฝ่ายพร้อมกับก้าวเข้าไปในร้านอย่างช่วยไม่ได้
“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบลูกค้าจะทานอะไรดีครับ ”
เมื่อทั้งสองได้ที่นั่งภายในร้าน บริกรที่คอยต้อนรับก็เขามาพวกเขาในทันทีพร้อมกับนำเสนอเมนูอาหารต่าง ๆ ที่อยู่ภายในร้านอย่างกระตือรือร้น ซึ่งท่าทีของบริกรหนุ่มคนนี้ดูเป็ธรรมชาติเป็อย่างมาก
“ผมขอเสี่ยวเมี่ยนฉงชิ่ 2 ที่ครับ เอาแบบเผ็ดกลาง 1 ถ้วย เผ็ดน้อย 1 ถ้วยครับ ”
หลินห่าวซวนกล่าวออกมาพร้อมส่งสมุดเมนูที่อยู่ในมือคืนให้กับบริกร ซึ่งฝ่ายหลังที่ได้รับออเดอร์แล้วก็ยิ้มออกมาพร้อมกับกล่าวทวนคำพูดของหลินห่าวซวนเพื่อเป็การยืนยัน จากนั้นก็เดินถอยออกจากโต๊ะ ทิ้งไว้เพียงซ่งหยูเยียนที่มองหน้าหลินห่าวซวนด้วยสายตาที่ค่อนข้างจะใ
“คุณหิวมาจากไหนกัน ?ถึงสั่งบะหมี่กินคนเดียวถึง 2 ถ้วย ”
เมื่อได้ยินคำถามของซ่งหยูเยียน หลินห่าวซวนก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวตอบกลับไปว่า
“คุณพูดถูกแค่ครึ่งหนึ่งนะ คือตอนนี้ผมหิวมาก เพราะที่ทำงานเร่งเอาต้นฉบับจากผมเพื่อนำไปวางขายในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ แต่บะหมี่ของผมมีแค่ถ้วยเดียว อีกถ้วยหนึ่งเป็ของคุณ ”
“คุณ.. ”
“เสี่ยวเมี่ยนฉงชิ่ง 2 ที่ได้แล้วครับ ”
คำกล่าวของซ่งหยูเยียนถูกขัดจังหวะจากบริกรที่ยกบะหมี่มาเสิร์ฟ ทำให้เธอต้องเก็บความท่าทีลงไปก่อน ซึ่งท่าทีเหล่านี้หลินห่าวซวนก็ย่อมเห็นเช่นกัน และเมื่อเห็นว่าบริกรได้เดินออกจากโต๊ะไป ซ่งหยูเยียนก็กล่าวถามออกมาทันที
“ไม่ใช่ว่าให้ฉันมานั่งเป็เพื่อนเฉย ๆ ไม่ใช่เหรอ? ฉันบอกคุณไปแล้วว่าฉันไม่หิว คุณไม่จำเป็ต้องสั่งมาเผื่อฉันก็ได้ ”
แน่นอนว่าคำพูดเมื่อครู่ของซ่งหยูเยียนเป็สิ่งที่หลินห่าวซวนคาดเอาไว้แล้ว เมื่ออีกฝ่ายพูดจบตัวเขาก็กล่าวตอบกลับมาทันที
“ผมรู้ว่าคุณชินกับการอดอาหารบ่อย ๆ แต่ว่าการอดแบบนี้มันไม่ใช่เื่ดีนะ ตอนนี้คุณอาจจะไม่เป็ไร แต่ในวันข้างหน้าล่ะ คุณอาจจะปวดท้องทั้ง ๆ ที่คุณกินอิ่มแล้วก็ได้ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวน ซ่งหยูเยียนที่เตรียมคำพูดจะเถียงอีกชุดก็ชะงักไปครู่นึง พร้อมกับใบหน้าที่มีความสงสัยปรากฏขึ้นมา เพราะสิ่งที่หลินห่าวซวนพูดออกมานั้นมันตรงกับอาการของเธอใน่นี้พอดี
คงเป็เพราะข่าวทางการแพทย์ที่รณรงค์ให้เด็ก ๆ ทานข้าวให้ครบ 3 มื้อ เพราะกลัวว่าจะเกิดโรคกระเพาะในเด็ก ตัวของหลินห่าวซวนทำงานในสำนักข่าว ก็คงรู้เื่อาการเบื้องต้นมาจากข่าวนี้แน่นอน
แน่นอนว่าหลินห่าวซวนไม่ทราบความคิดในหัวของซ่งหยูเยียนในขณะนี้ ซึ่งหากเขาทราบก็คงร้องไห้ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก เพราะสิ่งที่ซ่งหยูเยียนคิดกับตัวของเขาคิดนั้นมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าในนิยายจะไม่บอกว่าตัวของซ่งหยูเยียนที่เป็ตัวละครรองของเื่จะมีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ แต่ในชาติก่อนของหลินห่าวซวนนั้น ตัวเขาเป็คนป่วยที่ใช้ชีวิตในโรงพยาบาลมากกว่าที่บ้าน ดังนั้นอะไรที่เป็สาเหตุที่ทำเกิดโรคภัย ตัวของเขามักจะอ่อนไหวเป็พิเศษ
“ลองทานดูสักหน่อย นี่เป็ร้านบะหมี่เ้าดังในที่ทำงานของผมเลยนะ ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ของที่นี้เป็คนเสฉวนแล้วมาเปิดร้านที่เมืองนี้ รับรองว่ารสชาติย่อมเป็รสชาติต้นตำรับ ”
หลินห่าวซวนกล่าวออกมาพร้อมยื่นตะเกียบให้ซ่งหยูเยียนพร้อมกับรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้า จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า
“อีกอย่างผมก็บอกที่บ้านไปแล้วว่าวันนี้จะกินข้าวข้างนอก ที่บ้านก็คงทำอาหารเอาไว้ไม่มากหรอกถ้าคุณกลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้กินอะไร ปู่กับย่าคงโทษผมแน่นอน ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวน ซ่งหยูเยียนก็อดไม่ที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยกับท่าทีของคนตรงหน้า และเมื่อมองดูใบหน้าของชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มพร้อมกับแววตาที่แฝงความอ้อนวอนเอาไว้ ทำเอาเธอจำใจต้องยอมรับเอาไว้
อย่างน้อยเจตนาของอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยเจตนาที่ดี ไม่ได้ทำให้เธอต้องอึดอัดใจแต่อย่างไร ดังนั้นเธอยอมทำตามหน่อยก็คงไม่เป็ไร
“เอาล่ะ ๆ ฉันยอมแล้ว ไหน ๆ คุณก็สั่งมาแล้ว ฉันจะลองกินดูสักนิดก็แล้วกัน ”
ซ่งหยูเยียนกล่าวตอบกลับมาพร้อมกับรับตะเกียบที่ถูกยื่นให้ จากนั้นก็เริ่มคลุกเคล้าบะหมี่ที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะคีบมันเข้าปากในทันที ซึ่งหลังจากที่ชิมไปหนึ่งคำแล้ว ใบหน้าของซ่งหยูเยียนก็ปรากฏความพอใจขึ้นมาชั่วครู่และเริ่มทานมันอย่างเงียบ ๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นย่อมอยู่ในสายตาของหลินห่าวซวน และเมื่อตัวของเขาเห็นท่าทีที่เต็มไปด้วยความพอใจของซ่งหยูเยียน ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาเช่นกัน เพราะสิ่งที่เขาคิดไว้นั้นเป็ความจริง
ในนิยายเคยบรรยายไว้ว่าตัวของซ่งหยูเยียนนั้นมีอาหารที่ชอบอยู่หนึ่งอย่าง ซึ่งก็คือเ้าบะหมี่เสี่ยวเมี่ยนฉงชิ่ง และต้องเป็ร้านที่อยู่ในย่านโรงเรียนมัธยมประจำเมืองเป่ยเท่านั้น ส่วนสาเหตุนั้นตามที่นิยายบอกเอาไว้ นอกจากนิสัยส่วนตัวของซ่งหยูเยียนที่ชอบอาหารรสจัด มันคือสิ่งที่ทำให้ตัวของซ่งหยูเยียนและซุนเจียอี พระเอกของเื่ได้พบกันนั่นเอง
ด้วยข้อมูลที่มีและแผนการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับซ่งหยูเยียน แทนที่จะให้ตัวของซ่งหยูเยียนและซุนเจียอีมาพบกันตามเส้นเื่เดิม หลินห่าวซวนจึงหาข้ออ้างมาสารพัดเพื่อที่จะพาหญิงสาวมาที่ร้านแห่งนี้ให้ได้ และเมื่อเห็นสีหน้าของซ่งหยูเยียนที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ตัวของหลินห่าวซวนก็รู้ได้ว่าสิ่งที่คิดนั้นกำลังเป็ได้ด้วยดี
เพียงแต่ว่าความสุขของหลินห่าวซวนที่เริ่มเห็นว่าแผนการกำลังไปได้ด้วยดีก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยได้ดังขึ้นมาแทรกเสียก่อน
“โอ๊ะ !นี่ไม่ใช่นักเขียนหลินที่โด่งดังไม่ใช่เหรอ? ไหงถึงได้มีเวลามานั่งเอ้อระเหยอยู่ที่นี้ได้ แถมยังหลอกสาวสวยมานั่งด้วยอีกต่างหาก ”
.................................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
1.บะหมี่ที่ไม่ใส่เนื้อสัตว์มีรสชาติเผ็ดชา หัวใจของบะหมี่ชนิดนี้อยู่ที่เครื่องปรุงรส ดังนั้น บะหมี่จะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องปรุง ขั้นตอนการทำ เริ่มจากทำเครื่องปรุงรสแล้วจึงใส่บะหมี่ลวกสุกลงไป ด้วยรสชาติเผ็ดกลมกล่อมกำลังดี บวกกับเส้นบะหมี่ที่เหนียวนุ่ม ซุปที่มีกลิ่นหอม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้