เวลานี้อวิ๋นชิงว่านได้กลายเป็จุดสนใจของผู้ชมในจัตุรัสทั้งหมดแล้ว
ด้วยรูปลักษณ์และหน้าตาที่โดดเด่น ประกอบกับปราณกระดูกที่บ่งบอกว่านางคือยอดอัจฉริยะชั้นแนวหน้า รวมถึงภูมิหลังของตระกูลที่ไม่ธรรมดา ทั้งสามองค์ประกอบที่ยอดเยี่ยมนี้ได้รวมอยู่ในตัวของเด็กสาวเอาไว้ทั้งหมด
แน่นอนว่ามันย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้เป็อย่างดี!
ตอนนี้บรรดาเด็กหนุ่มทั้งหลายต่างจับจ้องไปทางอวิ๋นชิงว่านด้วยั์ตาลุกวาว ขณะที่เหล่าเด็กสาวต่างมองด้วยความอิจฉาริษยา
สายตาของซั่งกวานเชียนจื้อเต็มไปด้วยความชื่นชมโดยไม่คิดจะปิดบัง
“ในชีวิตนี้ข้าต้องได้ตัวว่านเอ๋อร์มาเป็ของข้า สตรีที่บอบบางเช่นนั้น เศษสวะอย่างมู่เฟิงจะคู่ควรได้อย่างไร!”
ซั่งกวานเชียนจื้อแอบหมายมาดในใจ
บนชานระเบียงชั้นหกของอาคารสูงแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับจัตุรัส มีเงาร่างของคนสองคนกำลังเหลือบมองเด็กสาวที่เพิ่งก้าวลงจากแท่นหินท่ามกลางฝูงชนมากมายที่อยู่ตรงใจกลางของจัตุรัส
“สตรีผู้นั้นคือบุตรสาวของอวิ๋นไห่?”
หนานหาว ผู้เป็เป่ยอ๋อง*ได้ชำเลืองมองไปยังอวิ๋นชิงว่าน ก่อนเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
(*ท่านอ๋องแห่งแดนเหนือ)
“ถูกต้องแล้วขอรับท่านอ๋อง อีกทั้งสตรีผู้นี้ยังเป็คู่หมั้นของมู่เฟิง แต่มีข่าวลือมาว่าอวิ๋นไห่ได้ยกเลิกการหมั้นหมายไปแล้วขอรับ”
ต้วนเชียนโหมวกล่าวรายงานจากด้านข้าง
"เหอะๆ ตระกูลอวิ๋นยังนับว่าฉลาด มองสถานการณ์ออกว่าควรเลิกยุ่งเกี่ยวกับตระกูลมู่โดยเร็ว อวิ๋นชิงว่านผู้นั้นก็นับว่าไม่เลว ทั้งรูปลักษณ์ พร์และภูมิหลังของนาง ทุกอย่างล้วนเหมาะสมกับหลิงเอ๋อร์ของข้า”
หนานหาวแย้มยิ้ม และชื่นชมอวิ๋นชิงว่านออกมาไม่น้อย
“เช่นนั้นท่านอ๋องคิดจะ...”
เมื่อได้ยินดังนั้น ต้วนเชียนโหมวก็ตระหนักได้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหนานหาวได้ในทันที
“อืม เ้าจงไปเตรียมสินเ้าสาวแล้วส่งไปยังจวนตระกูลอวิ๋นเพื่อสู่ขอนาง ถึงอย่างไรตระกูลอวิ๋นก็นับว่าไม่ธรรมดา อนาคตยังมีโอกาสหาผลประโยชน์จากพวกเขาได้อีกมาก"
หนานหาวโบกพัดไหมสีทอง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ ผู้น้อยทราบแล้ว”
หนานหาวมองไปทางจัตุรัสอีกครั้ง คราวนี้เขาเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นของตระกูลมู่ พร้อมกล่าวขึ้นว่า "เป็อย่างไรบ้าง? กำลังคนเตรียมพร้อมดีแล้วรึยัง?"
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ คราวนี้จะไม่มีข้อผิดพลาดแน่ขอรับ”
ต้วนเชียนโหมวกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ
"อืม เช่นนั้นก็ดี เมื่อกำจัดแล้วก็ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก อย่าให้มันได้มีโอกาสฟื้นคืนขึ้นมาอีก"
หนานหาวโบกพัดไหมสีทองในมือ พลางกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยเจตนาสังหาร
เพียงไม่นานก็ถึงคราวของคนตระกูลมู่ โดยมีมู่ชิงเป็คนแรกที่เข้ารับการทดสอบปราณกระดูก
มู่ชิงกรีดฝ่ามือของตัวเอง ก่อนจะกดฝ่ามือลงบนเสาหิน หลังจากเืถูกดูดซับเข้าไป เพียงไม่นานรอยขีดที่อยู่้าก็พลันเปล่งแสงออกมา
รอยขีดได้เปล่งแสงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงรอยขีดที่แปด
"มู่ชิงจากตระกูลมู่ ปราณกระดูกขั้นแปด คุณสมบัติผ่าน"
บัณฑิตหนุ่มขานร้องออกมาเสียงดัง
"เหอะๆ พี่ชิงนี่สมกับเป็อัจฉริยะอันดับสองของตระกูลมู่ ปราณกระดูกขั้นแปด มีพร์ทัดเทียมกับซั่งกวานเชียนจื้อเลยทีเดียว"
“อัจฉริยะอันดับสองอะไรกัน เวลานี้เขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลมู่แล้ว เ้าลืมไปแล้วหรือ เื่ของคนผู้นั้น?”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเป็คนตระกูลมู่เหล่มองไปทางมู่เฟิงในตอนท้าย จากนั้นเด็กหนุ่มอีกคนพลันตระหนักได้ในทัน จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ถูกต้อง อัจฉริยะอันดับหนึ่ง เขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลมู่"
เหล่าคนรุ่นเยาว์ของตระกูลมู่ต่างพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ มีหลายคนหวนนึกถึงเื่ของมู่เฟิงอีกครั้ง ซึ่งก็มีทั้งคนที่เห็นใจและคนที่พูดจาเหน็บแนม
มู่ชิงจ้องมองมู่เฟิงอย่างทะนงตน ก่อนจะแสยะยิ้มและเดินลงมาจากแท่นหิน
“คนต่อไป มู่ขวง!”
“ปราณกระดูกขั้นเจ็ด คุณสมบัติผ่าน”
คนถัดมาคือมู่ขวง หลังรับการทดสอบพบว่าเด็กหนุ่มมีปราณกระดูกขั้นเจ็ด นับว่ามีพร์สูงมากเช่นกัน
เหล่าคนรุ่นเยาว์ของตระกูลมู่ต่างผลัดกันเข้ารับการทดสอบ โดยส่วนใหญ่ล้วนมีคุณสมบัติผ่าน และเพียงไม่นานก็มาถึงผู้เข้ารับการทดสอบคนสุดท้ายของตระกูลมู่ มู่เฟิง!
เมื่อถึงคราวของมู่เฟิง ผู้คนมากมายต่างจ้องมองเขาด้วยสายตาซับซ้อน
“เฮ้ นั่นมู่เฟิง เ้าเห็นหรือไม่”
"กล่าวกันว่าเส้นลมปราณและวรยุทธ์ของเขาถูกทำลายจนกลายเป็คนไร้ประโยชน์ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็เื่จริงหรือไม่"
“เ้ารอดูเอาเถอะ ความจริงจะเป็อย่างไรวันนี้คงได้รู้กัน”
เวลานี้ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้วว่าเส้นลมปราณและวรยุทธ์ของมู่เฟิงถูกทำลาย จนเขากลายเป็เพียงแค่คนไร้ประโยชน์ แต่ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่านี่คือข้อเท็จจริงหรือเป็เพียงแค่ข่าวลือ ดังนั้นเหตุการณ์ตรงหน้าพวกเขาจะเป็ข้อพิสูจน์ได้ว่าข่าวลือในเื่นี้เป็จริงหรือไม่ คนส่วนใหญ่จึงมุ่งความสนใจไปยังมู่เฟิง
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคน มู่เฟิงสูดลมหายใจและพยายามสงบสติอารมณ์
เขาเดินไปยังเสาหิน ก่อนจะใช้กริชกรีดลงบนฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นหยดเืก็ไหลซึมเข้าสู่เสาหินในทันที
ทันใดนั้นเสาหินพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน จากแสงสว่างสีขาวก่อนหน้านี้ได้ถูกแทนที่ด้วยแสงสีแดงราวกับสีของโลหิต
หนึ่งขีด!
สองขีด!
สามขีด!
สี่ขีด!
......!
แปดขีด
เก้าขีด!
รอยขีดทั้งเก้าพลันเปล่งแสงออกมาอย่างรวดเร็ว!
แต่มันยังคงไม่หยุดเพียงเท่านั้น!
รอยขีดที่สิบ!
รอยขีดรอยที่สิบพลันส่องสว่างขึ้น ทว่าแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากเสาหินทั้งหมดล้วนเป็สีแดงดุจเื
"อะไรกัน นี่มันอะไร!"
"รอยขีดสิบรอย! นะ นี่คือ..."
ในชั่วพริบตานั้นผู้คนในลานจัตุรัสต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที เป็ที่ทราบกันดีว่าปกติแล้วปราณกระดูกนั้นมีแค่เพียงเก้าขั้น! ดังนั้นรอยขีดจึงควรจะเปล่งแสงออกมาเพียงเก้าขีดเท่านั้น
"สิบขีด! กระดูกิญญา! เป็กระดูกิญญา เป็พร์ที่หาได้ยากยิ่ง เกรงว่ากระทั่งหนึ่งในล้านยังหาไม่พบ"
ผู้าุโทั้งสามของสำนักศึกษาต่างผุดลุกขึ้นพร้อมกัน สองคนมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด แต่จ้าวเหิงกลับมีสีหน้ามืดครึ้ม
"รอยขีดทั้งสิบ นี่มันพร์อะไรกัน?"
“กระดูกิญญา เป็กระดูกิญญาในตำนาน มู่เฟิงคือสุดยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง”
พลันเกิดความโกลาหลขึ้นในกลุ่มคนที่อยู่กลางจัตุรัสทันที
มู่เฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้บิดาของเขาเคยให้เขาลองทดสอบด้วยตัวเอง ในตอนนั้นปราณกระดูกของเขาอยู่ในขั้นที่เก้าเท่านั้น แต่เหตุใดวันนี้ถึงได้เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง กลายเป็กระดูกิญญาไปได้เล่า?
หรือปราณกระดูกของเขาจะมีวิวัฒนาการ?
พร์ของกระดูกิญญานับว่าเป็ยอดอัจฉริยะในการบ่มเพาะ สามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ทั้งยังมีััที่ไวต่อพลังมากกว่าปราณกระดูกหลายเท่า
"โอ้โห กระดูกิญญา! สำนักศึกษาจะมียอดอัจฉริยะถึงเพียงนี้เชียวหรือ?"
บัณฑิตหนุ่มผู้ทำหน้าที่ลงทะเบียนมีสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง ก่อนจะรีบร้องขานขึ้นมา "มู่เฟิง กระดูกิญญา คุณสมบัติผะ..."
"ช้าก่อน!"
ขณะที่บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นกำลังจะประกาศ ทันใดนั้นได้มีเสียงเ็าเสียงหนึ่งดังขึ้น
แน่นอนว่าเ้าของเสียงนี้คือจ้าวเหิง
จ้าวเหิงเดินก้าวออกมาทันที เขาชำเลืองมองไปทางมู่เฟิงที่ยังคงอยู่บนเวที และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า "มู่เฟิง ข้าขอถามเ้า เส้นลมปราณและวรยุทธ์ของเ้าถูกทำลายไปแล้วใช่หรือไม่?"
สิ้นเสียงถามของจ้าวเหิง ทุกคนพลันเงียบเสียงลงและมองไปทางเด็กหนุ่มในทันที พวกเขา้าทราบว่าข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ในตอนนี้เป็เื่จริงหรือไม่
“ยังมีคำถามแบบนี้อยู่อีกหรือ?”
มู่เฟิงกัดริมฝีปาก ก่อนจะพยักหน้า
"ถูกต้องขอรับ เส้นลมปราณและวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ของข้าถูกทำลายไปแล้ว"
เมื่อสิ้นเสียงของมู่เฟิง ฝูงชนที่อยู่เบื้องล่างพลันกล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงเื่นี้กันอย่างดุเดือด
"ถูกทำลายจริงด้วย"
“ไอหยา ช่างน่าเสียดายนัก กระดูกิญญา พร์ที่ล้ำเลิศเช่นนี้กลับต้องมาสูญเปล่า”
หลายคนต่างทอดถอนใจ
พร์ของกระดูกิญญานั้นมีโอกาสมากที่จะสามารถพัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับหยวนตานได้
"เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว"
จ้าวเหิงพยักหน้า ก่อนจะหันไปสั่งบัณฑิตผู้ลงทะเบียนรายชื่อว่า "ลบชื่อของมู่เฟิงออก เขาไม่สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้!"
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนไปในทันที สิ่งที่เขาเป็กังวลมากที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เขายังไม่อาจยอมรับได้ เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า "ขอเรียนถามท่านผู้าุโว่าด้วยเหตุใด กฎระเบียบของสำนักศึกษาได้กำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนว่ามีข้อจำกัดเพียงเื่ของอายุและพร์เท่านั้น"
"ด้วยเหตุใดงั้นรึ?"
จ้าวเหิงยกยิ้มพลางกล่าวอย่างเ็า "เส้นลมปราณและวรยุทธ์ของเ้าถูกทำลายไปแล้ว เ้ายัง้าจะถามหาเหตุผลอีกหรือ ต่อให้เ้าจะมีพร์ที่ล้ำเลิศเพียงใด แต่หากไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้มันก็ไร้ค่า สำนักศึกษาราชวงศ์ไม่้าสิ้นเปลืองทรัพยากรไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์!"
ไร้ค่า! ไร้ประโยชน์!
สองคำนี้ทำร้ายจิตใจของมู่เฟิงอย่างรุนแรง เป็คำพูดที่ฟังแล้วเจ็บแสบไม่น้อย
มู่เฟิงกำหมัดแน่น ตัวของเขาสั่นเทา แน่นอนว่าเขา้าเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ ที่แห่งนี้ได้รวบรวมเหล่าอาจารย์ยอดฝีมือที่ดีที่สุดของอาณาจักรหนานหลิงเอาไว้ นอกจากนี้ทั้งวิธีการฝึกวรยุทธ์ วิธีการบ่มเพาะพลัง รูปแบบการฝึกฝนล้วนถูกออกแบบมาอย่างดี ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้เด็กหนุ่มมีความ้าที่จะเข้าศึกษาในที่แห่งนี้เป็ธรรมดา
แต่เขาสามารถตระหนักได้เป็อย่างดีว่าเื่เส้นลมปราณที่ถูกทำลายคือข้อบกพร่องใหญ่ที่สุดของเขา
อีกทั้งเขายังไม่สามารถเปิดเผยเื่เคล็ดวิชาชูร่าแห่งาออกไปได้ ไม่อย่างนั้นคงมีผู้คนหมายตาที่จะได้มัน และหากเป็เช่นนั้นชีวิตของเขาคงตกอยู่ในอันตรายเป็แน่
คนย่อมไร้ความผิด แต่ผิดที่ได้ของล้ำค่า แน่นอนว่าเด็กหนุ่มเข้าใจถึงหลักการนี้ได้เป็อย่างดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้