จางจ้าวฉือรู้ว่าเด็กอายุเท่านี้เวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าเื่อะไรก็จะพูดออกมาหมด โดยเฉพาะเื่ที่ผู้ใหญ่มองแล้วว่าเป็เื่ที่ค่อนข้างเป็ความลับ ไม่แน่ว่าจะสอบถามเื่ราวจากปากของเด็กได้ง่ายมาก เื่นี้ความจริงแล้วก็เป็พฤติกรรมที่ติดตัวเด็กมาอย่างหนึ่ง ที่คิดว่าปกติแล้วผู้ใหญ่ก็จะพูดคุยกันเช่นนี้ พอถึงคราวตัวเองก็ควรจะพูดเช่นนี้ได้เหมือนกัน
จางจ้าวฉือรู้สึกว่าแม่นางน้อยอย่างพวกสวี่จือ หลายปีนี้ก็ใช้ชีวิตกันอย่างสบายๆ พออายุใกล้สิบสี่สิบห้าปีก็ต้องหาคู่ อายุสิบหกสิบเจ็ดปีก็ต้องแต่งงานออกไป หลังจากแต่งงานออกไปแล้วก็ต้องดูแลปากท้องคนในครอบครัว จะต้องเป็ภรรยาเอก เื่ที่ต้องดูแลทุกคน อย่าได้มองว่าภรรยาที่คอยดูแลครอบครัวนั้นดูแล้วมีอำนาจมาก ภายในหนาวเหน็บหรืออบอุ่นแค่ไหนก็มีแค่เราที่รู้
จางจ้าวฉือรู้ว่าลูกสาวของครอบครัวสวี่ผู คุณหนูสวี่จิ่นเป็คุณหนูลำดับที่สามในจวน เป็ลูกคนโตของครอบครัวของพวกเขา อีกทั้งน้องชายก็ยังอายุน้อยมาก ั้แ่เด็กก็เป็เด็กที่รู้ความ สวี่ผูนั้นเป็ขุนนางขั้นจวี่เหริน สอบเตี่ยนซื่อกับสวี่เหราไปสองครั้งแต่สอบไม่ติด จึงพึ่งเงินในจวนแล้วบริจาคเงินไปจนได้เป็ขุนนางขั้นแปด ตอนนี้อยู่ในสังกัดของเสนาบดีกรมพระคลัง
ถึงแม้ครอบครัวฝ่ายมารของเฉินซื่อจะตกต่ำไปแล้ว แต่ว่าหลายปีก่อนนางเองก็ได้เรียนกลอนเรียนหนังสือกับท่านปู่ของตนเองมาก่อน จึงเป็สตรีที่ฉลาดกว่าคนอื่น หลังจากแต่งงานมีลูกไปแล้ว เพราะว่าไม่ได้ดูแลบ้านเรือนจึงมีเวลาค่อนข้างมาก บวกกับอยากจะพูดภาษาเดียวกันกับสามีของตนเอง มีหลายอย่างที่วางไม่ลง จึงสอนความรู้ให้พวกลูกๆ ในครอบครัวได้เร็ว สวี่จิ่นอ่านหนังสือตามนางหลายเล่ม ทั้งยังเรียนกับอาจารย์ที่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้างมาไม่น้อย ตอนนี้ในเมืองหลวงนางก็สามารถติดอันดับสตรีที่ฉลาดแล้ว
จางจ้าวฉือคิดไปถึงครอบครัวฝ่ายมารดาของเฉินซื่อ ก็รู้สึกว่าสวี่ผูไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งงานไปก็มีเหตุผล
เดิมทีครอบครัวสกุลเฉินเพราะว่ามีนายท่านเฉินรับราชการอยู่ เกียรติยศยังถือว่ายังพอรับได้ เพียงแต่น่าเสียดายหลังจากสิ้นนายท่านเฉิน ในครอบครัวก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถรับ่ต่อจากนายท่านเฉินได้นอกจากพ่อเฉิน ทว่าไม่นานหลังจากนั้นก็เริ่มเบื่อหน่ายและออกลาออกจากราชการตามผู้เป็บิดาไป สกุลเฉินจึงค่อยๆ ถดถอยออกจากวงชนชั้นสูงในเมืองหลวง คนสกุลเฉินหรือ ถึงแม้ตอนนี้จะยังคงอาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่นั้น แต่ก็เป็เพียงสกุลรองเท่านั้น น่าเสียดายที่คนสกุลเฉินสายรองไม่ค่อยจะได้เื่ได้ราว อีกทั้งเรียนหนังสือก็ไม่ค่อยจะดี แต่ก็ยังคงทำตัวสูงส่ง คิดว่าครอบครัวตนเองเป็คนเรียนหนังสือ เช่นนั้นก็ควรจะสูงส่งอยู่เหนือคน ไม่ควรจะมาเกลือกกลั้วกับการค้าขาย แต่ว่าในเรือนยังต้องกินต้องใช้ ได้ยินมาว่า่นี้สกุลเฉินได้ขายร้านค้าไปหลายร้านแล้ว หลังจากได้เงินก้อนใหญ่มาก้อนหนึ่ง สกุลหลักก็พากันย้ายออกจากเมืองหลวงไปที่บ้านเกิด
สวี่ผูเป็คนที่ให้ความสำคัญกับความเป็จริง บวกกับอยู่ในกรมการคลัง ปกติก็มักจะใกล้ชิดกับความเป็จริงตามสถานการณ์ จึงไม่ยอมรับการกระทำของสกุลเฉิน ไม่อยากจะให้ลูกของตนเองแต่งไปที่สกุลเฉิน แต่ว่าพูดกับภรรยาของตนเองก็พูดกันไม่เข้าใจ ตัวสวี่จิ่นเองก็มิได้มีปัญหากับครอบครัวว่าที่สามีที่ท่านแม่หามาให้
เื่พวกนี้จางจ้าวฉือนั้นไม่ได้รู้แน่ชัด แต่ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ เพราะว่าสวี่ผูคนนี้ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้วก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือน
ผู้น้อยในเรือนไม่ต้องกำหนดเวลามาทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ผู้ใดมีเวลาว่างก็มาหา นี่คือสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งลงมา เห็นคุณชายรองเดินหน้าคว่ำเข้ามา ในใจแม่นมเสิ่นก็ใ รีบไปช่วยสวี่ผูเปิดผ้าม่าน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ก็เดินไปมาอยู่ในเรือนสองรอบ กำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้หลัวฮั่น พอเห็นว่าสวี่ผูมาหา นางก็รีบร้องเรียกให้นั่งลงพร้อมเอ่ยถาม “เ้าทานข้าวมาหรือยัง?”
หลังจากที่สวี่ผูทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จก็เอ่ย “ท่านย่า ข้าทานข้าวมาแล้วขอรับ ท่านสบายดีหรือไม่่นี้?”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วตอบ “ข้าดีมากเลยล่ะ พวกเ้าไม่ต้องเป็ห่วง ตั้งใจทำงานของพวกเ้าก็พอ ข้าเห็นสีหน้าของเ้าไม่ค่อยดี มีเื่อันใดหรือไม่?”
สวี่ผูตอบ “ท่านย่าขอรับ เฉินซื่ออยากจะให้จิ่นเอ๋อร์แต่งงานไปที่สกุลเฉินของนาง ข้าไม่เห็นด้วย จิ่นเอ๋อร์ก็ตามใจมารดาขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็เงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถาม “เหตุใดเ้าไม่เห็นด้วยล่ะ?”
สวี่ผูตอบ “สกุลเฉินเป็ที่ที่ดี ข้าไม่ปฏิเสธ เด็กสกุลเฉินคนนั้นก็ดีมาก แต่ว่าการใช้ชีวิตของคนสกุลเฉินนั้นไม่ดี ท่านย่าขอรับ เฉินซื่อเป็คนเช่นไรท่านเองก็รู้ กิจการการงานใดๆ ก็ล้วนทำไม่ได้เลยสักนิด ตอนนี้ยังดีที่อยู่ในจวนโหวของพวกเรา รอแยกจวนออกไป มีคนอย่างนางอยู่ ครอบครัวของพวกเราทุกคนก็คงจะอดอยากไม่มีอะไรกินแน่นอนขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะแล้วเอ่ย “เ้าดูเ้าสิ เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? ตอนที่เฉินซื่อแต่งงานกับเ้า คลอดลูกเลี้ยงลูกให้เ้า ไม่มีความดีความชอบไม่มีผลงานเลยหรือ? นางทำไม่ดี เ้าก็ต้องค่อยๆ พูดกับนาง ต่อไปพวกเ้ายังต้องมองดูพวกลูกๆ มีครอบครัว ยังต้องใช้ชีวิตที่เหลือไปด้วยกันอีกนานนะ”
สวี่ผูส่ายหน้าแล้วเอ่ย “ท่านย่าขอรับ ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกนางจริงๆ นะขอรับ เป็นางที่ใช้ไม่ได้จริงๆ ขอรับ เงินที่ข้าหามาในหลายปีนี้ ข้าพูดกับนางว่าให้ซื้อร้านเล็กๆ ค่อยๆ บริหาร ก็ถือว่าสร้างกิจการให้กับครอบครัว แต่นางกลับเป็คนดี บอกว่าบิดามารดายังอยู่ ลูกๆ ไม่สามารถมีทรัพย์สินเป็ของตนเองได้ ข้าก็ไม่คิดเลยว่านางจะเป็เช่นนี้ ต่อไปพวกเราก็ต้องแยกครอบครัวออกไป นางไม่ได้คิดให้ดีๆ เลยว่าต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร วันๆ ยังสามารถคิดแต่จะแต่งกลอนวาดภาพออกมาอย่างเดียวได้หรือขอรับ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย “ข้ารู้ว่าเ้าหวังดี แต่ว่าก็อย่าใจร้อนเกินไป”
สวี่ผูส่ายหน้า “ท่านย่า ข้าอายุสามสิบกว่าแล้ว ลูกสาวคนโตของข้าก็ต้องหาครอบครัวสามีแล้ว ลูกชายเองก็ต้องหาสะใภ้ นี่เป็เื่ที่จะต้องจัดการให้เสร็จภายในสามปี มีท่านอยู่ พวกเราอาศัยอยู่ในจวนโหวก็ยังสามารถมีชื่อเสียงพูดคุยงานใดได้ราบรื่น แล้วต่อไปล่ะขอรับ? ท่านย่า ท่านสามารถช่วยหาครอบครัวดีๆ ให้กับจิ่นเอ๋อร์ได้หรือไม่ขอรับ? ข้าเองก็ไม่ได้ขอให้จิ่นเอ๋อร์แต่งงานกับคนที่มีชาติตระกูลสูงกว่า ขอเพียงหาคนที่ขยันทำงาน ต่อไปสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นก็พอ อย่าเป็เหมือนสกุลเฉิน ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องมีหน้ามีตา เบื้องหน้าดี ภายในจอมปลอม”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “ผูเอ๋อร์ ย่ารู้ว่าเ้า้าอะไร แต่ว่าการแต่งงานนั้นคุยกันที่ทั้งสองฝ่ายยินดี จิ่นเอ๋อร์ตอนนี้ใจของนางก็คงอยู่ที่คนที่มารดาหามาให้มากกว่า เห็นว่าเมื่อก่อนตอนที่ครอบครัวบิดาของเฉินซื่อยังอยู่ที่นี่ เด็กทั้งสองคนก็เคยเจอกันบ่อยๆ นี่นา ข้าเกรงว่าหากช่วยนางหาครอบครัวสามีเป็คนอื่นอีก คงไม่ได้แต่งงานเป็มิตร แต่จะเป็ศัตรูกันไปแทนนะ”
สวี่ผูฟังแล้วก็ถอนหายใจยาว “ท่านย่าขอรับ ท่านว่า ตอนนั้นเหตุใดท่านปู่ถึงได้กำหนดคู่แต่งงานให้ข้าเช่นนี้ หากหาสตรีจากครอบครัวพ่อค้าให้ข้า อย่างน้อยก็สามารถเข้าใจเศรษฐกิจ มีหรือจะเหมือนกับเฉินซื่อในตอนนี้ ที่จะเป็แม่สามีอยู่แล้ววันๆ ยังอ่อนไหวง่าย ใช้ชีวิตดีๆ ไปอย่างมั่นคงไม่ได้หรือไร?”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า “ผูเอ๋อร์ ตอนนี้สิ่งที่เ้าต้องทำไม่ใช่ทะเลาะกับเฉินซื่อ แต่เป็จะต้องปลอบใจนางดีๆ ให้นางเข้าใจในตอนนี้ว่าสกุลเฉินไม่ใช่ที่ที่มั่นคงสำหรับจิ่นเอ๋อร์ จากนั้นให้จิ่นเอ๋อร์ออกไปดูภายนอกให้มากๆ ดูโลกภายนอกกับทิวทัศน์ที่ไม่เหมือนในเรือน เด็กผู้หญิงน่ะมีความรู้น้อยเกินไป ให้นางเปิดโลกเสียหน่อย ความคิดก็จะไม่เหมือนในตอนนี้แล้ว”
สวี่ผูพยักหน้า “ท่านย่าขอรับ รอเื่การแต่งงานของเกาเอ๋อร์ผ่านไปก่อน ข้าอยากจะให้เฉินซื่อพาลูกออกไปพักอยู่ที่นอกเมืองสักหลายวัน หลายปีก่อนข้าได้ซื้อเรือนเล็กๆ เอาไว้ด้านนอก ปลูกพืชเอาไว้หลายไร่ ก็ให้เฉินซื่อพาลูกอยู่ที่นั่นนานๆ มีคนของข้าคอยเฝ้าอยู่ที่นั่น ยังไม่ใกล้ชิดกับคนสกุลเฉินก่อน ให้เฉินซื่อได้คิดดีๆ หากนางยังคิดที่จะให้จิ่นเอ๋อร์แต่งงานไปที่สกุลเฉิน เช่นนั้นต่อไปจิ่นเอ๋อร์ก็คงจะได้รับความไม่เป็ธรรม ให้นางไปแก้ปัญหาด้วยตนเองก็พอ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย “เหตุใดเ้าถึงทำเช่นนี้? ให้คนอื่นเห็นแล้วคิดว่าเฉินซื่อทำเื่อะไรผิดถึงถูกเ้าส่งออกไปที่สวนน่ะหรือ เ้านี่นะ ฟังย่าพูดนะ หากจะไปเ้าก็ต้องไปด้วยถึงจะถูก ข้าเสนอแนะความคิดนี้ให้เ้า เ้าดูสิว่าจะทำอย่างไร กรมการคลังของพวกเ้าจะต้องส่งคนออกไปตรวจบัญชีด้านนอกทุกปี ปีนี้สามารถส่งเ้าออกไปได้หรือไม่ หากส่งเ้าออกไป เ้าก็พาเฉินซื่อ แล้วก็พวกลูกๆ ไปด้วยกัน ดูโลกภายนอก พูดกับพวกลูกๆ ให้มาก การเติบโตของลูกไม่ได้มีแค่แม่ก็พอ จิ่นเอ๋อร์เป็เด็กดี พูดกับนางดีๆ นางก็สามารถเข้าใจได้”
สวี่ผูฟังแล้วดวงตาก็วาวขึ้น รีบลุกขึ้นมาโค้งตัวให้กับฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า เป็ท่านที่คิดรอบคอบเสมอ หลายวันก่อนพวกเรายังปรึกษากันอยู่ว่าปีนี้ผู้ใดจะออกไป ท่านคงไม่รู้ การออกไปด้านนอกนั้นมักจะพักกลางดินกินกลางทราย อีกทั้งเงินชดเชยก็ไม่เยอะ คนที่ยอมไปมีไม่มากนักขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแล้วเอ่ย “หากเ้าจะไป ย่าออกค่าเดินทางให้เ้าดีหรือไม่?”
สวี่ผูรีบโบกมือ “ท่านย่า ท่านกำลังล้อข้าเล่นหรือขอรับ ข้าอายุสามสิบกว่าแล้ว ออกจากเรือนทั้งทียังต้องให้ท่านย่าออกค่าเดินทางให้อีกหรือ ออกไปเช่นนี้ก็ดีนะขอรับ พวกลูกๆ ั้แ่เด็กก็ไม่เคยลำบากมาก่อน ออกไปเจอโลกกว้างบ้างก็ดี”
สวี่ผูกล่าวลาฮูหยินผู้เฒ่า ทั้งตัวเบาสบายกลับไปที่เรือนของตนเอง เห็นห้องของเฉินซื่อยังสว่างอยู่ เมื่อครู่หลังจากที่สวี่ผูทะเลาะกับเฉินซื่อถึงได้ไปหาฮูหยินผู้เฒ่า เขาคิดถึงคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าจึงเข้าไปในห้องของเฉินซื่อ
ั้แ่สวี่ผูออกไปเฉินซื่อก็นั่งโกรธอยู่ที่โต๊ะมาตลอด ในห้องของเฉินซื่อวางโต๊ะหนังสือใหญ่อยู่หนึ่งตัว ้าวางกลอน ภาพวาดของเฉินซื่อเอาไว้ สวี่ผูเห็นของพวกนี้ก็เดินเข้าไปยิ้มแล้วเอ่ย “ฮูหยิน นี่เป็ความผิดของข้าเอง ข้าออกไปเดินด้านนอกมาแล้ว คิดว่าไม่ควรจะทะเลาะกับเ้า ก็เลยกลับมาขอโทษเ้าอย่างจริงใจ ฮูหยิน ให้อภัยข้าเถิด” พูดจบร่างสูงก็โค้ง
หาได้ยากมากที่สวี่ผูมาพูดล้อเฉินซื่อเล่นเช่นนี้ ใบหน้าตึงๆ ของเฉินซื่อก็หัวเราะออกมา “คุณชายสองทำอะไรน่ะเ้าคะ? ความจริงแล้วข้าเองก็ผิด”
สวี่ผูโบกมือ “ฮูหยิน พวกเราแต่งงานกันมาสิบกว่าปีแล้ว ข้ายังไม่เคยพาเ้าออกจากเรือนไปไกลๆ เลย ครั้งนี้จะส่งคนออกไปตรวจงานด้านนอกพอดี ข้าคิดว่าจะพาพวกเ้าแม่ลูกออกไปด้วยกัน”
เฉินซื่อฟังแล้วก็ลังเลอยู่เล็กน้อย สามารถได้ออกไปดูโลกภายนอก เดินซื้อของ ไปเที่ยว นางนั้นยินดีมาก แต่ว่าก็รู้สึกว่าตัวเองที่เป็สตรีแต่งงานแล้ว ตามบุรุษออกจากเรือนไปสถานที่มากมาย รู้สึกว่าไม่สะดวก
เห็นเฉินซื่อลังเล สวี่ผูในใจก็มีความรำคาญพุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจอยากจะโวยวายออกมาหลายประโยคเพื่อระบายความโกรธในใจ แต่ก็คิดถึงคำพูดที่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อครู่ ก็พูดออกมาอย่างอดทน “พวกเราแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว ข้าไม่ได้อยู่กับเ้าดีๆ เลย พอดีครั้งนี้มีโอกาสก็เลยคว้าไว้ ใครๆ ต่างพูดกันว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่มไม่สู้เดินทางพันลี้ พวกเราพาลูกออกไปเดินเล่นด้านนอก ดูความงดงามไร้ขีดจำกัดของแคว้นต้าเหลียง ไม่พูดถึงจงเอ๋อร์ ก็พูดถึงจิ่นเอ๋อร์ นางจะหาครอบครัวสามีแล้ว หากหาครอบครัวสามีแล้ว หมั้นแล้ว ต่อไปก็ไม่สามารถออกไปด้านนอกได้ตามใจ การที่เด็กจะออกไปนอกจวนว่าไม่ง่ายแล้ว หลังจากแต่งงานก็ออกไปแล้วอยากจะออกไปด้านนอกก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก”
ได้ยินถึงตรงนี้ เฉินซื่อก็รีบเอ่ย “สามี ข้าฟังคำเ้า”
ตอนที่สองสามีภรรยากำลังพูดคุยกัน แม่นมเสิ่นก็มาหา
สวี่ผูกับเฉินซื่อรีบออกมาต้อนรับ หลังจากเข้าเรือนมาแล้ว แม่นมเสิ่นก็ทำสีหน้าส่งสัญญาณให้สวี่ผู ซึ่งเขาได้ให้สาวใช้ที่ยกชาเข้ามาออกไป เฉินซื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ก็อดที่จะชะงักไม่ได้
แม่นมเสิ่นยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “เมื่อครู่คุณชายสองไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่าจะพาฮูหยินกับพวกลูกๆ ออกไปเจอโลกภายนอก ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจมากบอกว่าโอกาสหาได้ยาก นางเองก็อายุมากแล้ว ไม่สามารถออกไปด้านนอกได้ตามใจชอบแล้ว ไม่เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเองก็อยากจะตามคุณชายออกไปเดินเล่นด้วยกันเ้าค่ะ”
แม่นมเสิ่นล้วงถุงใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อพลางเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า ให้อาศัยใน่อายุน้อยออกไปเจอโลกมากๆ เงินนี่น่ะ ถือเป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของนาง ออกจากเรือนจะต้องพกเงินไปเยอะๆ พวกท่านพาเด็กๆ ออกไปด้านนอกกัน จะกินจะใช้จะต้องเลือกดีๆ เอาไว้ถึงจะถูก”
สวี่ผูรู้สึกว่าหากตนเองปฏิเสธก็คงจะอวดดีไปหน่อย จึงรับมันมาด้วยความยินดี “แม่นม รอพรุ่งนี้ข้ากลับมาแล้วจะไปคำนับขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ”
เฉินซื่อเห็นถุงเงินของฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้ว่าข้างในนี้จะต้องเป็ตั๋วเงิน ถึงแม้นางจะคิดว่าการมีความรู้นั้นสูงส่ง ไม่เห็นพวกเงินๆ ทองๆ พวกนี้อยู่ในสายตา แต่ว่าออกไปด้านนอก ไม่มีของพวกนี้ไม่ได้ บวกกับครอบครัวตนเองก็ไม่ได้มีเงินเก็บ รู้สึกว่าน้ำใจของฮูหยินผู้เฒ่าที่ส่งมานั้นถูกเวลาจริงๆ
ส่งแม่นมเสิ่นกลับไป สวี่ผูรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นเป็ผู้าุโที่ฉลาดใจดี ด้านในถุงเงินนี้ตังมีตั๋วเงินอยู่แปดใบ ใบละหนึ่งร้อยตำลึง เขาให้เฉินซื่อเก็บเอาไว้ เห็นว่าเวลายังไม่ดึกมากนัก จึงเอาเื่นี้ไปพูดกับบิดาของตนเอง
สวี่ฉีเป็คนร่ำรวยที่ว่างงาน ตอนเด็กๆ เพราะว่าตนเองไม่ใช้ผู้สืบทอดจวน การเรียนกับศิลปะการต่อสู้จึงไม่ได้เลยสักอย่าง จึงกลายเป็คนที่วันๆ ไม่มีเื่อะไรให้ทำ ต่อมาตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าแยกครอบครัว นางก็ได้แบ่งออกมาสองร้านค้าจากในสินเดิมของตนเอง มอบให้สวี่ฉีต่อหน้าโหวเย่ ให้สวี่ฉีดูแลดีๆ เงินที่หามาได้ก็ถือว่าเป็เงินของครอบครัวตัวเอง ส่วนสวี่ฉีก็ใช้สองร้านนั้นเปิดเป็ร้านอาหาร อีกร้านเป็ร้านเครื่องหนัง หลายปีมานี้หาเงินมาได้ไม่น้อยเลย
พึ่งพิงบารมีของจวนโหว ร้านที่เปิดก็ถือว่าราบรื่น สวี่ฉีรู้สึกว่าคนรุ่นหลังของตนเองไม่สามารถเหมือนกับเขาได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ลูกชายทั้งสองคนต่างไม่ใช่สายเรียนหนังสือ ทำได้แค่ใช้เส้นสาย คนหนึ่งเข้าไปอยู่ในกรมการคลัง อีกคนเข้าไปเป็ทหารที่ดูแลควบคุมห้าเมือง
ได้ยินสวี่ผูบอกเล่าเื่ราวทั้งหมด สวี่ฉีก็เอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่านางก็เป็แบบนี้ ให้ของเ้ามาเ้าก็รับไว้ แล้วหาเวลาไปขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า ระหว่างทางเห็นของสวยๆ งามๆ ก็ซื้อกลับมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าก็พอ”
สวี่ผูได้ยินแล้วถึงได้วางใจลงได้
แต่ว่าสวี่ผูจะพาครอบครัวออกไป ในจวนจึงเกิดกระแสขึ้นมาไม่น้อย โดยเฉพาะเหล่าเด็กหญิงในเรือนหลัง สถานที่ทำกิจกรรมในเวลาปกติของทุกคนก็คือสถานที่ตรงนี้ในเรือนหลัง พอได้ยินว่าน้าและพี่น้องของตนเองจะออกไปเดินทางท่องเที่ยวก็ต่างพากันอิจฉา
สวี่จือกลับมาจากที่เรียน ก็บอกเื่นี้ขึ้นมาในตอนทานข้าว “ท่านป้าสองแล้วก็ท่านพี่จิ่นพวกนางถูกลุงสองพาไปที่เจียงหนาน ท่านแม่ เมื่อไหร่พวกเราจะสามารถไปดูที่เจียงหนานกันเ้าคะ”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เื่นี้พูดยากจริงๆ” จางจ้าวฉือรังเกียจการเดินทางไม่สะดวกในยุคนี้จึงไม่ค่อยชอบพาลูกๆ ออกจากเรือนมากนัก เพราะนั่งรถม้าก็สั่นไปมา นั่งเรือก็เขย่าไปมา อีกทั้งยังช้า แต่ว่าไม่นั่งพวกนี้ก็ไม่ได้
สวี่จือพูดออกไปยังอนาคตว่า “ที่เจียงหนานฝนตกเป็ละออง ไปที่ไหนก็เหมือนกับภาพวาด จะต้องสวยมากๆ แน่นอนเลยเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือมองลูกสาวของตนเอง ซึ่งหาได้ยากที่จะพูดทอดถอนใจออกมาเช่นนี้ จึงเอ่ย “ข้าเพียงแค่ได้ยินมาว่าฤดูฝนเสื้อผ้าจะไม่มีเวลาไหนที่แห้ง วันๆ สวมชุดก็จะชื้นๆ ข้าคิดว่าข้าจะเป็บ้าได้เลย”
สวี่จือขมวดคิ้วใส่จางจ้าวฉือ พลางพูดอย่างออดอ้อน “ท่านแม่เ้าคะ ข้าเพียงแค่พูดถึงความงดงามของเจียงหนาน เหตุใดท่านถึงได้สาดน้ำเย็นใส่ข้าเช่นนี้เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือหัวเราะ “ข้าเพียงแค่บรรยายเื่จริงเท่านั้น แต่ว่าลูกวางใจเถิด ก่อนที่ลูกจะแต่งงาน แม่จะพาลูกเดินทางไปรอบๆ ก่อนหนึ่งรอบ”
สวี่จือฟังแล้วดวงตาก็วาวขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นพวกเราจะไปได้เมื่อไหร่หรือเ้าคะ?”
จางจ้าวฉือมองใบหน้าดีใจของสวี่ไป่แล้วก็ตอบ “อย่างน้อยก็รอให้ไป่เกออายุสามขวบก่อนถึงจะได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้