ขณะที่ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงสู่ทิศตะวันตก แสงสีส้มอ่อน ๆ สาดกระทบอาณาเขตของโรงเลี้ยงม้าเมฆา ต้วนผิงอันเพิ่งทำความสะอาดถังอาหารม้าเสร็จ หนิวมู่อี้กำลังหวีขนม้าเมฆาตัวโปรดด้วยความรักใคร่ ส่วนอวิ่นหนิงเจี่ยผู้เหนื่อยล้าก็กำลังพิงกำแพงพักหายใจพลางซับเหงื่อ
ทันใดนั้นเอง! เสียงฝีเท้าของม้าจำนวนมากที่ควบตะบึงมาด้วยความเร็วสูงก็ดังสนั่นมาจากทางด้านนอกปศุสัตว์ เสียงนั้นดุดันและเร่งรีบอย่างไม่เกรงใจ สร้างความตื่นตระหนกให้กับฝูงม้าเมฆาที่เริ่มส่งเสียงร้องฮึดฮัด
ที่ทางเข้าหลักของเขตปศุสัตว์อันกว้างใหญ่ ฝุ่นควันสีเหลืองอมแดงม้วนตัวเป็เกลียวสูงเสียดฟ้า บ่งบอกถึงการมาเยือนของ ขบวนรถม้าขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่า สามสิบคัน ควบตะบึงอย่างบ้าคลั่งเข้ามาทางประตูหลัก
ทหารที่ประจำอยู่บนหอสังเกตการณ์ รีบหยิบกล้องส่องทางไกลที่ทำจากผลึกใสขึ้นมาตรวจสอบทันที ไม่นานนักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยน
"รายงาน! ท่านหัวหน้า! เป็ขบวนของผู้นำตระกูลขอรับ!" ทหารศิษย์ะโรายงานด้วยเสียงสั่นเครือ
หัวหน้าเวรยาม ที่มีรูปร่างกำยำและระดับพลังฝึกปรือระดับ จินหรง (หลอมทอง) ขั้น 7 รีบกุลีกุจอเข้ามายังจุดรับสัญญาณ เขามองตามทิศทางที่ขบวนรถม้ากำลังพุ่งเข้ามา เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ เมฆมงคลสีขาว บนธงที่โบกสะบัดอยู่หน้าขบวน ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความยำเกรง
" เตรียมการต้อนรับเดี๋ยวนี้! เปิดประตูหลัก! อย่าให้แม้แต่รอยขีดข่วนเกิดขึ้นกับขบวนรถม้าของท่านเป็อันขาด!"
ประตูเหล็กกล้าขนาดมหึมาของเขตปศุสัตว์ที่ถูกควบคุมด้วยกลไกปราณพิเศษ ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังสนั่นต้อนรับขบวนรถม้าที่พุ่งทะยานเข้ามาอย่างไม่รอช้า พร้อมกับกระแสลมและฝุ่นควันขนาดใหญ่ที่หอบเข้ามาสู่พื้นที่ของปศุสัตว์
สามสหายแห่งโรงม้าเมฆาต่างชะงักฝีเท้า ต้วนผิงอันหันมองด้วยใบหน้าถมึงทึง หนิวมู่อี้เบิกตากว้างด้วยความใ ส่วนอวิ่นหนิงเจี่ยถึงกับปล่อยถังน้ำลงพื้นอย่างลืมตัว
"ขบวนของท่านผู้นำตระกูล!" หนิวมู่อี้พึมพำเสียงสั่น
ขบวนรถม้าอันยิ่งใหญ่ที่สุดสิบคันพุ่งตรงเข้ามายังใจกลางปศุสัตว์ ทิ้งรถม้าคุ้มกันส่วนใหญ่ไว้บริเวณโรงเลี้ยงม้าเมฆา...
ขบวนรถม้าอันยิ่งใหญ่ที่มีจำนวนไม่ต่ำกว่า สามสิบคัน ควบตะบึงฝุ่นตลบเข้ามาในอาณาเขตปศุสัตว์ ไม่ใช่ของใครอื่น แต่เป็ขบวนของ ฉุนอวิ๋นเหยียนเช่อ ผู้นำสูงสุดแห่งตระกูลฉุนอวิ๋นเอง
เสียงสั่งการที่ดุดันของหัวหน้าเวรยามทำให้ประตูเหล็กกล้าเปิดออกอย่างรวดเร็ว ขบวนรถม้าหลักสิบคันพุ่งตรงเข้ามาจอดเทียบ ณ บริเวณด้านหลังโรงเลี้ยงม้าเมฆา ที่ซึ่งเป็เส้นทางลัดสู่คฤหาสน์หลักของปศุสัตว์
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของคนงานและสามสหาย ต้วนผิงอันถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยำเกรง หนิวมู่อี้รีบดึงตัว อวิ่นหนิงเจี่ยที่ยืนอึ้งให้หลบไปอยู่ข้างโรงม้าอย่างรวดเร็ว
ประตูรถม้าคันหน้าสุดถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ร่างสูงสง่าของ ฉุนอวิ๋นเหยียนเช่อ ก็ก้าวลงมา เขาอยู่ในวัยกลางคนที่ดูเคร่งขรึมและทรงพลัง แม้จะสวมชุดผ้าไหมชั้นดีที่ดูเรียบง่าย แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับแฝงด้วยความหนักแน่นและเกียรติยศ ใบหน้าของเขาคมคาย แต่ดวงตาคู่เรียวกลับฉายแววเฉียบคมดุจเหยี่ยวที่เฝ้ามองเหยื่อ แสดงให้เห็นถึงความฉลาดเฉลียวและความเด็ดขาดในการนำพาตระกูลสู่ความมั่งคั่ง
รัศมีพลังของฉุนอวิ๋นเหยียนเช่อนั้นแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างน่ากลัว การฝึกปรือของเขาอยู่ในระดับ ซีซิง (เจ็ดดารา) ขั้น 7 ร่างกายของเขาแผ่ ขอบเขตปราณ บางเบาออกมารอบตัว ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาล และรู้สึกว่าอากาศโดยรอบดูราวกับถูกบีบอัดด้วยพลังงานน่ากลัว
ตามหลังฉุนอวิ๋นเหยียนเช่อ คือภรรยาทั้งสามของเขา ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็ตัวแทนของผู้ทรงอำนาจจากตระกูลชั้นนำที่พันธมิตรกับตระกูลฉุนอวิ๋น เพื่อค้ำจุนสถานะของมณฑลเฟิงเป่า:
ฮูหยินใหญ่ หงเยว่ นางมาจากตระกูลขุนนางมณฑล มีใบหน้าสง่างาม เคร่งขรึมที่สุด เครื่องประดับของนางทำจากหยกและทองคำ แสดงถึงฐานะที่สูงส่งที่สุด
ฮูหยินรอง จินฮวา นางมาจากตระกูลพ่อค้าคหบดีระดับรองที่มั่งคั่งไม่แพ้ นางแต่งกายด้วยสีสันสดใส และมีรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน แต่ดวงตากลับฉายแววนักการค้าที่คำนวณผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
ฮูหยินสาม ซืออวิ๋น นางมาจากตระกูลผู้ฝึกยุทธ์สายอนุรักษ์นิยม นางมีรูปลักษณ์ที่ดูบอบบางที่สุด แต่สายตาของนางกลับเฉียบคมราวกับดาบที่พร้อมฟาดฟัน และร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยปราณที่พร้อมะเิออกมาได้ทุกเมื่อ
ตามมาด้วย บุตรธิดาผู้สูงศักดิ์ ของตระกูลอีกหลายคน ซึ่งแต่ละคนก็แผ่รัศมีแห่งความเย่อหยิ่งและดูแคลนออกมาจากรถม้าอย่างชัดเจน
ทันทีที่ฉุนอวิ๋นเหยียนเช่อและภรรยาทั้งสามก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างาม ก็ตามมาด้วยเหล่าบุตรธิดาผู้เปรียบเสมือนดวงดาวแห่งตระกูลฉุนอวิ๋น ซึ่งแต่ละคนล้วนมีรัศมีของตนเองและระดับการฝึกปรือที่เหนือกว่าคนงานระดับล่างอย่างสามสหายลิบลับ
ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิง บุตรชายคนโตผู้ก้าวลงมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความ เ็าและหยิ่งผยอง รูปร่างของเขาดูผอมเพรียว แต่ซ่อนเร้นไว้ซึ่งพลังที่น่าสะพรึงกลัว การฝึกปรือของเขาอยู่ในระดับ ชี่ปอ (คลื่นปราณ) ขั้น 6 ซึ่งนับเป็อัจฉริยะที่หาตัวจับยากในวัยนี้ เขามักถือ กระบี่ คู่กายที่ฝักกระบี่ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า เขามีชื่อเสียงด้านความ เ้าเล่ห์ และถือยศอำนาจเหนือผู้อื่น
ฉุนอวิ๋นลี่หง: บุตรีคนรองผู้มีใบหน้า งดงามจนสามารถล่มเมืองได้ แต่ความงามนั้นถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีที่ เ็าและไร้น้ำใจ นางอยู่ในระดับ ชี่ปอ (คลื่นปราณ) ขั้น 4 พก กระบี่คู่ เล่มเล็กที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้ออยู่เสมอ ลี่หงมีความทะเยอทะยานสูง มักแสดงความเย่อหยิ่งออกมาอย่างเปิดเผยต่อผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า
ฉุนอวิ๋นจินเฟิง บุตรชายคนโตที่อายุเท่ากับเซียวเฟิง แต่บุคลิกแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เขามีรูปร่าง สง่างาม และใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จินเฟิงเป็ที่รักของคนงาน เพราะเขาปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเป็ธรรมและรู้ วิธีใช้คนเป็ โดยไม่ใช้อำนาจ เขาฝึกปรืออยู่ในระดับ ชี่ปอ (คลื่นปราณ) ขั้น 6 เช่นกัน อาวุธของเขาคือ กระบี่ เล่มหนึ่ง
ฉุนอวิ๋นเยว่หลาน บุตรีคนรองผู้น่ารักและสะสวยโดดเด่น ผิวพรรณ ขาวเนียน ใบหน้าอ่อนหวาน ดวงตาเป็ประกาย ขี้เล่น เยว่หลานเป็ที่รู้จักในความ ซื่อสัตย์และรักความเป็ธรรม ต่างจากพี่ชายพี่สาวร่วมตระกูลคนอื่น ๆ เธอฝึกปรืออยู่ในระดับ ชี่ปอ (คลื่นปราณ) ขั้น 4
บุตรและธิดาทั้งสองของผู้นำตระกูลกับฮูหยินสาม (ซืออวิ๋น) มิได้อยู่ในขบวน
ในขณะที่บุตรธิดาผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่กำลังก้าวลงจากรถม้าอย่างไม่เร่งรีบ สายตาของ ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิง ที่กำลังเต็มไปด้วยความรำคาญจากฝุ่นและเสียงดัง ก็กวาดไปเห็น อวิ่นหนิงเจี่ย ที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างโรงม้า โดยมี ต้วนผิงอัน และ หนิวมู่อี้ กำบังอยู่
มันส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความ เ็าและหยามเหยียด ตรงไปยังเงาที่ซ่อนอยู่ข้างโรงม้า
"ท่านพ่อ" เซียวเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เยือกเย็น ขณะที่ร่างของเขายังคงแผ่ความหยิ่งผยอง "เ้าลูกนอกคอกนั่น... อยู่ตรงนั้น"
สายตาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็ผู้นำตระกูล ภรรยาทั้งสาม หรือแม้แต่ทหารคุ้มกัน ต่างก็หันไปรวมอยู่ที่ร่างของ อวิ่นหนิงเจี่ย
หนิวมู่อี้กับต้วนผิงอันถึงกับแข็งทื่อ ต้วนผิงอันกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ แต่ถูกหนิวมู่อี้จับแขนไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว อวิ่นหนิงเจี่ยผู้แบกความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน กลับพยุงร่างที่เปียกเหงื่อของตนเองให้ลุกขึ้นยืนตรงอย่างช้า ๆ
เขาเดินออกจากมุมมืด เข้าไปยืนกลางลานกว้างที่เต็มไปด้วยขี้ฝุ่นที่ยังไม่จางหาย ภายใต้สายตานับสิบที่จับจ้อง อวิ่นหนิงเจี่ยโค้งคำนับอย่างเรียบง่าย
"คารวะท่านผู้นำ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ จนแทบจะฟังไม่ออกว่ารู้สึกยินดียินร้าย
ฉุนอวิ๋นเหยียนเช่อ เมื่อเห็นบุตรชายผู้นี้ สีหน้าของเขาก็ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา เขาทำเพียง เมินหน้าไปอีกทาง ราวกับว่าการปรากฏตัวของอวิ่นหนิงเจี่ยเป็เพียงความรำคาญใจเล็กน้อย
"หัวหน้าเฝ้าปศุสัตว์" ผู้นำตระกูลกล่าวด้วยเสียงที่กังวานและทรงอำนาจ "ให้จัดหาวัวเขาเงินที่สมบูรณ์ที่สุดจำนวนห้าสิบตัว ส่งเข้าไปในตัวเมืองใหญ่ภายในวันนี้ เพื่อจะใช้รองรับในงานประลองปลายเดือนหน้าให้ทัน การแข่งขันปีนี้เราต้องไม่ให้ตระกูลซางฉิวดูถูกได้"
หลังจากสั่งการเื่งานเสร็จสิ้น สายตาที่เ็าของฉุนอวิ๋นเหยียนเช่อจึงหันกลับมามองอวิ่นหนิงเจี่ยอีกครั้ง เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อคลุมอันหรูหรา และหยิบ หนังสือเทียบ (เทียบเชิญ/จดหมาย) ที่ดูเก่าและยับย่นออกมาฉบับหนึ่ง
"เ้าไปเถอะ" ผู้นำตระกูลโยนหนังสือเทียบนั้นไปข้างหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับโยนเศษขยะ "นี่คือของที่มารดาเ้าฝากไว้ให้เ้า"
พลางหันไปด้านหลังแล้วโบกมือ ทหารองค์รักษ์ประจำตระกูลคนหนึ่งก็เดินถือ ห่อผ้ายาวรี ห่อหนึ่งยื่นส่งให้อวิ่นหนิงเจี่ย มันดูเหมือนจะบรรจุ กระบี่ หรือ สิ่งของที่มีรูปทรงยาว บางอย่าง
อวิ่นหนิงเจี่ยก้าวเข้าไปรับทั้งหนังสือเทียบและห่อผ้านั้น มิได้กล่าวกระไร อีก ผู้นำตระกูลและภรรยาทั้งสามมิได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม พวกเขารีบกลับขึ้นรถม้าและสั่งให้ขบวนออกเดินทางจากไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าจะติดเชื้อสกปรกบางอย่าง
ท่ามกลางกลุ่มทายาทที่ยืนอยู่:
ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิง และ ฉุนอวิ๋นลี่หง ต่างก็ส่งสายตา เยาะเย้ย อย่างเปิดเผยต่ออวิ่นหนิงเจี่ย เซียวเฟิงยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างดูถูก ขณะที่ลี่หงหัวเราะคิกคักด้วยความรังเกียจ
ขณะที่ ฉุนอวิ๋นจินเฟิง และ ฉุนอวิ๋นเยว่หลาน ต่างมองด้วยสายตา เวทนาและสงสาร จินเฟิงพยายามจะเดินเข้าไป แต่เยว่หลานดึงแขนเขาไว้ นางส่ายหน้าเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่าการเข้าไปยุ่งตอนนี้มีแต่จะทำให้อวิ่นหนิงเจี่ยลำบากมากขึ้น
ในที่สุด ขบวนรถม้าของผู้นำตระกูลก็จากไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันและกลิ่นอายของอำนาจที่ยังคงอบอวลอยู่บนลานกว้าง ท่ามกลางร่างของเด็กหนุ่มผู้ถูกทอดทิ้ง ที่กำลังยืนกำหนังสือเทียบและห่อผ้าลึกลับไว้แน่น
