“สถานที่เช่นนั้น?” แววตาของจ้าวซื่อทอประกายสับสน จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “อย่างมากพ่อเ้าก็ไปซื้อที่ดินเท่านั้น เ้าวางใจได้”
“ซื้อที่ดินหรือ ท่านพ่อกล่าวว่า หากซื้อปลายปีจะเป็่ที่ราคาต่ำที่สุด ถึงตอนนั้นค่อยซื้อไม่ใช่หรือเ้าคะ” หลี่หรูอี้หัวเราะอยู่ในใจ นางคิดจะพนันกับตนเอง แต่เมื่อย้อนนึกไปถึงความตระหนี่ถี่เหนียวของบิดาอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าจะพนันในสนามที่ต้องขาดทุนย่อยยับได้อย่างไร
จ้าวซื่อกล่าวเสียงแ่ “ตอนนี้ก็ถือว่าเป็ปลายปีแล้ว หากมีหิมะตกอีกสองสามครั้ง ไม่รู้ว่าจะมีคนหิวตายหรือแข็งตายมากน้อยเพียงใด เช่นนั้นก็ต้องถูกบีบบังคับให้ขายที่”
นางจางที่เงียบมาตลอดกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินกล่าวได้ถูกต้องแล้วเ้าค่ะ ่เวลานี้มีคนจำนวนหนึ่งที่มิอาจใช้ชีวิตได้จนจำเป็ต้องขายที่ มีกระทั่งขายบุตรชายบุตรสาวหรือขายพ่อแม่ด้วยเ้าค่ะ”
หลี่หรูอี้ขมวดคิ้ว “มีคนที่ขายพ่อแม่ด้วยหรือ”
นางจางก้มหน้า “พ่อแม่หรือผู้เฒ่าผู้แก่ หากตายอยู่ในบ้านจะต้องเสียค่าโลงศพและค่าทำศพเป็เงินจำนวนหนึ่ง ผู้ที่มีจิตใจอำมหิตก็จะขายพ่อแม่ออกไป เช่นนี้หากพ่อแม่ตายในบ้านเ้านาย เ้านายก็จะเป็คนจัดการเื่งานศพ”
จ้าวซื่อมีชีวิตอยู่มาสามสิบกว่าปีแล้ว เคยผ่านประสบการณ์หนีภัยโรคระบาดมาแล้ว ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้มากกว่าหลี่หรูอี้ จึงกล่าวไปว่า “บนโลกใบนี้ไม่ว่าเื่อะไรก็มีทั้งสิ้น เพียงแต่พวกเราไปที่ต่างๆ มาน้อย จึงไม่เคยพบและไม่เคยได้ยินเท่านั้นเอง”
หลี่หรูอี้สังเกตเห็นมือทั้งสองของนางจางที่อยู่ข้างลำตัวสั่นเทาเล็กน้อย จึงถามไปว่า “นางจาง เ้าเคยเห็นคนที่ขายพ่อแม่หรือไม่”
นางจางยังคงก้มหน้า เพียงแต่ในน้ำเสียงระคนไปด้วยความขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน “ไม่ขอปิดบังฮูหยินและคุณหนู เมื่อปีนั้นพี่ชายของบ่าวก็ขายพ่อแม่ของบ่าว แล้วยังขายบ่าวด้วยเ้าค่ะ”
ในดวงตาของจ้าวซื่อปรากฏแววสงสาร
หลี่หรูอี้ถามต่อไป “พี่ชายเ้าไม่มีเงินใช้ชีวิตต่อไปหรือว่า…?”
นางจางกล่าวอย่าโกรธเกรี้ยว “เขาแพ้พนันที่โรงพนัน จึงขายที่ดินและบ้านของบ่าวออกไปจนหมด แต่ก็ยังไม่พอใช้หนี้ สุดท้ายก็ขายบ่าวและพ่อแม่ของบ่าวไปด้วย”
ได้ยินดังนั้นจ้าวซื่อก็พูดขึ้นว่า “หากพ่อแม่เ้าไม่เห็นด้วย พี่ชายเ้าก็ขายพวกเขาไม่ได้ และขายเ้าไม่ได้ด้วย”
“พ่อแม่ของบ่าวโกรธมาก แต่พี่ชายของบ่าวกล่าวว่า หากเก็บพวกเขาไว้แล้ววันหน้าพวกเขาตายไปจะต้องใช้เงินซื้อโลงศพอีก มิสู้ขายพวกเขาออกไปเสีย จะดีจะร้ายบ้านเ้านายก็ยังจัดงานศพให้ ตอนนั้นบ่าวเพิ่งอายุแปดขวบจึงไม่รู้จะช่วยอย่างไร ทำได้เพียงมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเช่นนั้น” เมื่อนางจางกล่าวถึงปมในใจก็น้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่
คำพูดเหล่านี้นางจางไม่เคยเล่าให้คนของบ้านเ้านายเก่าฟังมาก่อน แต่เป็เพราะคนบ้านหลี่มีจิตใจดีงามนางจึงกล่าวขึ้นเป็ครั้งแรก
นางจางมิได้้าความเห็นใจ เพียงแต่้าระบายเท่านั้น อีกทั้งยังอยากบอกครอบครัวหลี่ด้วยว่า บนโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็คนโเี้อำมหิตเพียงไรล้วนมีทั้งสิ้น
จ้าวซื่อกล่าวปลอบ “อย่าเศร้าไปเลย ยังดีที่เ้าไม่ถูกขายไปในสถานที่สกปรกเช่นนั้น”
“เ้าค่ะ บางครั้งตอนที่บ่าวคิดไม่ตกก็ปลอบใจตนเองเช่นนี้”
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงเ็า “พี่ชายเ้าต้องไม่มีจุดจบที่ดีเป็แน่”
นางจางเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายน้ำตาเบิกกว้าง “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว บ่าวถูกขายไปไม่ถึงครึ่งปี พี่ชายของบ่าวก็ถูกคนในโรงพนันขายไปทำงานขุดเหมืองทางใต้ เพราะเขาไม่มีเงินใช้หนี้ ได้ยินว่าหากไปขุดเหมืองทางใต้จะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดไป ได้นอนเพียงวันละสองชั่วยาม ต่อให้เป็คนที่แข็งแรงเพียงใดไม่ถึงสองปีก็ต้องเหนื่อยตายแล้ว”
หลี่หรูอี้พูดขึ้นว่า “เขามีจุดจบเช่นนี้ก็ดีแล้ว นับว่า์มีตา”
จ้าวซื่อถามขึ้นบ้าง “แล้วพ่อแม่เ้าเล่า?”
“ไม่ทราบเ้าค่ะ บ่าวถูกขายเปลี่ยนมือเ้านายมาหลายครั้ง ไม่ได้ข่าวพวกเขานานแล้ว หวังว่าพวกเขาจะยังอยู่อย่างแข็งแรง” นางจางน้ำตาคลอเบ้า
จ้าวซื่อวางบุตรชายตัวน้อยที่กำลังดูดนิ้วตนเองลงในมือของนางจาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย ตอนนี้เ้ามีทั้งสามีและบุตรชายอยู่”
นางจางอุ้มหลี่เถิงเกาที่มีใบหน้าแย้มยิ้มเอาไว้ รีบกลั้นน้ำตาแล้วกล่าวว่า “เ้าค่ะ บ่าวก็คิดเช่นนี้”
หัวใจคนทำจากเืเนื้อย่อมไม่ลืมความดีที่ผู้อื่นกระทำต่อตนเอง นางจางดูแลหลี่เฟยเยว่และหลี่เถิงเกาด้วยความใส่ใจ จ้าวซื่อล้วนเห็นอยู่ในสายตา ความรู้สึกดีที่มีต่อนางจางก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ยิ่งวันนี้ได้ฟังเื่ราวในใจของนางจาง ก็ยิ่งรู้สึกว่าสนิทสนมกับนางมากขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
จ้าวซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นางจาง ต่อไปข้าจะสอนเ้าเขียนอักษรวันละสองตัว เ้าเรียนแล้วก็เอาไปสอนสามีและบุตรชายของเ้าต่อ”
“ขอบคุณมากเ้าค่ะฮูหยิน” นางจางรู้สึกซาบซึ้งใจจนกระบอกตาร้อนผ่าว ถึงกับโขกศีรษะขอบคุณอย่างแรงไปสามครั้ง นางที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมากเช่นนี้ไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันที่ตนเองจะรู้อักษรด้วย
จ้าวซื่อรอจนกระทั่งนางจางเดินออกไปแล้ว จึงกล่าวกับหลี่หรูอี้ว่า “บ่าวไพร่ของบ้านเราก็ต้องรู้หนังสือ”
“ข้าสนับสนุนท่านเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้มองออกว่าคนครอบครัวอู่เป็คนขยันและซื่อสัตย์ แม้จะบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ก็พอที่จะสอนหนังสือให้พวกเขาได้
จ้าวซื่อยื่นมือออกไปลูบหัวบุตรีสุดที่รัก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “นี่เป็บ่าวกลุ่มแรกของครอบครัวเรา เ้ากับข้าต้องคอยสั่งสอนให้ดี เมื่อเ้าเติบโตขึ้นและแต่งงานก็พาพวกเขาไปด้วย”
หลี่หรูอี้รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ท่านแม่ของข้า เมื่อครู่ท่านเพิ่งกล่าวอะไรกับท่านพ่อ แล้วตอนนี้ท่านกล่าวอะไรอยู่”
“เมื่อก่อนเ้าเคยพูดไม่ใช่หรือว่า ตอนนี้ชื่อของพวกเขาถูกผูกติดอยู่กับท่านอารองของเ้า รอให้เ้าถึงวัยปักปิ่นก่อนค่อยเปลี่ยนเป็บ่าวที่อยู่ใต้ชื่อของเ้า”
“นั่นเป็เพราะข้ากลัวว่า ท่านพ่อจะเสียดายเงินจนไม่อยากเลี้ยงดูพวกเขา ข้าจึงกล่าวไปเช่นนั้น ท่านอย่าได้คิดเป็จริงเป็จังเลย”
“ย่อมต้องคิดเป็จริงเป็จังแน่นอน ข้าว่าพวกเขาทั้งครอบครัวไม่เลวเลย ข้าหวังว่าเมื่อเ้าแต่งงานไปบ้านสามีแล้ว จะมีคนที่เชื่อใจได้ไปคอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระให้เ้า”
“คนที่เชื่อใจได้?” หลี่หรูอี้กระซิบ “ข้าคิดว่าก่อนจะมีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ก็ยังไม่อาจทราบได้ว่า พวกเขาทั้งครอบครัวควรค่าที่จะเชื่อใจหรือไม่”
จ้าวซื่อมั่นใจว่าการดูคนของตนเองค่อนข้างแม่นยำ “กาลเวลาพิสูจน์ใจคน เมื่อผ่านไปนานเ้าก็จะรู้จักพวกเขาเอง”
ทางด้านหลี่ซาน เมื่อออกไปจากหมู่บ้านหลี่แล้วก็เดินทางไปยังหมู่บ้านข้างเคียง เขาไปสอบถามคนจากสามหมู่บ้าน พบว่ามีชาวบ้าน้าขายที่ดินในราคาถูกจำนวนหนึ่ง เพียงแต่มีเงื่อนไขว่า บ้านหลี่ต้องอนุญาตให้พวกเขาเป็ผู้เช่าที่
หลี่ซานคิดในใจว่า บ้านหลี่มีคนมากเพียงนั้น ต่อให้มีที่ดินมากกว่าสิบหมู่ก็ทำเองได้ จะต้องให้คนอื่นเช่าไปทำไมกัน
เขาไม่คิดจะนำที่ดินของครอบครัวไปให้ผู้อื่นเช่า ต่อให้เช่าเพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้
เขาวิ่งเต้นอยู่ทั้งบ่ายก็ยังไม่ได้ที่ดินที่เหมาะสม เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้วจึงเดินทางกลับบ้านไป
วันต่อมาหลี่ซานทำงานเสร็จก็ออกไปอีกครั้ง คราวนี้เขาไปหมู่บ้านที่ไกลออกไปสักหน่อย
เขาคิดเพียงว่าที่ดินมีราคาถูก ไม่ได้คิดเลยว่าที่ดินอยู่ไกลจากบ้านมาก ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับทั้งยังเปลืองแรงอีกด้วย
ในที่สุดวันนี้หลี่ซานก็ซื้อที่ดินที่เหมาะสมได้แล้ว
ผู้ขายไม่ใช่คนยากคนจนแต่เป็คนร่ำรวย สาเหตุที่ขายเป็เพราะเขาจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ก่อนปีใหม่จะเดินทางไปแล้วจึงนำที่ดินหลายร้อยหมู่ออกมาขายจนหมด
แต่ตอนนี้อยู่ใน่ปลายปี คนยากคนจนจำนวนหนึ่งก็ขายที่เช่นกัน ราคาจึงถูกกดจนต่ำ ทำให้เศรษฐีผู้นี้จำเป็ต้องกดราคาที่ของตนเองด้วย
ที่ดินดีๆ หนึ่งหมู่เพิ่งจะราคาสามตำลึงสองร้อยทองแดงเท่านั้น ซึ่งราคาปกติอยู่ที่สี่ตำลึง ประหยัดไปได้ถึงแปดร้อยทองแดง
หลี่ซานต่อราคากับผู้ดูแลของครอบครัวเศรษฐี สุดท้ายก็ประหยัดไปได้อีกหมู่ละสองร้อยทองแดง ใช้เงินสิบแปดตำลึงซื้อที่ไปได้หกหมู่
“ฮ่าๆๆ...” หลี่ซานเพิ่งเดินเข้ามาในลานบ้านก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าซื้อที่ได้แล้ว ที่ดินดีหกหมู่!”
จ้าวซื่อที่อยู่ในห้องนอนอันอบอุ่นได้ยินเสียงหัวเราะของสามี จึงกล่าวข้ามหน้าต่างไปว่า “เงินของท่านมีเพียงเท่านั้น เหตุใดจึงซื้อที่ดินดีๆ ได้มากเพียงนี้?”
“ซู่เหมย เ้าฟังข้าอธิบายก่อน วันนี้ข้ามีโชคจริงๆ ถึงได้เจอครอบครัวที่รีบร้อนขายที่ น่าเสียดายที่ข้ามีเงินติดตัวไม่มาก” หลี่ซานพูดถึงตรงนี้ก็คิดในใจว่า หากเขามีเงินหลายร้อยตำลึงก็คงดี จะได้ซื้อที่ร้อยหมู่ของครอบครัวนั้น พริบตาเดียวจะได้กลายเป็เ้าของที่ดินน้อยๆ แล้ว
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้