ถนนสายนี้ปลอดโปร่งเป็พิเศษ อีกทั้งยังได้เจอขบวนรถของพ่อค้าแม่ค้าบ้างเป็ครั้งครา พวกเขาทักทายพูดคุยกันตามมารยาท
ในตอนที่พวกเขาเข้าสู่เมืองซู่เหอก็ถึงยามเสิ่นพอดี
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง โคมไฟที่แขวนอยู่ข้างถนนเริ่มสว่างขึ้นและส่องแสงไปทั่ว มีคนผ่านไปมา บรรยากาศดูคึกคักเป็ที่สุด
“ขายถังหู่ลู่จ้า ถังหู่ลู่”
“มีผู้ใดอยากวาดรูปเหมือนหรือไม่ขอรับ? ห้าอีแปะเท่านั้น”
“โคมไฟลอยน้ำ อธิษฐานกับโคมไฟลอยน้ำ อันละห้าอีแปะขอรับ”
......
เมื่อได้ยินเสียงขายของ เวินซีก็เปิดม่านขึ้นพลันมองออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยความสนใจ
“ข้าขอลงจากรถได้หรือไม่เ้าคะ?” เวินซีหันไปถามจ้าวต้าน
“ได้สิ ข้าจะไปด้วย” จ้าวต้านหัวเราะเบาๆ
ทั้งสองลงจากรถม้าด้วยกัน
เนื่องจากมีขบวนพ่อค้าจากข้างนอกเข้ามาทุกวัน จึงเป็เื่ธรรมดาของคนในเมือง ไม่มีผู้ใดหันไปมองพวกเขา
ทั้งสองก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ท่ามกลางฝูงชน
ที่ด้านหลัง หรานอิ่งชุนชะโงกหน้ามองทั้งสองคน ก่อนจะตัดสินใจลงจากรถม้าด้วย
“คุณหนูเวิน ข้าขอ...ให้ท่านช่วยพาข้ากลับบ้านได้หรือไม่เ้าคะ?”
“ตระกูลของข้าเข้มงวดนัก จู่ๆ ข้าก็หายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลายวัน เกรงว่าพวกเขาต้องสงสัยความบริสุทธิ์ของข้าเป็แน่ ข้าอยากจะให้คุณหนูเวินไปเป็พยานให้ข้า มิเช่นนั้นข้ากลับไปเช่นนี้จะต้องตายแน่เ้าค่ะ”
นางเดินตามเวินซีไปและพูดอย่างลำบากใจ
“ได้เ้าค่ะ ข้าจะไปส่งคุณหนูก่อน” เวินซีเข้าใจจึงพยักหน้า “ขึ้นรถม้าเถิดเ้าค่ะ”
“เ้าค่ะ”
ทั้งสามคนขึ้นรถม้าคันเดียวกัน หลังจากที่ได้อธิบายเื่ราวกับซูเหอและพวกสืออีแล้ว รถของนางก็เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าสู่จวนตระกูลหราน
ตระกูลหรานเป็ตระกูลใหญ่ในเมืองซู่เหอ จวนของพวกเขาตั้งอยู่บนถนนสายที่ผู้คนพลุกพล่านที่สุดในเมือง
จริงๆ ที่นี่ควรจะมีเสียงดังครึกครื้น แต่เมื่อเข้าใกล้จวน สภาพแวดล้อมกลับยิ่งเงียบลง
โคมไฟทั้งสองข้างถนนก็มืดสลัวลงเช่นกัน ต้องค่อยๆ ดูทางถึงจะมองเห็น
เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างดูผิดปกติ เวินซีจึงเปิดม่านรถและมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“คุณหนูหราน รอบข้างจวนหรานเงียบเชียบเช่นนี้ตลอดเลยหรือเ้าคะ?” นางถาม
“มิใช่นะเ้าคะ เมื่อก่อนถนนเส้นนี้คึกคักมาก ข้าที่อยู่สวนหลังยังพักผ่อนลำบากเลยเ้าค่ะ” หรานอิ่งชุนตอบพร้อมกับมองออกไปข้างนอกและขมวดคิ้วแน่น
ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็พัดเศษกระดาษบนพื้นลอยขึ้นไปในอากาศ
เวินซีเอื้อมมือไปคว้าไว้ เมื่อเห็นว่าเป็เงินกงเต๊กนางก็ขมวดคิ้ว ฉีกมันแล้วโยนลงพื้นไป
“คุณหนูเวิน...”
“ไม่มีอันใดเ้าค่ะ เราไปดูที่จวนหรานว่าเกิดอันใดขึ้นก่อนเถิด” เวินซีเกรงว่าหรานอิ่งชุนจะกลัวจึงพูดปลอบใจ
นางนั่งตัวตรง แล้ววางม่านลง
รถม้ายังคงเคลื่อนที่ต่อไป ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีก็หยุดอยู่ที่ประตูจวนหราน
“ผู้ใดอยู่ในรถ? มาที่นี่ด้วยเหตุใดขอรับ?”
“่นี้จวนของเรากำลังไว้ทุกข์ หากไม่มีเื่สำคัญอันใด ได้โปรดกลับไปก่อนเถิดขอรับ”
คนรับใช้ที่ยืนอยู่ตรงประตูมองไปที่รถม้าแล้วเอ่ยถาม
“ข้าเอง” หลังจากที่ได้ยินเสียงของทั้งสอง หรานอิ่งชุนก็เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยตอบ พร้อมกับพาเวินซีลงจากรถม้า
“คุณหนูหราน?” คนรับใช้ทั้งสองเบิกตากว้างและพูดพร้อมกันอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ที่จวนมีงานศพหรือ? ผู้ใดเป็ตายกัน?” หรานอิ่งชุนะโลงจากรถม้า เอ่ยถามพลางเข้าไปหาคนรับใช้
“เอ่อ...” คนรับใช้ทั้งสองมองหน้ากัน
“พูดมา หรือว่าข้าไม่ได้กลับมาไม่กี่วัน พวกเ้าไม่เชื่อฟังข้าแล้วหรือ?” หรานอิ่งชุนพูดเสียงดัง วางท่าเป็คุณหนูใหญ่ผู้เคร่งขรึม
“คุณ...คุณหนูหราน ท่านเป็คนหรือผีขอรับ?” คนรับใช้ถามด้วยความไม่มั่นใจ
“หมายความเช่นไร?” ใบหน้าของหรานอิ่งชุนเผยความไม่พอใจ สักพักนางก็ตระหนักได้ และมีแววตาไม่อยากจะเชื่อ “อย่าบอกนะว่าที่พวกเ้าว่า...เป็งานศพข้า?”
คนรับใช้ทั้งสองพากันพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เวินซีและจ้าวต้านเดินมาได้เวลาเหมาะเจาะ จึงได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคนพอดี ทั้งสองมองหน้ากัน
“ข้าเพียงแค่หายตัวไป พวกเ้ามิได้เห็นศพข้าเสียด้วยซ้ำ เหตุใดถึงแน่ใจว่าข้าตาย?” หรานอิ่งชุนถามอย่างเฉียบขาด
“คุณหนูหราน เื่นี้พวกข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ เป็...เป็...เป็คนรับใช้ที่ไปกับท่านกลับมาพูด เขาบอกว่า...เขาเห็นท่านตายคามือของพวกโจรป่า”
“พวกโจรป่าเห็นว่าคุณหนูงดงาม จึงนำศพของคุณหนูกลับไปด้วย”
คนรับใช้ทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้น ผลัดกันพูดทีละประโยค
หรานอิ่งชุนมองดูพวกเขา ความโกรธก็ลุกโชนไปทั่วร่าง
“นี่มันเื่อันใดกัน ข้าจะต้องพูดกับคนรับใช้คนนั้นให้รู้เื่” นางพูดอย่างเ็าและก้าวเข้าไปในจวนหราน
เวินซีและจ้าวต้านปรึกษากันพลันเดินตามเข้าไปติดๆ
จวนหรานยังคงจมอยู่กับความเศร้าโศก บริเวณทางเดินและชายคามีผ้าสีขาวแขวนไว้ แม้แต่โคมไฟก็ยังเป็โคมไฟสีขาว พวกเขาทั้งสามคนยังได้ยินเสียงร้องไห้อันน่าเ็ปดังมาเป็ครั้งคราว
“ผีหลอก!”
สตรีรับใช้ผู้หนึ่งถือกล่องอาหารเดินมาชนเข้ากับหรานอิ่งชุนก็ใจนร้องเสียงหลง และสลบลงกับพื้น
หรานอิ่งชุนมีใบหน้าที่มืดมนยิ่งกว่าเดิม พลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“ผีบ้าอันใด? เสียงดังอันใดกัน? ข้ามิได้บอกหรือว่า่นี้ห้ามเสียงดังในเรือน? หูหนวกกันหรือไร?” สตรีที่แต่งตัวงดงามเดินออกจากห้องโถงมาดุคนรับใช้
แต่ทันทีที่ได้สบตาเข้ากับหรานอิ่งชุน ใบหน้าของนางก็ซีดขาว
“ผีหลอก!” นางกรีดร้องเสียงดังแล้วล้มลงกับพื้น
“อย่าเข้ามานะ!”
“อิ่งชุน ข้ามิเคยทำร้ายเ้า หากเ้าจะมาหาคนในครอบครัวก็ไปหาอี๋เหนียงสาม กระดูกของเ้ายังไม่เย็น นางก็เข้าไปในห้องของเ้าแล้ว เ้าไปหานางสิ”
“อิ่งชุน เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีที่เราเคยมีกันตอนที่เ้ายังมีชีวิตเถิดนะ หากเ้าขาดเหลือสิ่งใด เ้าบอกข้ามา ข้าจะเผาไปให้ อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา”
สตรีผู้นั้นเอาแต่คลานถอยหลัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาไปหมด
เป็เพราะเสียงของนางจึงทำให้สตรีรับใช้และคนรับใช้เข้ามามุงดู แต่เมื่อพวกเขาเห็นหรานอิ่งชุนก็กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้
“อี๋เหนียงสอง ข้ามิได้ตายเ้าค่ะ คนรับใช้คนนั้นหลอกพวกท่าน ไม่เชื่อท่านก็มาจับตัวข้าดูสิเ้าคะ ข้ายังตัวอุ่นอยู่เลย” หรานอิ่งชุนพูดพลางยื่นมือออกไป
อี๋เหนียงสองจ้องมองตาเขม็ง นางยังคงถอยหลังไปเรื่อยๆ จนติดกำแพง เมื่อรู้ว่าถอยออกไม่ได้แล้วก็กัดฟันเอื้อมมือออกไป
เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อิ่งชุน เ้ายังไม่ตายจริงๆ หรือ?”
“ยังไม่ตายเ้าค่ะ สองคนที่อยู่ด้านหลังข้าเป็คนช่วยข้าไว้ ทั้งยังพาข้ากลับเรือนมาด้วยเ้าค่ะ” หรานอิ่งชุนยิ้มบางๆ
หรานอิ่งชุนช่วยพยุงอี๋เหนียงสองขึ้น จิตใจของอี๋เหนียงสองยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต้องจับมือนางไว้ถึงจะยืนได้มั่น
เวลาผ่านไปนาน อี๋เหนียงสองถึงกลับมาพูดได้
“ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ดีแล้ว” นางตบที่หลังมือของหรานอิ่งชุน จากนั้นก็มองไปที่เวินซีกับจ้าวต้าน “ขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ช่วยนางไว้เ้าค่ะ พวกท่านอยากจะได้ของตอบแทนอันใดสามารถบอกได้เลยเ้าค่ะ”
“มิต้องหรอกเ้าค่ะ หากไม่มีอันใดแล้ว พวกเราขอตัวก่อนเ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าเป็เพียงความเข้าใจผิด เวินซีจึงพูดพร้อมกับดึงจ้าวต้านออกจากเรือน
แต่ทันใดนั้นมีคนรับใช้ที่เฝ้าประตูวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นหรานอิ่งชุนก็คุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนก
“อี๋...อี๋เหนียงสองขอรับ...” คนรับใช้พูดอย่างหายใจไม่ทัน
“มีอันใด ค่อยๆ พูด ไม่ต้องรีบร้อน” เนื่องจากเห็นหรานอิ่งชุนกลับมา อี๋เหนียงสองจึงอารมณ์ดี น้ำเสียงของนางอ่อนโยนขึ้นมาก
“อี๋...อี๋เหนียงสอง ด้านนอกมีรถม้าคันหนึ่งมาจอดขอรับ ด้าน...ด้านใน...คือคุณหนูหราน” คนรับใช้พูดออกมาอย่างหวาดกลัว
ประโยคเพียงประโยคเดียวราวกับฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจของทุกคน
คุณหนูหราน...
อี๋เหนียงสองปล่อยมือของหรานอิ่งชุนอย่างรวดเร็ว
“เ้าเป็ผู้ใดกันแน่?” นางถามเสียงดัง