"อ้าว คราวก่อนเ้าไม่ได้กำลังเย็บรองเท้าให้ท่านแม่กับหรงเหอหรอกหรือ?" จางเจิ้นอันเอ่ยถามขึ้น
เขาจำได้ว่าเมื่อหลายคืนก่อน ยังเห็นนางกำลังบรรจงปักลวดลายลงบนรองเท้าผ้าคู่หนึ่งอยู่เลย สอบถามก็ได้ความว่าเป็ของเหลียงซื่อ เขาไม่เคยเห็นนางลงมือเย็บรองเท้าให้ตนเองสักครั้ง หรือว่านางแอบทำเตรียมไว้ั้แ่เมื่อใดกัน?
เขารู้ดีว่าฝีมือการเย็บปักของนางนั้นเป็เลิศ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจพลันบังเกิดความหวังและความคาดหมายขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แม้แต่ฝีเท้าก็เผลอเร่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ปรารถนาจะได้เห็นรองเท้าที่นางตั้งใจทำเพื่อเขาโดยเร็ว
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาก้าวยาวขึ้น ก็พอจะเดาได้ว่าในใจเขาคงกำลังคาดหวังอยู่บ้าง การที่สิ่งที่ตนทำนั้นเป็ที่ตั้งตารอคอย ความรู้สึกอิ่มเอมใจก็ผุดพรายขึ้นในอก มุมปากจึงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย สองเท้าก้าวถี่ๆ ตามแผ่นหลังกว้างของเขาไปติดๆ
พอเข้ามาในเรือน จางเจิ้นอันก็รีบวางตะกร้าปลาลง ล้างไม้ล้างมือ แล้วเอ่ยถามอันซิ่วเอ๋อร์เป็สิ่งแรกว่า "รองเท้าที่เ้าทำให้ข้าเล่า?"
"แหม ท่านนี่ใจร้อนจริง" อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขาแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้
นางเดินเข้าไปในห้อง หยิบรองเท้าฟางคู่หนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ชูให้เขาดูพลางกล่าวว่า "นี่อย่างไรเล่า รองเท้าฟางที่ข้าเพิ่งสานให้ท่านเมื่อตอนบ่ายนี้เอง เป็ครั้งแรกที่ข้าสานรองเท้าฟาง แล้วก็ทำให้ท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น!"
เขาเบิกตากว้าง จ้องมองรองเท้าฟางในมือนาง แล้วจึงก้มลงสบตานาง ดวงตาคู่สวยของนางเป็ประกายระยับ ราวกับจะถามว่า... ท่านชอบหรือไม่? ท่านประหลาดใจหรือไม่?
ความคาดหวังในใจเขามลายหายไปสิ้น ถึงแม้บุรุษชาตรีเช่นเขาจะไม่้ารองเท้าปักลวดลายวิจิตรพิสดารอันใด ทว่า... อย่างน้อยนางจะใส่ใจเลือกวัสดุให้ดีกว่านี้สักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ?
อย่างน้อยก็น่าจะเป็รองเท้าผ้าธรรมดาๆ สักคู่ แต่นี่... รองเท้าที่เขารอคอยมานาน กลับกลายเป็เพียงรองเท้าฟางสานธรรมดาๆ?
เขายังจำได้แม่นยำว่า รองเท้าที่นางทำให้มารดาของนางเมื่อหลายวันก่อนนั้นประณีตเพียงใด ใช้ผ้าเนื้อดี ปักลวดลายงดงาม แต่พอถึงคราวของเขา กลับกลายเป็เพียงฟางข้าวธรรมดาๆ สานเป็รองเท้าแตะเรียบๆ ง่ายๆ ทั้งยังเป็แบบเปิดหน้าเท้า ไม่มีขอบหุ้ม สวมแล้วต้องเห็นนิ้วเท้าโผล่ออกมาอีก
เขาถือรองเท้าฟางคู่นั้นไว้ในมือ สีหน้าพลันเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์กลับขยับเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูเขาว่า "มา มา ลองสวมดูสิเ้าคะ ว่าพอดีหรือไม่"
"เอ่อ... เ้าช่วยเย็บขอบเพิ่มอีกสักหน่อยได้หรือไม่?"
เขาถือรองเท้าไว้ในมือ เอ่ยถามเสียงแ่เบา กลัวว่าหากพูดตรงๆ จะทำให้นางเสียใจ เข้าใจผิดว่าเขาไม่ชอบของขวัญชิ้นนี้
"จะให้เย็บอย่างไรหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์เลิกคิ้วถาม
"ก็... ก็ทำให้เหมือนรองเท้าผ้าธรรมดาทั่วไปไม่ได้หรือ?" เขาพยายามทำท่าทางประกอบ "ข้าไม่ชอบรองเท้าที่เปิดเห็นนิ้วเท้าแบบนี้"
"ฮี่ๆ ท่านพี่ ท่านยังจะขี้อายอะไรอีกเ้าคะ ชายชาตรีอกสามศอก เผยเท้าบ้างจะเป็ไรไป อีกหน่อยอากาศร้อนขึ้น สวมแบบนี้แหละสบาย ระบายอากาศได้ดีออก" อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ล้อเลียนเขา
"เ้าก็ถือว่าข้าขี้อายเถิด" จางเจิ้นอันตอบเสียงเรียบ
"เช่นนั้นท่านลองสวมดูก่อน หากขนาดพอดี ข้าค่อยหาฟางมาสานเสริมตรงหัวรองเท้าให้ก็แล้วกัน"
เมื่อได้ยินอันซิ่วเอ๋อร์กล่าวเช่นนั้น จางเจิ้นอันก็จำต้องนั่งลง ถอดรองเท้าคู่เดิมออก แล้วสวมรองเท้าฟางคู่นี้แทน
นางบอกว่านี่เป็ครั้งแรกที่นางสานรองเท้าฟาง ทว่านี่ก็เป็ครั้งแรกที่เขาสวมรองเท้าฟางเช่นกัน ช่างรู้สึกอึดอัดไม่คุ้นเคยเสียจริง เมื่อสวมเสร็จแล้ว เขาก็แทบจะไม่กล้าก้มลงมองเท้าตัวเอง
"พอดีเป๊ะ!" อันซิ่วเอ๋อร์กลับเอ่ยขึ้นข้างกายอย่างยินดี
"ข้าว่ารองเท้าฟางคู่นี้ท่านสวมแล้วดูดีออก ไม่ต้องแก้ก็ได้นะเ้าคะ"
"ต้องแก้สิ! หากไม่แก้ ข้าก็จะไม่สวมมันอีกต่อไป!"
เขาแสร้งทำเสียงงอน ทำท่าทางงอแงเหมือนเด็กๆ รองเท้าเปิดหน้าเท้าแบบนี้ เขาไม่มีวันสวมออกไปข้างนอกเด็ดขาด
"เอาเถิด เอาเถิด แก้ก็แก้เ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์รับรองเท้าคืนมา แล้วจึงค่อยๆ หยิบรองเท้าอีกคู่ออกมาจากด้านหลัง เป็รองเท้าหุ้มข้อหนังกลับสีเข้ม นางชูมันขึ้นแล้วถามว่า "แล้วรองเท้าคู่นี้เล่าเ้าคะ เป็อย่างไรบ้าง? งามหรือไม่?"
"คู่นี้สิ ค่อยดูดีหน่อย" จางเจิ้นอันตาลุกวาว เอื้อมมือไปรับมาัั เนื้อผ้านุ่มละมุนมือ ดูแล้วน่าจะสวมใส่สบาย อันซิ่วเอ๋อร์เห็นแววตาพึงพอใจของเขาจึงกล่าวว่า "เช่นนั้นท่านลองสวมคู่นี้ดูเถิดเ้าค่ะ"
รองเท้าคู่นี้เป็รองเท้าหุ้มข้อแบบที่เขาชอบใส่เป็ประจำ เขามองแล้วก็ถูกใจยิ่งนัก จึงรีบเปลี่ยนรองเท้า แล้วลองเดินวนไปมาในห้องสองสามรอบ พลางกล่าวว่า "รองเท้าดี พื้นรองเท้านุ่ม สวมสบายมากทีเดียว"
"แน่นอนอยู่แล้ว ข้าบุพื้นรองเท้าด้วยฝ้ายอย่างหนา ทั้งยังทำแผ่นรองเท้าสำรองไว้อีกคู่ด้วยนะเ้าคะ"
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาชื่นชอบรองเท้าคู่นี้จริงๆ ก็แย้มยิ้มออกมาอย่างยินดี กล่าวเสริมว่า "เมื่อหลายวันก่อน ข้าก็เพิ่งทำรองเท้าหนังกลับแบบนี้ให้ท่านพ่อคู่หนึ่งเหมือนกัน..."
"เช่นนั้นเ้าหมายความว่า...?" รอยยิ้มบนใบหน้าของจางเจิ้นอันพลันแข็งค้าง หญิงสาวผู้นี้... หรือว่านางจะทำรองเท้าคู่นี้ไว้ให้บิดาของนาง แต่เพียงแค่ให้เขาลองสวมดูเท่านั้น?
"...รองเท้าคู่นี้ทำให้ท่านนั่นแหละเ้าค่ะ"
นางรีบกล่าวต่อประโยคหลังให้จบ แล้วจึงว่า "ในเมื่อท่านชอบมันมากเพียงนี้ เช่นนั้นท่านพ่อก็คงจะชอบคู่ของท่านมากเช่นกัน"
"เฮ้อ คนอื่นเขาว่า สตรีแต่งออกเรือนแล้วก็ต้องตามใจสามี เหตุใดเ้าถึงได้เอาแต่คิดถึงแต่เื่ของบิดามารดาอยู่เรื่อย มีของดีอันใด ก็ไม่เคยคิดถึงข้าก่อนบ้างเลย หากเ้าเป็เช่นนี้ ข้าจะงอนจริงๆ แล้วนะ" จางเจิ้นอันกล่าวเสียงขุ่นๆ เจือความน้อยใจ
อันซิ่วเอ๋อร์กลับไม่เกรงกลัวเขาแม้แต่น้อย นางย้อนว่า "ข้าก็แค่เอาใจเขามาใส่ใจเราต่างหากเ้าค่ะ"
"เอาใจเขามาใส่ใจเราอะไรกัน? หรือว่าข้าปฏิบัติกับเ้าไม่ดีพอหรือไร?" จางเจิ้นอันเริ่มทำเสียงไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ
"ท่านดีกับข้ามาก ข้าก็ดีกับท่านมากเช่นกัน เพียงแต่คราวก่อนท่านพ่อท่านแม่มาช่วยซ่อมหลังคาให้พวกเรา รองเท้าคู่ของท่านพ่อจึงเป็ของขวัญตอบแทนน้ำใจพวกเขา ท่านยังจะมาอิจฉาเื่แค่นี้อีกหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ ดวงตาคู่สวยเป็ประกายจ้องมองเขาอย่างท้าทาย
เมื่อนางอ้างเหตุผลเช่นนี้แล้ว เขาจะกล่าวอันใดได้อีก จึงได้แต่ตอบเสียงอ่อยๆ อย่างเสียไม่ได้ว่า "ไม่ได้อิจฉา"
"เอาล่ะ เอาล่ะ ที่จริงข้าทำรองเท้าให้ท่านเสร็จนานแล้ว แถมยังทำเป็คู่แรกอีกด้วย เพียงแต่ข้าไม่กล้าเอาออกมาให้ท่านก่อนเท่านั้นเอง"
อันซิ่วเอ๋อร์เลิกหยอกล้อเขา กล่าวต่ออย่างจริงจังว่า "ท่านก็ดูสิ ท่านพ่อท่านแม่ดีกับข้าเพียงใด หากพวกเขาทราบว่าในใจข้าตอนนี้คิดถึงท่านเป็อันดับแรก พวกเขาคงจะเสียใจแย่ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจทำรองเท้าให้ท่านแม่เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยนำรองเท้าคู่นี้ออกมาให้ท่าน"
เมื่อได้ยินเหตุผลนั้น จางเจิ้นอันก็พลันรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา กล่าวว่า "เ้าให้ข้าแต่แรกก็ได้นี่ ข้าก็แค่ไม่สวมมันเท่านั้นเอง"
"รองเท้าดีๆ เช่นนี้ ท่านจะทนไม่สวมมันได้อย่างไรกัน?"
อันซิ่วเอ๋อร์เบิกตากว้าง หันหน้าหนีไปอีกทาง ทำเสียงงอนๆ ว่า "เห็นไหมเล่า ท่านไม่ใส่ใจข้าเลยสักนิด ข้าให้รองเท้าท่านพ่อ ท่านพ่อดีใจ รีบสวมทันที เขาแทบจะเที่ยวบอกใครต่อใครว่าข้าทำรองเท้าให้ แต่ท่านกลับจะเอามันไปวางไว้เฉยๆ ไม่ยอมสวม"
"ข้าก็แค่เสียดายนี่นา" จางเจิ้นอันรีบแก้ตัว
"ของที่ชอบมากๆ ก็มักจะไม่อยากให้มันเปรอะเปื้อน เช่นเดียวกับรองเท้าฟางคู่นี้ เป็รองเท้าฟางคู่แรกที่เ้าสาน ทั้งยังเป็รองเท้าคู่แรกที่เ้าตั้งใจทำให้ข้า ข้าจึงต้องเก็บรักษามันไว้อย่างดีที่สุด"
"ท่านชอบมันจริงๆ หรือแค่หาเหตุผลมาบังหน้าเพื่อจะไม่สวมมันกันแน่?" อันซิ่วเอ๋อร์เหลือบมองเขาอย่างรู้ทัน นางไม่ได้โง่เขลา อันที่จริงนางรู้ดีว่าเขาคงไม่ได้ชอบรองเท้าฟางคู่นี้สักเท่าไร
ก็จริงอยู่ ชาวนาในชนบทที่สวมรองเท้าฟาง ส่วนใหญ่ก็สวมเพราะความจำเป็ เนื่องจากมันมีราคาถูก หากมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ พวกเขาก็คงไม่อยากสวมมันนักหรอก
"ข้าชอบจริงๆ! ของทุกสิ่งที่เ้าทำ ข้าชอบทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะรองเท้าคู่นี้ ข้าชอบเป็พิเศษเลย ข้าจะต้องเก็บรักษามันไว้อย่างดีไปอีกร้อยปี ดังนั้นข้าขอเก็บมันไว้ก่อนนะ"
กล่าวพลาง เขาก็หยิบรองเท้าฟางคู่นั้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ทำทีจะเก็บมันไว้ข้างใน พลางพูดติดตลกต่อไปว่า "รอจนถึงวันที่ข้าตาย ข้าก็จะสวมรองเท้าฟางคู่นี้ไปนี่แหละ"
"รองเท้าฟางคู่นี้หากท่านไม่สวมปีนี้ ปีหน้ามันก็ผุหมดแล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์รู้ทันความคิดเขา จึงยื่นมือออกไปตรงหน้า กล่าวว่า "เอามาให้ข้าเถิด ข้าจะเอาไปให้พี่รองสวมก็แล้วกัน"
"ข้าจะเก็บไว้เอง ข้าชอบมันจริงๆ นะ" เขายังยืนกราน
"อย่าแสร้งทำเลยเ้าค่ะ ท่านไม่ได้ชอบมันสักหน่อย เอามาเถิด อย่าเก็บไว้ให้เสียของเปล่าๆ"
อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงยื่นมือคาไว้ จางเจิ้นอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมส่งรองเท้าฟางคืนให้นางแต่โดยดี
อันซิ่วเอ๋อร์รับรองเท้ามา แล้วเดินไปยังเตียง เปิดห่อผ้าที่เตรียมไว้แต่แรกออก วางรองเท้าฟางลงไปในนั้น พลางกล่าวว่า "ดูสิเ้าคะ ข้าทำรองเท้าให้ท่านพ่อท่านแม่แล้ว เด็กๆ ก็มีของขวัญกันทุกคน เหลือแต่พี่รองกับพี่สะใภ้รองที่ยังไม่มี พอดีรองเท้าฟางคู่นี้ขนาดน่าจะพอดีกับพี่รองเลยเ้าค่ะ"
จางเจิ้นอันเดินตามมานั่งลงข้างๆ มองดูสิ่งของต่างๆ ในห่อผ้าของนาง แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นผ้าแพรสีเหลืองอ่อนที่เขาซื้อให้นางเมื่อคราวก่อนรวมอยู่ในนั้นด้วย เขาชี้ไปที่ผ้านั้นแล้วถามว่า "ผ้าผืนนั้น เ้าก็เอาไปให้คนอื่นแล้วหรือ?"
"อืม... ข้าเอาไปตัดชุดให้หลานสาวสองคนน่ะเ้าค่ะ พวกนางไม่เคยได้สวมเสื้อผ้าใหม่ๆ เลย" อันซิ่วเอ๋อร์ก้มหน้าลงเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอยู่บ้าง ที่เขาอุตส่าห์ซื้อผ้ามาให้ แต่นางกลับไม่เห็นคุณค่า นำไปตัดเสื้อผ้าให้ผู้อื่นเสียอย่างนั้น
จางเจิ้นอันได้ยินดังนั้นก็เงียบไป ไม่เอ่ยวาจาใดๆ อันซิ่วเอ๋อร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉยภายใต้ผ้าคาดตาดำผืนนั้น นางไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยว่าในใจเขาคิดสิ่งใดอยู่
"คราวหน้าหากท่านซื้อผ้ามาให้อีก ข้าสัญญาว่าจะนำมาตัดเสื้อผ้าใส่เอง ท่านอย่าโกรธเลยนะเ้าคะ"
อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยเสียงแ่เบา ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเช่นไร การยอมรับผิดไว้ก่อนย่อมไม่เสียหาย นางเห็นเขายังคงนิ่งเงียบ จึงกล่าวเสริมอย่างเอาใจว่า "หรือไม่ก็... คราวหน้าท่านซื้อให้ข้าอีกสักผืนหนึ่งสิเ้าคะ? คราวนี้ข้ารับรองว่าจะทำชุดสวยๆ ใส่เองแน่นอน"
"เ้าช่างฝันหวานเสียจริง" เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ยื่นมือไปเคาะหน้าผากนางเบาๆ กล่าวว่า "นี่คือท่าทีของคนสำนึกผิดหรือ? ฟังดูเหมือนการที่ข้าซื้อผ้าให้เ้าไปตัดเสื้อผ้าใส่เองนี่ กลายเป็ว่าเ้าเสียเปรียบข้าอย่างนั้นแหละ"
"ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย" อันซิ่วเอ๋อร์รีบแก้ตัว "อย่างไรเสีย ข้าแต่งตัวสวยๆ ก็เพื่อให้ท่านชื่นชมอยู่ดี ท่านลองคิดดูสิ ข้าอุตส่าห์แต่งตัวเพื่อท่าน ท่านไม่ควรจะดีใจหรอกหรือ?"
"เ้าช่างปากหวานยิ่งนัก" จางเจิ้นอันยื่นมือไปหมายจะเคาะหน้าผากนางอีกครั้ง แต่นางรีบเอียงศีรษะหลบ เขาจึงเปลี่ยนเป็แบมือออก แล้วลูบไล้แก้มเนียนของนางเบาๆ แทน พลางกล่าวว่า "หรือเ้าคิดว่าข้าโกรธเ้าเพราะเื่ผ้าผืนนั้น?"
"แล้วท่านโกรธข้าเื่ใดกันเล่าเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย "เป็เพราะข้าเอารองเท้าฟางมาหลอกท่านเมื่อครู่นี้หรือ?"
"เ้าเด็กโง่เอ๊ย" จางเจิ้นอันถอนหายใจเบาๆ
"่นี้เ้ามัวแต่ทำของขวัญให้คนในครอบครัว ทั้งเสื้อผ้า ทั้งรองเท้า แล้วตัวเ้าเองเล่า... ได้ทำอะไรให้ตัวเองบ้างหรือไม่?" เขาจ้องมองนาง ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ข้าหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะออกมา กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า "ข้าแค่เห็นพวกท่านชอบของที่ข้าทำ ข้าก็มีความสุขแล้ว อย่างไรเสียข้าก็อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน จะสวมเสื้อผ้าใหม่ๆ รองเท้าใหม่ๆ ไปก็เท่านั้น เปล่าประโยชน์"
"อย่างไรถึงเรียกว่าเปล่าประโยชน์?" จางเจิ้นอันขยับเข้ามาใกล้ โอบไหล่นางเบาๆ กล่าวว่า "เมื่อครู่เ้าเพิ่งบอกเองว่าจะแต่งตัวสวยๆ ให้ข้าดูไม่ใช่หรือ? สตรีที่งดงามย่อมยินดีที่จะแต่งกายเพื่อบุรุษที่ตนรัก หากเ้าไม่คิดจะแต่งตัวให้ดูดีขึ้นเลยสักนิด หรือว่า... ในใจเ้าจะไม่ได้ชอบข้าเลย?"
"ไม่ได้เป็เช่นนั้นนะเ้าคะ!" อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็พลันแดงซ่านขึ้นมาทันที นางก้มหน้างุด กล่าวเสียงอ้อมแอ้มว่า "อย่างไรเสียพวกเราก็เป็สามีภรรยา เป็คนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่จำเป็ต้องมีพิธีรีตองอันใดมากมายหรอกเ้าค่ะ"
"เช่นนั้นที่เ้ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ก็เป็เพียงแค่ลมปากหลอกข้าไปวันๆ?" จางเจิ้นอันยังคงซักไซ้ไม่เลิก
อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกว่าเขากำลังคาดคั้นนางมากขึ้นเรื่อยๆ ผิดจากปกติ ก่อนหน้านี้เมื่อนางกล่าวอะไรออกไป เขาก็จะไม่ค่อยซักถามอะไรมากนัก แต่ตอนนี้นางพูดอะไร เขากลับต้องถามย้ำแล้วย้ำอีก นางกลัวว่าเขาจะคิดมาก จึงต้องรีบใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาทางออก
"เอ่อ... หากอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย ก็ย่อมต้องแต่งกายให้งดงามอยู่แล้วเ้าค่ะ แต่ตอนนี้... พวกเรายังต้องประหยัด เก็บเงินไว้บ้าง จึงยังไม่จำเป็ต้องซื้อหาของฟุ่มเฟือยเหล่านี้"
นางคิดหาเหตุผลอื่นไม่ออก จึงตัดสินใจเอ่ยความจริงออกไปในที่สุด
