มู่หรงฉืออยากจะทำลายอวัยวะภายในของเขาแล้วะเิหัวเขาเสีย ก่อนจะโจมตีใส่เขารัวๆ
หั่นเขาจนเป็ชิ้นๆ…
นางพูดหน้าตึง “ไม่จำเป็ต้องให้ท่านอ๋องต้องเป็ห่วง พรุ่งนี้เปิ่นกงจะเรียกหมอหลวงมารักษา เชิญท่านอ๋องกลับไปได้ เปิ่นกงอยากจะพักผ่อนแล้ว”
แต่ละคำที่พูดออกมาล้วนกัดฟันเค้นเสียง เหมือนพยายามสะกดโทสะอย่างเต็มที่
มู่หรงอวี้หัวเราะชั่วร้ายออกมาเบาๆ “เตี้ยนเซี่ยอย่าเพิ่งกริ้วสิ หมอหลวงปกติรักษาาแภายในของเตี้ยนเซี่ยไม่ได้หรอก มีเพียงวิชาเฉพาะทางของเปิ่นหวางกับกำลังภายในถึงจะสามารถรักษาได้”
เห็นท่าทางงอแงโมโหของนาง เขากลับยิ่งมีความสุข
ใช่! นี่คือการงอแง!
ต่อให้เปิ่นกงตายก็ไม่ยอมให้เ้ามารักษาหรอก!
แต่มู่หรงฉือสุดท้ายก็ไม่ได้พูดประโยควู่วามนี้ออกมา แล้วกัดฟันพูดต่อไป “เช่นนั้นจะรักษาอย่างไร? วิธีเฉพาะทางนี้คืออย่างไร?”
เขาลากนางมานั่งลงบนเตียง นางขัดไม่ได้จึงนั่งหันหลังให้เขา สองมือกอดอกแน่น บนหลังมือมีเส้นเืสีเขียวนูนขึ้นมาชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางควบคุมโทสะของตัวเองเอาไว้มากเพียงใด
นิ้วมือเรียวยาวของมู่หรงอวี้เคลื่อนวนไปมา ก่อนจะจิ้มไปที่หลังของนาง จากนั้นฝ่ามือก็กดลงไปยังกลางแผ่นหลังของนาง กำลังภายในหลั่งไหลเข้าสู่อวัยวะภายในของนางอย่างสม่ำเสมอ
นางรู้สึกสบายไปทั้งตัว ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ก็หายไปแล้ว
มู่หรงอวี้สมควรตายทำให้อวัยวะภายในของนางาเ็จริงๆ เสียด้วย!
ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา นางรู้สึกได้ว่ากำลังภายในของเขาเสาะหาไปทั่วทั้งเส้นลมปราณของนาง พยายามหลอกล่อให้กำลังภายในที่ซ่อนอยู่ของนางเผยตัวออกมา
ั์ตาของเขาดำสนิทจนไร้ก้นบึ้ง ริมฝีปากยกยิ้มอย่างสนใจระคนขบขัน นางยังคงไม่อยากจะเปิดเผยตนเอง
ไม่นานเขาก็เก็บฝ่ามือกลับไป ลุกขึ้นไปนั่งตรงหน้าโต๊ะหนังสือ แล้วรินชาดื่ม
มู่หรงฉือแอบโคจรกำลังภายใน ตรวจสอบอวัยวะภายในกับเส้นลมปราณทุกจุด เมื่อไม่พบอะไรแปลกๆ นางถึงได้วางใจลง
“เตี้ยนเซี่ยวางใจเถิด อาการาเ็ภายในของเตี้ยนเซี่ยได้รับการรักษาแล้ว” มู่หรงอวี้พูดเสียงใส
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ ท่านอ๋อง…ยังมีเื่อื่นอีกหรือไม่?” ที่นางอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ หากไม่มีธุระอะไรแล้ว ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?
“วันนี้ที่ข้างตำหนักชิงหยวน เปิ่นหวางรักษาอาการาเ็ให้เตี้ยนเซี่ยเพียงครึ่งเดียว เมื่อครู่มารักษาอีกครั้ง เตี้ยนเซี่ยก็หายดีทั้งหมดแล้ว” เขาวางถ้วยชาลงอย่างสง่างาม ใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
นางเข้าใจในทันที สองมือกดลงไปที่โต๊ะด้วยความโมโห “เหตุใดท่านจะต้องโกหกเปิ่นกงด้วย?”
คิ้วเรียวของเขาเลิกขึ้น “ไม่อย่างนั้นแล้วเตี้ยนเซี่ยจะยอมให้เปิ่นหวางรักษาหรือ?”
มู่หรงฉือโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง เขาทำเพื่อนางจริงๆ หรือ?
ครั้งนี้เขาไม่ได้ลงมืออะไร? มู่หรงอวี้จอมเ้าเล่ห์ผู้นี้จะเชื่อถือได้จริงหรือ?
“การตายของจ้าวผินไม่จำเป็ต้องตรวจสอบแล้ว” คำพูดของมู่หรงอวี้พูดออกมาเรียบๆ ตัดจบแค่นั้น ไม่ยอมให้คนอื่นต่อต้าน
“เพราะเหตุใด?” หัวใจของนางกระตุก ถลึงตาใส่เขา
“ไม่มีเพราะเหตุใด อีกอย่างเ้าเองก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเปิ่นกงจะตรวจสอบอะไรไม่ได้?” น้ำเสียงของมู่หรงฉือเต็มไปด้วยการเหน็บแหนม “หรือว่าท่านกังวลว่าเปิ่นกงจะตรวจสอบพบอะไรที่ไม่ควรพบเข้าหรือ…”
นางจงใจลากเสียงยาว ทว่าใบหน้าของเขานิ่งเรียบเหมือนทะเลสาบ แสร้งทำเป็ไม่รู้เื่
เขาจ้องนาง ั์ตามีแสงวาบผ่านไป “จ้าวผินตายไปไม่มีอะไรน่าเสียดาย มีอะไรให้น่าตรวจสอบ? หากเตี้ยนเซี่ยอยากจะบริหารแคว้น ก็ต้องตั้งใจศึกษาเรียนรู้ว่าจะปกครองแคว้นอย่างไร”
จะใช้การปกครองด้วยตัวเองมาล่อเปิ่นกงอย่างนั้นหรือ? เป็แผนการทำเื่ไม่ดีของเขาก็เท่านั้น
มู่หรงฉือเลิกคิ้ว “ถึงแม้ท่านอ๋องจะกุมอำนาจในราชสำนัก ทำงานอยู่เพียงคนเดียว แต่ว่าเปิ่นกงคือองค์รัชทายาท ไม่มีความจำเป็ที่จะต้องฟังคำสั่งท่านที่เป็ท่านอ๋องผู้ว่าราชการแทน”
“เตี้ยนเซี่ยอยากจะตรวจสอบ เช่นนั้นก็ตรวจสอบให้ดีๆ เปิ่นหวางรอคอยการไขคดีที่น่าสนุกของเตี้ยนเซี่ยอยู่”
มู่หรงอวี้ลุกขึ้น มองมาที่นางอยู่นานก่อนจะสะบัดแขนเสื้อจากไป
นางตกตะลึง จากนั้นเมื่อแน่ใจว่าเขาไปแล้วถึงได้กลับไปนอน
…
ค่ำคืนในฤดูร้อนราวถูกย้อมสีด้วยหมึก สายลมอ่อนๆ ไม่อาจพัดพาเอาเื่แปลกๆ ที่ค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมไปไม่ได้
ภายในเรือนมืดสนิทในเมืองหลังหนึ่ง ในห้องนอนด้านหลังเรือนมีแสงส่องสลัวออกมา
ตะเกียงตรงมุมห้องส่องแสงสลัวๆ บุรุษสวมชุดแพรสีเทาทั้งตัวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มือทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ บรรยากาศเยือกเย็นโอบล้อมอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิด
กริก เสียงดังขึ้น มีคนเข้ามา
ผู้ที่เข้ามาเป็ชายฉกรรจ์สวมชุดดำคนหนึ่ง เขาโค้งตัวประสานมือคำนับ “นายท่าน นางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว คงจะไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรออกไป”
“ถือว่านางฉลาด ไม่เช่นนั้นข้าจะไปขุดกระดูกรุ่ยหวางออกมา” เสียงของบุรุษที่ยืนตรงหน้าต่างเย็นเยียบ
“นางลอบสังหารฮ่องเต้เป่ยเยี่ยน ทำลายแผนการของพวกเรา ถือว่าตายไปเสียก็เหมาะสมแล้ว องค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาคงจะตรวจสอบไม่พบอะไร”
“ต่อให้องค์รัชทายาทตำหนักบูรพาจะฉลาดแค่ไหนก็ตรวจสอบไม่พบ! นางตายไปแล้ว คดีนี้ก็จบเพียงเท่านี้”
“ขอรับ นายท่าน ต่อไปพวกเราควรจะทำอย่างไรดีขอรับ?”
“เพลงนั้นจะเผยแพร่อยู่ในเมืองหลวงไปอีกสักพัก อย่าเพิ่งให้ทหารเคลื่อนไหว เชื่อว่าข่าวลือพวกนี้จะเพียงพอให้มู่หรงอวี้ปวดหัวได้”
“่นี้จวนอวี้หวางไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ” บุรุษชุดดำพูดอย่างไม่เข้าใจ “จวนอวี้หวางตรวจสอบแคว้นเจียหลันอยู่ตลอดอย่างไม่มีหยุดพัก พวกเราคิดหาวิธีหยุดยั้งดีหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่จำเป็ พวกเราตรวจสอบไม่ได้อะไร เขาเองก็ตรวจสอบไม่ได้ เพียงแค่ลงมือไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น” เสียงของชายที่สวมชุดแพรพูดเสียงทุ้มต่ำเยือกเย็น “ตามตรวจสอบแคว้นเจียหลันไม่ใช่เื่ที่ทำครู่เดียวก็จะสำเร็จ แต่ว่าข้าเชื่อ มู่หรงอวี้ไม่มีทางมีเวลาไปตรวจสอบมากมายนักหรอก”
“ขอรับ”
ค่ำคืนนี้ยิ่งลึกลับขึ้นแล้ว
…
มู่หรงฉือนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหารรอเสิ่นจือเหยียนทำอาหารชนิดใหม่ นางหิวจนหน้าอกแทบจะติดกับแผ่นหลังแล้ว ดื่มชาไปหนึ่งถ้วย ไปห้องน้ำมารอบหนึ่ง อาหารแบบใหม่ของเขาก็ยังทำไม่เสร็จ
ฉินรั่วคาดเดา “ใต้เท้าเสิ่นครั้งนี้คงจะไม่ได้ทำพังใช่หรือไม่เพคะ?”
หรูอี้พูดเสนอขึ้นมา “เตี้ยนเซี่ย มิสู้ทานขนมสองชิ้นรองท้องก่อนเถิด”
มู่หรงฉือหิวจนทนไม่ไหวแล้ว นางหยิบขนมเปี๊ยะถั่วเขียวขึ้นมาหนึ่งชิ้น ในตอนที่กำลังจะเอาเข้าปาก ด้านนอกตำหนักก็มีเสียงะโมาแต่ไกล “มาแล้ว มาแล้ว”
พริบตาต่อมา เสิ่นจือเหยียนก็ยกถาดอาหารเข้ามาอย่างรีบร้อน ครั้นมองสำรวจเขาอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อ เสื้อสีขาวเปื้อนไปด้วยสีขี้เถ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ใบหน้าเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยิ้มเหมือนกับพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ
ทันทีที่วางถาดไม้ลง พวกนางก็ยื่นคอมาดู จ้องกับข้าวแบบใหม่สองจานใหญ่
“หอมเหลือเกิน”
มู่หรงฉือ ฉินรั่วกับหรูอี้ต่างพูดออกมาเป็เสียงเดียวกัน ดวงตาระยิบระยับ น้ำลายจะไหล
ภายในถ้วยกระเบื้องเคลือบมีบางอย่างเป็สีขาวเกล็ดหิมะใสๆ เรียงอยู่เป็แผ่นๆ จัดมาพร้อมกับผักกาดเขียว ผักชี โรยด้วยต้นหอม พริกป่นสีแดง สีสันเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วน่าทานมาก กลิ่นหอมของเครื่องปรุงกรุ่นกลิ่นหอมของปลาโชยมา ทำให้รู้สึกอยากจะเอานิ้วไปจิ้มมาชิม
“นี่คืออะไร? ปลาหรือ?” มู่หรงฉือถามอย่างอยากรู้อยากเห็น ยกชามข้าวกับตะเกียบขึ้นมาพร้อมจะกิน
“นี่คือเนื้อปลาตุ๋น เตี้ยนเซี่ยเชิญทานได้อย่างสบายใจ เนื้อปลากระพงขาวนี่ไม่มีก้าง” เสิ่นจือเหยียนยกข้าวสวยขึ้น เตรียมตัวกิน “ฉินรั่ว หรูอี้ พวกเ้าเองก็มากินด้วยกัน วันนี้ข้าทำมาสองถ้วย พวกเ้ากินได้พอดี”
ฉินรั่วกับหรูอี้ที่ได้กลิ่นหอมของปลาน้ำลายไหลกันมานานแล้ว แต่บ่าวรับใช้ไม่สามารถทานอาหารร่วมกับเ้านายได้ ดังนั้นพวกนางจึงโบกมือปฏิเสธ
มู่หรงฉือยิ้มเอ่ย “ไม่เป็ไร วันนี้อนุญาตให้พวกเ้าลองชิมอาหารใหม่ของจือเหยียน”
ในเมื่อเตี้ยนเซี่ยอนุญาตแล้ว พวกนางก็คว้าตะเกียบหยิบถ้วยด้วยความดีใจ ก่อนจะนั่งลงทานด้วยกัน
เนื้อปลาหั่นออกมาได้บางเฉียบ เป็แผ่นๆ เหมือนกลีบดอกไม้ ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็จะแตกออก มู่หรงฉือคีบเนื้อปลาเข้าปากอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆ กลืนลงไป…
อร่อยจริงๆ!
ไม่เคยกินเนื้อปลาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!
“เตี้ยนเซี่ย รสชาติเป็อย่างไรบ้าง?” เสิ่นจือเหยียนถามอย่างดีใจทั้งยังเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ยอดเยี่ยมคำเดียวเลย!” นางรีบทานเข้าไปอีกคำ “กลิ่นคาวปลาน้อยมาก เนื้อปลาหอมนุ่ม เข้าปากไปก็ละลาย เนื้อปลานุ่มนวลเข้ากับเครื่องปรุงอย่างยอดเยี่ยม…สรุปแล้วคือยอดเยี่ยมมาก!”
ฉินรั่วกับหรูอี้หลังจากทานเข้าไปแล้วก็ชมไม่หยุดปาก “อร่อยเหลือเกินเ้าค่ะ!”
ดังนั้น ทั้งสามคนก็พากันจัดการเนื้อปลาสองถ้วย อาหารจากโรงครัวที่วางอยู่ข้างๆ ถูกหมางเมินไม่มีใครสนใจ
อาหารของโรงครัวที่ถือว่าเป็อาหารชั้นเลิศได้แต่ทำหน้าตาหมดอาลัยตายยาก น้ำตาไหลนอง เหตุใดถึงได้รังเกียจพวกเราเสียแล้วเล่า?
เห็นพวกองค์รัชทายาทชมไม่ขาดปาก เสิ่นจือเหยียนก็หัวเราะอย่างได้ใจ จู่ๆ ก็หยุดทานอาหาร เริ่มพูดเจื้อยแจ้ว “เตี้ยนเซี่ยรู้หรือไม่ นี่คือปลากระพงในแม่น้ำ ไม่มีก้าง เหมาะกับการเอามาทำปลาชิ้นมากที่สุด ข้าใช้มีดแหลมมาแล่เนื้อเป็ชิ้นๆ เ้านี่ทำให้ข้าคิดถึงครั้งหนึ่งที่ได้ผ่าศพ…”
มู่หรงฉือ ฉินรั่วและหรูอี้เมินการแนะนำของเขาในทันที เปลี่ยนมาเป็คนหูตึง แล้วตั้งอกตั้งใจทานอาหารตรงหน้า
เขาไม่ได้รู้เลยว่าพวกนางได้ดึงสมาธิออกไปแล้ว ยังคงพูดต่อไปไม่หยุดหย่อน พูดจนฟ้ามืดไม่เห็นแสงอาทิตย์
จนสุดท้าย ฉินรั่วทนไม่ไหวอีกต่อไป หยิบขนมถั่วเขียวชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากเขา
เสิ่นจือเหยียนถึงได้สติกลับมา ก้มหน้ามอง เอ่อ…ปลาตุ๋นสองถ้วยหมดเกลี้ยงแล้ว แม้แต่น้ำแกงก็ไม่เหลือสักหยด
“แล้วข้าจะกินอะไรเล่า?” เขาเบิกตากว้างอย่างใ อาหารที่โรงครัวส่งมาก็ถูกทานจนหมดแล้วเช่นกัน
“เอิ๊ก…” มู่หรงฉืออิ่มจนเรอออกมา ยิ้มตาหยีแล้วพูด “จือเหยียน ถ้าเ้าไม่อยากทานขนมไส้ถั่วเขียวพวกนี้รองท้องแล้วรอกลับไปทานที่จวน ก็ไปเอาอาหารที่โรงครัวมาเพิ่มอีกสิ”
“อ้อ” เสิ่นจือเหยียนหยิบขนมไส้ถั่วเขียวขึ้นมากัด
หรูอี้เก็บถ้วยชามอย่างรวดเร็ว ฉินรั่วยกน้ำชามาให้ถ้วยหนึ่ง มู่หรงฉือรับไปดื่ม
เสิ่นจือเหยียนดมๆ เสื้อของตน เสื้อสีขาวไม่เพียงสกปรกแต่ยังมีกลิ่นควันกับเหม็นกลิ่นเหงื่อในโรงครัว เขาขมวดคิ้วแล้วพูด “เตี้ยนเซี่ย เสื้อของกระหม่อมสกปรกแล้ว ขอไปเปลี่ยนชุดที่เรือนด้านข้างก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินรั่วสั่งให้นางกำนัลคนหนึ่งพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนด้านข้าง โชคดีที่เขามาตำหนักบูรพาบ่อย ตำหนักบูรพาจึงเตรียมเสื้อผ้าให้เขาเอาไว้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เผื่อจำเป็ต้องใช้
มู่หรงฉือทานเซียงกวา[1]ที่นำไปแช่เย็นมาแล้วพลางคิดถึงท่าทางหลังจากตายของจ้าวผินไปด้วย นางกำนัลถือพัดคอยโบกให้เตี้ยนเซี่ย
ฉินรั่วรีบสาวเท้าเดินเข้ามาก่อนจะรายงาน “เตี้ยนเซี่ยเพคะ มีนางกำนัลมารายงานว่า หยวนชิวเสียชีวิตแล้วเพคะ”
มือที่กำลังจะหยิบเซียงกวา พอได้ยินประโยคนี้ก็แข็งค้างกลางอากาศ
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็หดมือกลับแล้วถามด้วยแววตาสงสัย “ตายได้อย่างไร?”
“นางกำนัลบอกว่าศพของหยวนชิวถูกพบในถังอาบน้ำเพคะ” ฉินรั่วตอบ
“ไปดูกันเถิด” มู่หรงฉือตัดสินใจทันที
ก่อนหน้านี้นางสั่งให้คนจับตาดูความเคลื่อนไหวของหยวนชิวกับหยวนฟาง ในที่สุดก็มีผลออกมา
หลังจากเสิ่นจือเหยียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จกลับมาก็ได้รู้ว่าหยวนชิวตายแล้ว จึงตามนางไปดูที่พักของหยวนชิว
หลังจากจ้าวผินตายไป นางกำนัลของตำหนักจิ่งฝูส่วนมากได้ถูกโยกย้ายตำแหน่งงานใหม่โดยกรมข้าหลวง หยวนฟางถูกส่งไปยังสำนักลิ่วชาง หยวนชิงไปที่เรือนจิปาถะ
ข้าหลวงที่ทำความผิดหรือทำให้เ้านายโกรธ ส่วนมากจะถูกเ้านายส่งมาทำงานที่เรือนจิปาถะ เรือนจิปาถะกับโรงซักผ้านั้นเหมือนกัน ล้วนเป็ที่ทำงานหนัก ทำงานั้แ่เช้าจรดเย็น ไม่เพียงแต่จะทำงานหนัก อาหารการกินยังย่ำแย่มาก หากเข้าไปที่เรือนจิปาถะหรือโรงซักผ้าแล้วจะไม่มีความหวังที่จะได้ออกไปอีก นอกเสียจากเ้านายจะเอ่ยปาก
เชิงอรรถ
[1] เซียงกวา คือ เมล่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้