ตูมๆ!
เสียงะเิดังออกมาจากหุบเขา ตอนนี้กู่ไห่และพรรคพวก กำลังระดมกำลัง หมายจะทำลายม่านพลังตรงหน้า ทว่า ดูเหมือนมันจะแข็งแกร่งเกินไป ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา ก็ยังไม่อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนแต่อย่างใด
“นายท่าน พวกเราไม่สามารถทำลายม่านพลังนี้ได้จริงๆ มันแข็งแกร่งเกินไป บางทีอาจถูกผนึกไว้โดยผู้าุโกวนฉีจริงๆ ก็เป็ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีที่จะทำลายมัน!” ซ่างกวนเหินกล่าว พลางขมวดคิ้วแน่น
กู่ไห่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย มองดูด้านล่างของม่านพลัง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีบางอย่างอยู่ข้างใน แต่กลับไม่อาจนำออกมาได้... ช่างขัดใจเสียจริง!
ใต้ม่านพลัง คือร่างชายชราตาบอด และหางชีพจรัสีทอง?
“พวกเราลงแรงกันมาขนาดนี้แล้ว จะยอมแพ้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?” เฉินเทียนซานกล่าวอย่างไม่พึงใจ
กู่ไห่หรี่ตาลง ก่อนเผยรอยยิ้มหยัน “อย่าเพิ่งร้อนใจไป เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเราทำลายม่านพลังนี่แล้ว”
...
วันรุ่งขึ้น
เฉินเทียนซานพากลุ่มอาชญากรเดินออกจากค่ายกลอีกครั้ง เห็นเช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนจึงมองตามอย่างไม่วางตา ใบหน้าของพวกเขาปรากฏความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ในยามนี้ มีเพียงกองกำลังคนโฉดของกู่ไห่เท่านั้น ที่ดูจะผ่อนคลายกว่าใคร
หลังเดินออกมา เฉินเทียนซานก็กวาดสายตาเย็นเยียบไปรอบๆ ก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มเยาะหยัน “แขวนไว้เสีย!”
“ขอรับ!”
กลุ่มนักโทษแขวนป้ายอย่างรวดเร็ว
‘ผู้บุกรุกค่ายกล มีโทษถึงตาย!’
เมื่อป้ายแขวนขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนที่ได้อ่าน ต่างเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง
“ช่างเป็ประโยคที่หยิ่งยโสเสียจริง!”
“ฮึ่ม! กู่ไห่อยากเป็ศัตรูกับพวกเราจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
“น่าขันนัก! มีกำลังคนเพียงหยิบมือ เทียบพวกเราไม่ได้สักนิด”
“กรอด!”
ผู้ฝึกตนที่อยู่รายรอบ ต่างมองดูแผ่นป้าย ด้วยใบหน้าที่แสดงความเกลียดชัง
...
ที่มุมหนึ่ง
เิไท่กำลังโอบร่างของเฟิงหลิงเอาไว้ พลางมองไปยังแผ่นป้ายโลหะนั่น ก่อนที่ดวงตาจะหรี่ลง อารมณ์เริ่มขุ่นมัว “กู่ไห่ เ้ามิได้ทำอะไรให้ข้าโกรธเคือง ทว่า เพียงขวางทางข้าก็เท่านั้น”
เขาเริ่มร้อนรนแล้ว แต่เฟิงหลิงที่อยู่ในอ้อมแขน กลับนิ่งเฉยไม่สนใจสิ่งรอบตัวแต่อย่างใด
...
อีกด้านหนึ่ง
คุณชายเก้ายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากแน่น ก่อนจะกระอักกระไอ “แค่ก! เหตุใดลั่วเทียนเกอจึงมาไม่ถึงสักที?”
“น่าจะใกล้แล้วขอรับ คุณชายเก้า!” ผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวอย่างนอบน้อม
“เฮอะ!” คุณชายเก้าแค่นเสียงเ็า
...
บนเนินเขาขนาดใหญ่ ในพื้นที่รับรองแขก
บัดนี้ มีชายสองคนกำลังยืนอยู่ คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีทอง และอีกคนสวมชุดคลุมสีเงิน ชายในเสื้อคลุมสีทองนั้นคือ จินเจี่ยว ชายวัยกลางคน ผู้ที่สนทนากับเิไท่ไปก่อนหน้านี้
“พี่ใหญ่ คนของเราใกล้ครบแล้ว ครบสองหมื่นคนเมื่อใด ก็จะบุกเมื่อนั้น” ชายในชุดคลุมสีเงินกล่าวเสียงต่ำ
“อิ๋นเจี่ยว ใจเย็นก่อน หากอยากก่อการสำเร็จ สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำก็คือ ทำลายค่ายกล ข้าต้องจัดการค่ายกลให้ได้” จินเจี่ยวบอก
“แต่ข้าไม่อาจปล่อยให้เนิ่นนานไปมากกว่านี้ หากพลังของกู่ไห่เข้าสู่ระดับหยวนอิงเมื่อใด สถานการณ์จะเปลี่ยนไป ค่ายกลก็ย่อมแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน!” อิ๋นเจี่ยวพูด พลางขมวดคิ้วแน่น
“เย็นนี้ ถือเป็โอกาสทองของเรา!” จินเจี่ยวเอ่ยเสียงต่ำ
“ดี! ข้าจะแจ้งให้ทุกคนทราบ ว่าเรากำลังจะบุกเข้าไปในค่ายกล” อิ๋นเจี่ยวกล่าว
ได้ยินเช่นนั้น จินเจี่ยวก็พยักหน้า
...
วันนี้ บรรยากาศโดยรอบสนามประลอง ดูจะแปลกออกไป
เฉินเทียนซาน คือผู้รับผิดชอบในส่วนของโรงพนัน และสนามประลอง อีกทั้งยังเป็คนจ่ายเงินเพื่อซื้อข่าวสารจากภายนอกเช่นกัน
จินเจี่ยวและอิ๋นเจี่ยว รวบรวมกำลังพลได้มากถึงสองหมื่นคน ไม่บอกก็รู้ ว่าคงจะจ่ายเงินจ้างคนเ่าั้มา
หลังเที่ยงวัน เฉินเทียนซานออกมาพบกับผู้ฝึกตน ที่ขายข่าวให้พวกเขาอีกครั้ง
“จินเจี่ยวและอวื๋นเจี่ยว ได้จัดเตรียมกำลังพลสองหมื่นนายไว้พร้อมแล้ว อย่างนั้นหรือ?” ได้ยินแบบนี้ ท่าทีของเฉินเทียนซานก็เปลี่ยนไปพลัน
“ใช่แล้ว! ได้ยินมาว่า ่เย็นวันนี้จะเริ่มทำลายค่ายกล เอาละ... ข้าก็รู้มาแค่นี้ อย่าต่อว่ากันเลย!” ผู้ฝึกตนคนนั้นกล่าวขึ้น พลางรับหินิญญาจากอีกฝ่าย ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา
เฉินเทียนซานเริ่มเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที
....
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“นายท่าน สถานการณ์ในยามนี้ไม่ปกติเท่าใดนัก เหล่าผู้ฝึกตนเริ่มกระจายกำลังเป็หลายสาย”
“ใช่แล้ว! ดูเหมือนพวกเขาได้เตรียมการบางอย่าง แต่กลับพากันมุ่งหน้าไปยังทิศทางอื่น?”
“พวกเรากำลังถูกจับตามอง!”
สีหน้าของเหล่าอาชญากรเริ่มไม่สู้ดี
เฉินเทียนซานมองดูสนามประลอง ก่อนหันกลับไปยังกลุ่มคนใต้อาณัติ แล้วเอ่ยขึ้น “เอาละ! ทำตามคำสั่งของนายท่าน ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราจะต้องสู้กับศัตรูในค่ายกลใหญ่!”
“ขอรับ!”
พวกเขาจัดการกับคนของพรรคต้าเฟิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเดินตามผู้บัญชาการเหล่าทัพไปยังค่ายกลั์
“จะเริ่มได้หรือยัง?” เิไท่ที่โอบร่างเฟิงหลิงอยู่ กล่าวขึ้นเสียงเรียบ พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
เมื่อเฉินเทียนซานและพวก ถอยกลับไปยังค่ายกลใหญ่ ผู้ฝึกตนทั้งหลายก็ปราดเข้าห้อมล้อมพวกเขา
“มันกำลังจะกลับเข้าไปในค่ายกลแล้ว เข้าค่ายกลไปพร้อมพวกมันเลย!” จินเจี่ยวะโ พลางถลึงตา
ระหว่างทาง เฉินเทียนซานและเหล่าสมุน จดจ้องสายตาวาวโรจน์ ไปยังกลุ่มผู้ฝึกตน ที่รายล้อมพวกตนอย่างไม่วางตา
เมื่อกลุ่มของเฉินเทียนซานมาถึงทางเข้าค่ายกล ผู้ฝึกตนทั้งสี่ด้าน ก็เริ่มชักกระบี่ออกมา เตรียมรับคำสั่ง
เฉินเทียนซานสังเกตดู พบว่ารอบกายของจินเจี่ยวและอิ๋นเจี่ยว มีผู้ฝึกตนมากถึงห้าพันคน คอยปกป้องทั้งสองอยู่
“ทุกท่าน!” ทันใดนั้น เฉินเทียนซานก็ะโเสียงดัง
“หืม?” จินเจี่ยวหรี่ตามองอีกฝ่าย ด้วยความสงสัย
“เห็นป้ายนี่หรือไม่?” เฉินเทียนซานชี้ป้าย ที่พวกตนนำมาแขวนเอาไว้เมื่อเช้านี้
“นี่คือสิ่งที่นายท่านได้ให้ข้าแขวนเอาไว้ เพื่อย้ำเตือนทุกคน พวกท่านคงจะอ่านออกกระมัง... ผู้บุกรุกค่ายกล มีโทษถึงตาย!” เฉินเทียนซานประกาศเสียงดัง
“รนหาที่!” อิ๋นเจี่ยวเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะฟันดาบใส่เฉินเทียนซาน
“เข้าค่ายกล!” เฉินเทียนซานร้องสั่ง
“ขอรับ!”
อาชญากรหลายร้อยคน เดินตามเข้าไปในค่ายกลใหญ่ทันที
ฉึกๆ!
ดาบที่ฟาดฟันลงไป ตัดได้เพียงอากาศธาตุ
“ทำลายค่ายกลให้สิ้นซาก แล้วบุกเข้าไป!” จินเจี่ยวะโสั่ง
“ได้!” ผู้ฝึกตนกว่าห้าพันคน ขานรับเสียงดัง ก่อนทะยานร่างตามจินเจี่ยวและอิ๋นเจี่ยว ไล่ตามเฉินเทียนซานเข้าไปในค่ายกล
ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนอีกหลายพันคนจากทั่วสารทิศ ก็บุกเข้ามาโดยพร้อมเพรียง
“เฉินเทียนซาน หยุดเดี๋ยวนี้!” อิ๋นเจี่ยวร้องะโ ก่อนเหาะเข้าไปในค่ายกลั์
ตูมๆๆ!
ผู้ฝึกตนสองหมื่นคน พลันรวมพลัง บุกเข้าสู่ค่ายกลเมฆหมอกของกู่ไห่ในเวลาเดียวกัน
ตึงๆๆ!
กองกำลังคนโฉดที่ถอยเข้าไปในค่ายกลใหญ่ ปะทะเข้ากับคมดาบของผู้ฝึกตนที่ไล่ตามมาติดๆ...
... ตราบใดที่มีพลังระดับหยวนอิง ก็ไม่จำเป็ต้องเกรงกลัวสิ่งใด
“ฮึ่ม!”
ทันใดนั้น รอบด้านพลันขาวโพลน เมื่อผู้ฝึกตนทั้งสองหมื่นคนเข้ามาด้านในอย่างพร้อมเพรียง
“เฉินเทียนซาน ข้ายังนึกไม่ออกว่ากู่ไห่จะช่วยเ้าได้อย่างไร!” อิ๋นเจี่ยวะโ ก่อนจะฟาดดาบใหญ่ลงไปอีกครั้ง
บัดนี้ ในมือเฉินเทียนซานถือหินิญญาเม็ดหนึ่ง รูปร่างเหมือนหมากล้อม
ฉึกๆ!
พลัน หมอกสีขาวก็ปะทุขึ้น กลายเป็กระบี่ชี่ พุ่งเข้าใส่คลื่นกระบี่
ตูม!
เมื่อพลังทั้งสองปะทะกัน ก็แตกสลายไป
“อะไรน่ะ?” ท่าทีของอิ๋นเจี่ยวเปลี่ยนไปทันควัน
“ข้าติดป้ายเตือนแล้ว ว่าผู้บุกรุกค่ายกล มีโทษถึงตาย! แต่ในเมื่อพวกเ้าอยากรนหาที่กันนัก ก็จงจะอย่ากล่าวโทษข้าก็แล้วกัน กลกระบี่์โจมตี!” เสียงของกู่ไห่ดังก้องไปทั้งค่ายกล
ทั่วบริเวณค่ายกล เหล่าผู้ฝึกตนเริ่มเกิดอาการไม่สู้ดีนัก รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
“ศิษย์พี่ ดูสิ! อาชญากรผู้นั้นกำลังเดินมาทางพวกเรา”
“เหตุใดกระบี่์จึงลอยอยู่เหนือศีรษะเขา?”
“อา? เขาสามารถควบคุมกระบี่์ได้อย่างนั้นหรือ?”
“แย่แล้ว! นั่นคือกระบี่ที่เคยฟาดฟันใส่พวกเราในครานั้น”
“หยุดนะ!”
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่นทั่วค่ายกล บนพื้นกลายเป็ร่องลึกขนาดใหญ่ ทันทีที่หนึ่งในกลุ่มนักโทษฟันกระบี่ออกไป แล้วร่างของผู้ฝึกตนผู้โชคร้าย ก็แบ่งออกเป็สองซีกทันที
อาชญากรแต่ละคน ถือหินิญญารูปหมากล้อมเอาไว้เม็ดหนึ่ง พลางใช้นิ้วก้อยควบคุม บังคับทิศทางของกระบี่์ได้ตามใจนึก ด้วยอำนาจที่มีในตอนนี้ พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ
“ฮ่าๆๆ! ช่างเป็กลกระบี่์ที่ทรงพลังเสียจริง พวกเ้ายังอ่อนหัดนัก... ดูสิ! เ้าจะทำลายค่ายกลของนายท่านได้หรือไม่? แน่นอน นายท่านรู้ว่าพวกเ้าจะมีกำลังคนมากกว่า ทว่ากลับไม่เดือดร้อนแต่อย่างใด
ไม่จำเป็ต้องให้นายท่านออกหน้า เพียงนายท่านแบ่งกระบี่นี่ให้พวกเราควบคุมก็พอแล้ว พวกเราสามพันคน หนึ่งคนหนึ่งกระบี่์ นอกเสียจากว่า จะมีพลังระดับหยวนอิง มิเช่นนั้นพลังของกลกระบี่์นี้ก็จะฟันร่างเ้าให้ขาดเป็สองซีก! ฆ่ามัน!” หนึ่งในกลุ่มนักโทษะโขึ้น
ตูม!
ใช้เม็ดหมากหินิญญา ควบคุมกลกระบี่์ตามแต่ใจ เพื่อสังหารผู้คน
“ท่าจะไม่ดีแล้ว ทำลายมันเสีย!”
“ทำลายอย่างนั้นหรือ? ก่อนอื่น เ้าจะต้องป้องกันการโจมตีของกลกระบี่์นี่ให้ได้เสียก่อน!”
ตูม!
“อ๊าก! ไปเร็ว... รีบหนี!”
“รีบหนี... เร็วเข้า!”
ขณะนี้ทั่วทั้งค่ายกลใหญ่ กองกำลังคนโฉดสามพันนาย ต่างถือครองกระบี่์ และตามล่าสังหารฝ่ายตรงข้าม พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว และฆ่าผู้ฝึกตนสองหมื่นคนอย่างไร้ซึ่งความปรานี
ส่วนอีกฝ่าย เมื่อรู้ว่าพวกตนเสียเปรียบ ต่างก็ร้องหาแม่ พลางพยายามหลบหนี เพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่เพราะไม่อาจแยกทิศได้อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อก้าวไปทางไหน ก็เหมือนวิ่งเข้าหาคมกระบี่เสียอย่างนั้น
“พวกเ้าตั้งใจกันหน่อย!”
ยามนี้ เหลือเพียงจินเจี่ยวและอิ๋นเจี่ยวเท่านั้น ที่ขวางทางพวกเขาเอาไว้ แต่เมื่อทั้งสองได้เห็นสภาพชวนน่าสังเวชโดยรอบ พลันมีท่าทีเปลี่ยนไป
และแล้ว เฉินเทียนซานก็นำกลุ่มอาชญากรราวยี่สิบคน ทะยานเข้าหา พลางฟาดฟันกระบี่์ลงมาพร้อมกัน
“ทําลาย!”
ผู้ฝึกตนพลังระดับหยวนอิงทั้งสองต่างร้องลั่น ก่อนจะลอยกระเด็นไปไกล ด้วยแรงโจมตีของกระบี่์
“ถอยไป! อย่าไปสนใจพวกเขา เราจะต้องสังหารคนอื่นให้สิ้น” เฉินเทียนซานสั่งเสียงดัง
“ย๊าก!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักโทษทั้งหลายต่างก็ร้องรับทันที
“จะหนีไปไหน!” อิ๋นเจี่ยวถลึงตา หมายจะไล่ตามไป
“อิ๋นเจี่ยว หยุด! อย่าไล่ตามไป ไร้ประโยชน์ที่จะไล่ล่าพวกมัน ไม่สู้บุกเข้าข้างใน ตอนนี้กู่ไห่น่าจะอยู่คนเดียว” จินเจี่ยวกล่าว
“ได้!” แววตาของอิ๋นเจี่ยวเป็ประกาย
ทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปด้านในค่ายกลใหญ่ทันที
แท้จริงแล้ว ค่ายกลกระบี่์นี้ ไม่อาจต้านทานผู้ฝึกตนในระดับหยวนอิงได้ เพราะบรรดาผู้ที่ใช้หินิญญาควบคุมค่ายกล ล้วนมีพลังไม่ถึงขั้น สองผู้ฝึกตนระดับหยวนอิงจึงรีบรุดไปยังตำหนักเต่าั
ตลอดทาง ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเป็ระยะๆ จากทั่วสารทิศ
สีหน้าของสองผู้ฝึกตนระดับหยวนอิงพลันเปลี่ยนไป
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่ได้วิ่งมาผิดทางใช่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่ถึงตำหนักเต่าัเสียที?”
“หมอกหนาทึบไปหมดเช่นนี้ เราคงไม่ได้หลงทางใช่หรือไม่?”
ทั้งสองแสดงความกังวลใจออกมาบนใบหน้า
“เหาะขึ้น!” จินเจี่ยวเอ่ยขึ้น
ฟึ่บ!
ทั้งสองบินขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่า ภาพตรงหน้ากลับยิ่งทำให้ร้อนรนกว่าเก่า เมื่อทุกอย่างในตอนนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา จนไม่อาจแยกทิศทาง
“พี่ใหญ่?” อิ๋นเจี่ยวเรียกอย่างร้อนรน
“ใช้ต้นไม้ใหญ่ดูทิศ!” จินเจี่ยวะโขึ้น
“ได้!”
สองพี่น้องพยายามคลำหาทาง ไปยังตำหนักเต่าัท่ามกลางค่ายกลเมฆหมอกั์
...
ณ ประตูตำหนักเต่าั
กู่ไห่ในชุดคลุมสีขาว กำลังนั่งอยู่หน้ากระดานหมาก ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ พลางใช้หมากล้อมกระดานนี้ ควบคุมกลไกทั้งหมดของค่ายกล
“อ๊าก! อย่าฆ่าข้า!”
“ช่วยด้วย!”
“อาชญากร?... กลกระบี่์!”
“กลกระบี่์อีกแล้ว... ไม่!”
เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วสารทิศ เมื่อเข้าสู่ค่ายกลใหญ่ ก็มิอาจบอกได้ว่าทิศตะวันออกเฉียงใต้ และทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือด้านไหน
กู่ไห่มิได้ลงมือสังหารผู้ใด แต่กลับส่งนักโทษสามพันคนมาไล่ล่าแทน
พวกเขาทั้งสามพันคน ไม่จำเป็ต้องรู้ทิศทาง ขอแค่เจอผู้บุกรุกก็พอ เห็นก็ฆ่า พบก็สังหาร ราวกับเป็การไล่ล่าที่ต้องแลกด้วยชีวิต
“ข้าเตือนแล้ว แต่มนุษย์มักตายเพราะความโลภ!” กู่ไห่กล่าวเสียงเบา พลางทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
...
นอกจากในค่ายกลใหญ่แล้ว ยังมีเหล่าผู้ฝึกตนอีกหลายคน ที่ไม่ยอมเข้าร่วมการบุกทลายค่ายกลในครานี้ ตามคำเชิญชวนของจินเจี่ยว
เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากค่ายกล พวกเขาต่างก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่น
“ผู้ที่เข้าไปในค่ายกล จะต้องตายทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?”
“กู่ไห่จะสังหารผู้บุกรุกทั้งหมดจริงๆ หรือ?”
ผู้คนที่ยืนดูอยู่ด้านนอก ต่างมีสีหน้าหวาดผวาหาใดเปรียบ นึกดีใจที่มิได้เข้าร่วมกับจินเจี่ยวและอิ๋นเจี่ยว
นอกค่ายกลั์ ตัวอักษรหลายคำบนป้ายเตือนแผ่นนั้น ที่ก่อนหน้านี้ดูราวกับเป็เื่ชวนขัน แต่ตอนนี้กลับน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
‘ผู้บุกรุกค่ายกล มีโทษถึงตาย!’
คนนอกที่ยืนดูสถานการณ์ตรงหน้า ต่างรู้สึกยินดีกันยกใหญ่ที่ตนมิได้เข้าร่วม แต่ผู้ฝึกตนในค่ายกลกลับรู้สึกสิ้นหวัง กู่ไห่กล้าดีอย่างไร? เขากล้าสังหารทุกคนจริงหรือ? ไม่กลัวที่จะต้องเป็ศัตรูกับสำนักใหญ่ๆ ในทะเลพันเกาะเลยหรือ?
...
นอกสนามประลอง
เิไท่โอบร่างของเฟิงหลิง พลางมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาที่สั่นไหว เต็มไปด้วยความโกรธเคือง
...
อีกด้านหนึ่ง
คุณชายเก้ากำลังนั่งพักอยู่ที่โต๊ะหินอ่อน พลางดื่มชาอย่างผ่อนคลาย และทอดมองค่ายกลใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอย่างเงียบๆ
“แค่กๆๆ! ข้าไม่ได้ออกมานานหลายปี ผู้ฝึกตนเ่าั้ช่างโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? กับค่ายกลที่ตนไม่เข้าใจกลไกใดๆ ก็กล้าบุกเข้าไปตามใจชอบ? แค่รวบรวมกำลังคนให้มาก ก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ? หาคนได้มาก ก็ยิ่งมีคนตายเพิ่ม” คุณชายเก้ากล่าวเสียงแ่ ก่อนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาจับจ้องไปยังค่ายกลใหญ่ ที่ตอนนี้มีเสียงร้องโหยหวนอย่างเ็ป ดังขึ้นมาเป็ระยะๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้