เล่มที่ 8 บทที่ 240 เจดีย์หกชั้น
และแล้วก็เป็อย่างที่คิดไว้ ขณะที่พุ่งชนครั้งที่เจ็ด กำแพงพิภพก็เริ่มมีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้น แถมยังมีเปลวไฟจำนวนมากพวยพุ่งออกมา เปลวไฟเหล่านี้ร้อนแรงมาก เพียงเสี้ยววินาทีก็พวยพุ่งออกมาย้อมช่องว่างระหว่างมิติจนเป็สีแดงเพลิงทันที
“พิภพเหยียนหยาง!”
หลินเฟยอุทานออกมาทันที คิดไม่ถึงเลยว่าพิภพด้านข้างจะเป็พิภพเหยียนหยาง!
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว...
หลินเฟยเหลือบมองสายฟ้าเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนจะบงการกระบี่ทั้งสี่สะบั้นห้วงมิติ จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นจากเหวลึกกลับมาบนพื้นดินตามเดิม
หลังจากขึ้นมาหลินเฟยก็กระอักเืทันที เขารีบเทยาลูกกลอนจำนวนมากออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุนก่อนจะกลืนกินลงไปทันที โดยไม่มีเวลาสนใจว่ายาที่เทออกมามีทั้งหมดกี่เม็ด จากนั้นเ้าตัวก็โคจรพลังเพื่อให้ยาออกฤทธิ์สะกดอาการาเ็ซึ่งเกิดจากแรงกดดันระหว่างพิภพ
ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดหลินเฟยก็ค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆด้วยรอยยิ้มขมขื่น...
‘ครั้งนี้ถือว่าขาดทุนย่อยยับเลยทีเดียว...’
เพราะแรงกดดันระหว่างพิภพรุนแรงเทียบได้กับพลังจากฟ้าดิน ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเอง ก็เกรงว่าจะต้องตายสถานเดียว...
ส่วนหลินเฟยนั้น กลับทนได้อยู่เกือบสามสิบอึดใจ แต่ก็ต้องแลกกับการที่กล่องกระบี่เจิงหนิงและดาวอัปมงคลทั้งสี่ รวมถึงปราณกระบี่ไท่อี๋และซีรื่อบอบช้ำ เกรงว่าจะต้องฟื้นฟูประมาณหนึ่งเดือน กว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้เหมือนเดิม...
ลงทุนไปขนาดนี้ แต่กลับไม่สามารถแตะต้องเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่แม้แต่ปลายนิ้ว...
เมื่อครู่นี้ตอนที่ออกมาจากช่องว่างระหว่างมิติ เหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่กำลังพุ่งชนกำแพงพิภพอยู่ แถมยังพุ่งชนกระทั่งเกิดรอยร้าวแล้วด้วย หากปล่อยไว้เช่นนี้ เกรงว่าอีกไม่นานกำแพงพิภพจะต้องแตกเป็โพรงแน่ เช่นนั้นก็จะไม่เหลือโอกาสจับมันอีกต่อไป...
เพราะว่าพิภพอีกด้านนั้น คือพิภพเหยียนหยาง!
พิภพเหยียนหยางคือพิภพน้อยซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็สถานที่ที่ร้อนระอุที่สุด ต่อให้ไม่ร้อนเท่าดวงอาทิตย์ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าไรนัก แร่เหล็กโลหะจำนวนมากทล้วนหลอมละลายจนกลายเป็ธารวาลา แถมยังมีสะเก็ดไฟมากมายโปรยปรายดั่งสายฝน...
หากเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่หนีไปที่นั่น เกรงว่าหากไม่บรรลุขั้นฟ่าเซิน ก็คงไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้แม้แต่ก้าวเดียว...
‘จริงสิ ยังมีสิ่งนั้นอีก...’
หลังจากก้มมองควันดำในมือก็รู้สึกโมโหขึ้นทันที
‘บัดซบ! ไม่ได้เหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่ แต่กลับได้สิ่งนี้มาแทน...’
‘ช่างเถอะ ยังดีที่มีมนต์สะกดเปล่งแสงสีทองออกมามากมาย จะต้องเป็อาวุธล้ำค่าเป็แน่ ถึงอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำอยู่ด้วย เช่นนั้นก็ลองโคจรพลังดูหน่อยแล้วกัน’ ชั่วขณะที่พลังปราณไหลผ่านเข้าไป ควันดำก็รวมตัวกันจนกลายเป็คัมภีร์โครงกระดูกลอยลงสู่ฝ่ามือของหลินเฟย...
“คัมภีร์งั้นหรือ?” หลินเฟยชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะใช้เคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูหลอมละลายอีกครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยถอดจิตเข้าไปสำรวจด้านใน...
และก็เป็อย่างที่คิดไว้ นี่ก็คือเจดีย์โครงกระดูกสามชั้นนั่นเอง!
ให้ตายเถอะ...
หลินเฟยแทบจะด่ากราดขึ้นมาจริงๆ ก่อนหน้านี้พยายามตามหาคัมภีร์ส่วนที่เหลือให้ตายยังไงก็หาไม่เจอ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจออยู่ที่นี่ได้ พออยากจะจับเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่ ดันกลับได้คัมภีร์โครงกระดูกนี่มาแทน...
หลินเฟยพินิจชั่วครู่ ก่อนจะเรียกเ้าอสุรกายออกมา
“ข้าให้เ้าแล้วกัน”
เ้าอสุรกายเป็หยวนหลิงของคัมภีร์ และคัมภีร์ทั้งสองเล่มล้วนเป็สิ่งเดียวกัน เช่นนั้นเ้าอสุรกายจึงสามารถควบคุมคัมภีร์ทั้งสองเล่มได้ไม่ยาก เพียงบำเพ็ญเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถหลอมรวมคัมภีร์ทั้งสองเล่มเข้าด้วยกัน
แม้จะได้คัมภีร์โครงกระดูกอีกส่วนมา หลินเฟยก็ไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย เพราะเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่กลับจับไม่ได้...
แถมตอนนี้ก็หมดโอกาสแล้วด้วย...
เพราะแรงกดดันระหว่างพิภพรุนแรงมากเกินไป จนไม่อาจต้านทานได้ อย่าว่าแต่ตนเองที่มีขั้นบำเพ็ญเพียงมิ่งหุนเลย ต่อให้บรรลุขั้นจิงตันภายในคืนเดียว ก็เกรงว่าจะอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่การไล่จับเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่เลย
เดิมทีปลาั์ของเวินโหวก็มีพลังไม่เลวเลยทีเดียว...
เพราะมันสืบสายเืมาจากซวีคงเหยา จึงมีพลังหายตัวไปมาได้แต่กำเนิด พอเติบโตเต็มที่ ก็จะสามารถไปทุกที่ได้ตามที่้า...
แต่น่าเสียดายที่เ้าปลาั์มีขั้นบำเพ็ญเพียงเยาเจี้ยงเท่านั้น หากมันบรรลุเป็เยาหวังเมื่อไร ถึงตอนนั้นสายเืซวีคงเหยาก็จะแสดงออกมา ทว่าถึงตอนนั้นอะไรๆก็คงสายไปหมดแล้ว...
เพราะบัดนี้เหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่กำลังพุ่งชนกำแพงพิภพอย่างบ้าคลั่ง ดูท่าแล้วอีกไม่กี่วัน กำแพงพิภพจะต้องแตกออกมาเป็แน่ ถึงตอนนั้นหากมันหนีเข้าไปในพิภพเหยียนหยางละก็ เกรงว่าคงต้องบรรลุขั้นฟ่าเซินก่อนเท่านั้น จึงจะตามเข้าไปจับได้
“ช่างเถอะ หาชิ้นส่วนประตูมิติก่อนแล้วกัน...”
หลินเฟยครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเลิกคิดเื่เหล็กเซียนเหล่ยยวี่ไปก่อน แม้เหล็กเซียนจะสำคัญเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งอื่นทดแทน บนโลกนี้มีแร่โฮ่วเทียนตั้งมากมาย จึงไม่จำเป็ต้องใช้เหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่มาหลอมปราณกระบี่อย่างเดียว
คิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็โคจรพลังเพื่อฟื้นฟูอาการาเ็
ทว่าในขณะที่หลินเฟยกำลังบำเพ็ญปราณกระบี่ทั้งสอง จู่ๆด้านข้างก็มีไอหยินเข้มข้นพวยพุ่งขึ้นมา
เพียงครู่เดียวไอหยินจำนวนมาก ก็รวมตัวกันจนเป็เมฆดำขนาดใหญ่สองก้อน อีกทั้งยังมีสายฟ้าสถิตสว่างวาบออกมาเป็ระยะและอักขระมากมายก็ปรากฏเลือนรางออกมา
หลังจากเมฆดำทั้งสองรวมตัวเข้าด้วยกัน ทุกอย่างก็เริ่มปั่นป่วนขึ้น ครู่เดียวเมฆดำก็เริ่มสลายไป จากนั้นก็มีคัมภีร์เล่มหนึ่งปรากฏออกมา ส่วนคัมภีร์อีกเล่มก็มีอักขระพวยพุ่งและรวมตัวเข้ากับเหล่าไอหยินจำนวนมาก ก่อนจะผสานเข้าไปในคัมภีร์อีกเล่ม
เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น คัมภีร์โครงกระดูกเล่มหนึ่งก็เริ่มแตกสลายลง จากนั้นอักขระมากมายและไอหยินก็พากันะเิออก...
ทันใดนั้นเอง นอกจากลานซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพังที่หลินเฟยกำลังยืนอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแตกสลายกลายเป็ผุยผงจนหมด...
ทว่าพลังะเิอันรุนแรงยังไม่ทันจะจางหาย คัมภีร์ที่เหลืออีกเล่มก็กลายเป็ความมืดมิดปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียก่อน เพียงครู่เดียว มันก็ดูดกลืนไอหยินและอักขระที่แตกออกเข้าไปทันที
หลังจากดูดกลืนเข้าไปแล้ว ทุกอย่างก็พลันกลับมาเงียบสงบเช่นเดิม ก่อนที่คัมภีร์จะค่อยๆลอยลงมา และในตอนนี้ คัมภีร์กลับมีขนาดเท่าเดิม ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก แต่บนคัมภีร์กลับมีอักขระมากมายปรากฏขึ้นมา แถมยังมีไอหยินปกคลุมอยู่อีกด้วย ส่วนโครงกระดูกที่ขนาบข้างคัมภีร์ก็แปรเปลี่ยนเป็สีขาวนวลราวกับหยกมันแพะ
“เป็อย่างไรล่ะ?” เ้าอสุรกายรีบแสดงตัวออกมาด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ
“ข้าหลอมรวมคัมภีร์ทั้งสองเล่มเข้าด้วยกันแล้ว!”
“หื้อ?” หลินเฟยเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ถึงขนาดต้องประเมินความสามารถเ้าอสุรกายใหม่อีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเ้านี่จะสามารถหลอมคัมภีร์ทั้งสองเล่มเข้าด้วยกันได้...
หากเป็เวลาปกติ ถ้าคิดจะหลอมคัมภีร์ทั้งสองเล่มเข้าด้วยกัน อย่างน้อยก็ต้องหลอมละลายคัมภีร์ทั้งคู่ให้หมดเสียก่อน จากนั้นค่อยหลอมมนต์สะกดที่มีเข้าด้วยกัน ซึ่งจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเลย...
“ไม่เลวนี่...” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยชม ซึ่งไม่ได้ทำให้เห็นบ่อยๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------