คำพูดของเจิ้งไทเฮานั้น ชัดเจนว่าเป็พูดจาเหน็บแนมพวกมู่อวิ๋นจิ่นและเหยียนหลิงซางอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้พวกนางรู้สึกว่าเสียหน้าขึ้นมาทันที
“ข้าเพียงแค่เชิญพวกเขามาดื่มและพูดคุยกันก็เท่านั้น เจิ้งไทเฮาก็พูดเกินไปหน่อยแล้ว” ฉินไท่เฟยโต้กลับพร้อมทั้งขยิบตาให้แม่นมชวี ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างของนาง
แม่นมชวีเห็นดังนั้นจึงเดินไปยื่นสุราดอกเหมยให้เจิ้งไทเฮาหนึ่งจอก “องค์ไทเฮาเพคะ นี่เป็สุราชั้นดีที่องค์ไท่เฟยให้คนหมักเอาไว้ ท่านลองดื่มสิเพคะ”
เจิ้งไทเฮาเหลือบมองจอกสุรา ไม่มีทีท่าว่าจะดื่มเลยแม้แต่นิด สายตาเอาจ้องไปยังนจอก แต่สุดท้ายก็เบนสายตามาที่มู่หลิงจูซึ่งนั่งอยู่คนเดียว
“นั่นใช่แม่นางที่ชนะการประชันขันนักอักษรถึงสามครั้งสามครา เป็หญิงสาวที่มีปัญญาเป็เลิศอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรซีหยวน บุตรีคนที่สี่จวนมู่เหลียงเจิ้งนามว่ามู่หลิงจูใช่หรือไม่?” เจิ้งไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงระคนประหลาดใจ หลังจากเห็นว่ามู่หลิงจูถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียว
มู่หลิงจูที่ได้ยินเจิ้งไทเฮากล่าวถึงตนด็รู้สึกว่าความลำบากใจตลอดทั้งวันที่นางเจอมา ยังพอจะมีเื่ให้ได้โล่งใจอยู่บ้าง
ถึงอย่างนั้นก็ทำให้นางรู้สึกอยากจะใกล้ชิดกับเจิ้งไทเฮามากยิ่งขึ้น
“เซียงเซี่ยน เ้าทำแบบนี้ไม่ได้! แม่นางคนนี้ทำคุณความชอบให้กับอาณาจักรซีหยวนของเรา เหตุใดเ้าจึงปล่อยให้นางนั่งอยู่คนเดียวเช่นนั้น” เจิ้งไทเฮาหันไปมอง ริเริ่มทำาย่อมๆ กับฉินไท่เฟย
ฉินไท่เฟยเห็นว่าเจิ้งไทเฮาจงใจเลือกหัวข้อเื่มู่หลิงจู จึงตอบกลับอย่างไม่จริงจัง “ไทเฮาเข้าใจข้าผิดแล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะที่นี่คนไม่เพียงพอหรอกหรือ? หรือท่านจะให้ข้าสั่งให้แม่นมชวีไปนั่งเป็เพื่อนแม่นางมู่ดีหรือไม่?”
“อีกอย่าง อย่ามัวแต่มาต่อปากต่อคำเื่งานขันอักษรอยู่เลย ไม่ใช่ว่าปีนี้ผู้ชนะเปลี่ยนคนแล้วหรอกหรือ? ฉะนั้นแล้วการทำเช่นนี้ถือว่าไม่ได้ผิดอันใดต่อราชสำนักเราหรอก”
ฉินไท่เฟยพูดไม่กี่คำ ทว่ากลับทำให้เจิ้งไทเฮาถึงกับพูดไม่ออก
มู่อวิ๋นจิ่นดื่มด่ำกับของว่างบนโต๊ะ คล้ายจะเมินเฉยต่อเื่ตรงหน้า แต่นางกลับตั้งใจฟังบทสนทนาของหญิงชราทั้งสองเป็อย่างดี โดยเฉพาะหลังจากตอนที่ฉินไท่เฟยเหน็บมู่หลิงจู นางก็แอบเหลือบมองมู่หลิงจู
รอยยิ้มพึงพอใจของมู่อวิ๋นจิ่นในตอนนี้กว้างเสียงจนดวงตาก็ยิ้มตามไปด้วย หากหัวเราะออกมาได้คงจะดีไม่น้อย
ฉู่ลี่มองไปที่ใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มของนาง หัวใจของเขากระตุกวูบขึ้นมา เนื่องจากเขานั้นจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่เบ่งบานราวกับดอกไม้สวยสดใสขนาดนี้มาก่อน
“นั่นคือคุณหนูสามแห่งสกุลมู่ใช่หรือไม่?” เจิ้งไทเฮาเปลี่ยนเป้าหมายไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินว่าไทเฮาเรียกตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนพบว่าไทเฮากำลังมองตัวเองอยู่
หลังจากสบตากับมู่อวิ๋นจิ่น ดวงตาของเจิ้งไทเฮาก็เผยแววดูถูกเหยียดหยาม “เป็ความจริงที่เ้านั้นมีรูปโฉมและผิวพรรณที่งดงาม แต่อย่างไรความสวยงามเพียงอย่างเดียวนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็เื่ที่ดีเท่าไรนัก”
“ถ้าเ้ายังยืนยันที่จะหมั้นหมายนางกับลี่เอ๋อร์ ข้าคิดว่าคงจะเป็ได้เพียงแค่นางสนมก็เท่านั้น”
ในการเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยวาจาของเจิ้งไทเฮา มู่อวิ๋นจิ่นทำราวกับว่าไม่ได้ยินมัน ยังคงสนใจที่จะเพลิดเพลินกับของว่างในมือ และกินทีละคำไปเรื่อยๆ ต่อ
ฉู่ลี่ที่อยู่ข้างๆ มองดูสถานการณ์นี้ด้วยความสนใจ ถ้าเขาไม่เห็นความฉลาดแกมโกงของจิ้งจอกตัวน้อยในวันนั้น การที่เขาเห็นปฏิกิริยาที่ไม่แยแสของนางในขณะนี้ คงจะทำให้เขารู้สึกว่านางเป็เช่นเดียวกับข่าวลือไปแล้ว
“เจิ้งไทเฮาพูดมาช่างไร้เหตุผลไปบ้างแล้ว” ฉินไท่เฟยสวนกลับบ้าง
“การที่หญิงด้อยซึ่งความรู้นั้นเป็เื่สามัญทั่วไป จิ่นเอ๋อร์เกิดมาพร้อมกับรูปโฉมงดงามดุจดั่งท้องนภา เมื่ออยู่กับลี่เอ๋อร์นั่นถือเป็คู่ที่เหมาะสม ดีกว่าผู้หญิงที่รู้แต่วิธีการไปสนามรบ เอาแต่ต่อสู้ และฆ่าฟันกันทั้งวันเสียอีก”
เจิ้งไทเฮากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกครา เพราะวาจาของฉินไท่เฟย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางพูดถึงหญิงที่ไปสนามรบเอาแต่จ้องจะฆ่าฟัน แววตาของนางก็สั่นไหวขึ้นมา
“ท่านย่าทั้งสองเลิกถกเถียงกันเถอะขอรับ มาดื่มสุราให้ชุ่มคอกันดีกว่า” ฉู่ชิงที่เงียบอยู่นานกล่าวพร้อมกับยื่นจอกสุราไปที่ทั้งสองท่าน
เมื่อเห็นว่าฉู่ชิงเปิดประเด็นเช่นนี้ เจิ้งไทเฮาก็ลงจากที่ประทับหยิบจอกสุราขึ้นและจิบไปหนึ่งคำ
หลังจากที่เจิ้งไทเฮาจิบสุราแล้ว นางยังคงไม่สบอารมณ์นักเพราะนางเพิ่งต่อปากต่อคำกับฉินเซียงเซี่ยนสองครั้งสองครา และนางก็ได้ยอมรับความพ่ายแพ้
“วันนี้ถือเป็การพบกันครั้งแรกระหว่างพวกเ้ากับข้า จากนี้ถ้าข้าจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ พวกเ้าก็อย่าได้หักหน้าข้าเลย” ฉินไท่เฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มกับเหล่าผู้เยาว์ ที่อยู่เบื่องล่าง และเมินเฉยต่อเจิ้งไทเฮา
ไม่ทันที่คนอื่นๆ จะได้ตอบอะไร เจิ้งไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะพูดอีกครั้งว่า “ตำหนักของข้าก็มีป่าเมเปิ้ลเช่นกัน เต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลสีแดงสวยตลอดทั้งปี คราวหน้าไม่ลองไปตำหนักข้าดูบ้างเล่า”
“…”
และงานเลี้ยงก็จบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เจิ้งไทเฮามาถึง
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ฉินไท่เฟยก็เดินมาที่ด้านข้างฉู่ลี่ คลี่ยิ้มพูด “ลี่เอ๋อร์ จิ่นเอ๋อร์ไม่คุ้นชินกับในวังนัก เ้าไปส่งนางหน่อยเถิด”
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็เอื้อมมือแตะที่ลำคออย่างไม่รู้ตัว
มู่หลิงจูที่อยู่ถัดไปก็ได้ยินสิ่งที่ฉินไท่เฟยพูด จากนั้นนางก็ก้าวเท้าเดินไปที่มู่อวิ๋นจิ่น ยืนนิ่งครู่หนึ่งพลางมองไปที่ฉู่ลี่ คลี่ยิ้มอ่อนหวานให้ก่อนจะมองกลับมาที่มู่อวิ๋นจิ่น “ท่านพี่ พวกเราไปด้วยกันเถิด”
“คุณหนูสี่สกุลมู่ เ้าพาข้าไปที่สวนทางนั้นหน่อย” เจิ้งไทเฮาที่ลงมาจากที่ประทับเดินมาที่ด้านข้างของมู่หลิงจู พร้อมส่งรอยยิ้มแสดงความเอ็นดูให้กับนาง
มู่หลิงจู่ชะงัก การจะปฏิเสธไทเฮานั้นถือเป็เื่ที่ไม่สมควรอย่างมาก นางทำได้เพียงแค่หันไปหาฉู่ลี่พลางค้อมตัวให้ จากนั้นจึงเดินแยกไปกับเจิ้งไทเฮา
…
หลังจากออกจากสวนดอกเหมย มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่เดินเขียงค้างกัน แต่ทั้งคู่ต่างปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าพอที่จะเป็เอ่ยพูดก่อน
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นออกจากสวนดอกเหมย ก็รู้สึกได้ว่าเงามืดที่อยู่รอบๆ ตัวของฉู่ลี่ก่อนหน้านี้นั้น ก็ปรากฏขึ้นอีกครา
นางไม่รู้ว่าคนๆ นี้กำลังถูกไล่ฆ่าหรือว่าอะไร ทุกครั้งที่ออกมาข้างนอกมักจะมีคนคอยติดตามมาด้วยเสมอ
ทว่าตอนนี้นางต้องแสร้งทำเป็โง่เขลา ทำให้ไม่สามรถถามอะไรออกไปได้
หลังจากออกมาจากตำหนักดอกเหมย มู่อวิ๋นจิ่นอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ นางหยุดฝีเท้าก่อนจะหันไปทางฉู่ลี่และค้อมตัวให้ “เส้นทางออกจากพระราชวังนั้นข้ารู้ดีแล้ว ไม่รบกวนองค์ชายหกไปส่งแล้วเ้าค่ะ”
“ได้” ฉู่ลี่ตอบเสียงเรียบ มองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
มู่อวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มเล็กน้อย ในใจของนางรู้สึกโล่งอกยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันตัวกลับไปอีกทางและสาวเท้าเดินไปทางออกของพระราชวัง
ฉู่ลี่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ทอดมองแผ่นหลังของมู่อวิ๋นจิ่นที่เดินห่างออกไป
ติงเสี่ยนยืนอยู่อีกด้าน มองตามสายตาองค์ชายของตน อดไม่ได้ที่จะเรียก “องค์ชาย ท่านคงจะไม่ได้เกิดความสนใจคุณหนูสามสกุลมู่แล้วหรอกนะขอรับ?”
เมื่อได้ยิน ฉู่ลี่ก็เหลือบมองติงเสี่ยน “ข้าเพียงแค่สงสัย นางจะแกล้งทำเป็ไม่รู้เื่แบบนี้ไปได้อีกสักเท่าไร”
“เ้าตามนางไป ดูแลความปลอดภัยให้กับนางหลังออกจากวังด้วย”
ติงเสี่ยนชะงักไป กระตุกมุมปากเล็กน้อยก่อนจะไปตามทางที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินไป
มู่อวิ๋นจิ่นออกไปจากวังอย่างรวดเร็ว ครั้นออกจากประตูวัง จื่อเซียงที่รออยู่นอกรถม้าก็รีบมาต้อนรับทันที “คุณหนู”
มู่อวิ๋นจิ่นส่งยิ้มให้จื่อเซียง เตรียมตัวจะขึ้นรถม้าของตน
ขณะที่นางกำลังจะขึ้นรถม้า นางก็คิดขึ้นได้ว่ามู่หลิงจูถูกเจิ้งไทเฮาเรียกไปคุย แล้วก็ไม่รู้ว่าจะคุยไปจนถึงเมื่อไร
นางเองก็คงไม่อยู่รอมู่หลิงจู
ดังนั้นนางจึงหยุด และพูดกับคนขับรถม้า “เ้ารอหลิงจูอยู่ที่นี่ ข้ากับจื่อเซียงจะกลับกันเอง”
เมื่อคนขับรถม้าได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น เขาก็ตอบรับด้วยเสียงเรียบนิ่ง
…
มู่อวิ๋นจิ่นพาจื่อเซียงเดินมาถึงบริเวณถนนใหญ่ ขณะที่เดินไปตามถนน จื่อเซียงที่อยู่ข้างๆ ก็กังวล และคอยเตือนมู่อวิ๋นจิ่นเป็บางคราว
“คุณหนู เรารีบกลับกันเถอะเ้าค่ะ หากคุณหนูสี่กลับไปถึงก่อน เราไปถึงช้ามันจะไม่ดีเอานะเ้าคะ”
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูผู้คนที่เต็มท้องถนน สายตาของนางว่างเปล่า ริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นมา “เ้าดูสิ โลกใบนี้ช่างสวยงามเหลือเกิน แต่ข้ากลับถูกกักขังเอาไว้แต่ในเรือนมวลบุปผา”
“คุณหนู...” จื่อเซียงขมวดคิ้ว แม้คุณหนูของนางมักจะถูกกลั่นแกล้งเสมอยามมที่อยู่จวน แต่นางก็ยังเกรงว่าเมื่อมู่อวิ๋นจิ่นกลับไปจะถูกท่านเสนาบดีมู่ทำร้ายอีก
นางอยู่เคียงข้างมู่อวิ๋นจิ่นมาั้แ่เด็ก นางเห็นว่าคุณหนูของนางต้องโดนอะไรมาบ้าง
“เอาเถอะๆ ข้ากลับก็ได้ ข้ายอมแพ้เ้าแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นเริ่มหมดความอดทนต่อคำร้องขอของจื่อเซียง ทำได้เพียงยินยอมและหันหลังกลับจวน
จื่อเซียงเห็นมู่อวิ๋นจิ่นยอมทำตามคำพูดนาง ก็แอบยิ้มและรีบตามไป
เมื่อกลับถึงจวน เดินมาถึโถงทางเข้าก็เจอกับเสนาบดีมู่ ที่เพิ่งจะไปนัดดื่มชาข้างนอกกับสหายเก่ามา เมื่อเสนาบดีมู่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นก็ก้มหน้าอย่างไม่พอใจ
“ท่านพ่อ” มู่อวิ๋นจิ่นแสร้งทำเป็ประจบประแจงเสนาบดีมู่ ก่อนที่จะเตรียมตัวแยกออกมา เพื่อกลับไปที่เรือนมวลบุปผา
“ช้าก่อน” เสนาบดีมู่เรียกมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดฝีเท้า มองไปที่เสนาบดีมู่รอดูว่าท่านพ่อของนางจะพูดอะไร จื่อเซียงที่อยู่ข้างๆ ตัวสั่นระริกด้วยความกลัว
“วันนี้ฉินไท่เฟยเชิญเ้ากับจูเอ๋อร์เข้าวัง ได้พูดอะไรหรือไม่?” เสนาบดีมู่เอ่ยถาม
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหัว “ฉินไท่เฟยเพียงแค่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่สวนดอกเหมย เชิญพวกเราไปดื่มสุราดอกเหมยกันเท่านั้น นอกจากนี้ไม่ได้พูดสิ่งใดแล้ว”
เสนาบดีมู่ได้ฟังก็พลันขมวดคิ้ว คิดได้ว่าถามเด็กคนนี้ไปก็เท่านั้น ไม่ได้ได้อะไรกลับมาเลยสักอย่าง
เมื่อเห็นสีหน้างงงวยของมู่อวิ๋นจิ่น ก็ยกมือขึ้นโบกปัด “ไปเถอะ”
“เ้าค่ะท่านพ่อ”
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นออกไปแล้ว เสนาบดีมู่ก็นั่งอยู่คนเดียวที่โถง ครุ่นคิดเื่ราวในราชวงศ์
เื่ในราชวงศ์ตอนนี้ ฮ่องเต้ยังไม่แต่งตั้งตำแหน่งรัชทายาท ในบรรดาองค์ชายก็มีเพียงแค่องค์ชายสามฉู่ชิง องค์ชายสี่ฉู่เย่ และองค์ชายหกฉู่ลี่เพียงเท่านี้ที่จะมีความเป็ไปได้
แต่ในบรรดาองค์ชายทั้งสาม เขาคิดว่าน่าจะเป็ฉู่ลี่มากที่สุด
ฉินไท่เฟย้าจะจับคู่มู่อวิ๋นจิ่นกับฉู่ลี่ สำหรับจวนมู่นั้นแม้จะถือว่าไม่ได้เป็เื่ไม่ดีอะไร แต่อวิ๋นจิ่น เด็กคนนั้น...
เสนาบดีมู่ครุ่นคิด พลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยื่นนิ้วออกมาจุ่มลงในถ้วยชา ก่อนจะเขียนลงไปบนโต๊ะว่า “หิมะ” หนึ่งคำ
แต่ไม่นาน แขนเสื้อของเขาก็เช็ดมันออกหมด
ขณะที่คิด หน้าจวนก็มีรถม้าเข้ามาจอด มู่หลิงจูเดินเข้ามาในจวนอย่างเชื่องช้า เมื่อนางเห็นเสนาบดีมู่ นางก็แสดงความเคารพต่อเสนาบดีมู่
เสนาบดีมู่เห็นมู่หลิงจู ความหม่นหมองบนใบหน้าเมื่อครู่ก็จางหายไป แต่ใบหน้าก็ยังคงไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆ “ได้ยินว่าเจิ้งไทเฮาขอคุยกับเ้าส่วนตัวหรือ คุยเื่อันใด?”
มู่หลิงจูได้ยินก็ปิดเปลือกตาลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจิ้งไทเฮารับสั่งให้ลูกหมั้นหมายกับองค์ชายสี่ฉู่เย่เ้าค่ะ”
“ฉู่เย่?” เสนาบดีมู่น้ำเสียงฉงนเล็กน้อย
มู่หลิงจูพยักหน้า ดวงตาแดงระเรื่ออ่อน ๆ “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากแต่งงานกับองค์ชายสี่ ลูกชื่นชอบองค์ชายหก ลูกอยากเป็ชายาขององค์ชายหกเ้าค่ะ”
“หุบปาก!” เสนาบดีมู่มองมู่หลิงจูด้วยดวงตาแข็งกร้าว “หากมีใครมาได้ยินเข้า หัวเ้าจะหลุดออกจากบ่า!”
“นั่งลงก่อน เล่าเื่ราวในงานเลี้ยงของฉินไท่เฟยให้ข้าฟัง และสิ่งที่เจิ้งไทเฮาพูดกับเ้าด้วย เล่าทั้งหมดให้ข้าฟัง”
“เ้าค่ะ ท่านพ่อ”