พี่รองโบกมือพลางยืดอกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขายิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ ท่านลืมแล้วหรือว่าลูกชายท่านทำอาชีพอะไร พวกเราแค่จะทำร้านน้ำชาเล็กๆ ไม่ใช่สร้างบ้านดีๆ เพียงไปตัดไม้หักๆ บนูเามาสักหน่อย หลังจากนั้นข้าค่อยให้ท่านอาจารย์กับพวกพี่น้องมาช่วยกันทำ พวกเราดูแลเื่ที่อยู่และอาหารการกิน สัก 7-8 วันก็น่าจะสร้างเสร็จแล้ว ส่วนเื่หม้อ กระทะ ก็คงใช้เงินไม่เท่าไร คิดรวมๆ แล้วสักเจ็ดแปดตำลึงก็น่าจะเพียงพอ”
แม่นางหลี่ว์ได้ยินอย่างนั้นก็วางใจและไม่คัดค้านอีกต่อไป ทุกคนจึงมองไปที่ผู้าุโติง รอให้หัวหน้าครอบครัวอย่างเขาตัดสินใจ
ผู้าุโติงเงียบไปพักใหญ่ ท้ายที่สุดก็พยักหน้าและพูดว่า “ในเมื่อตัดสินใจจะเปิดร้านแล้วก็รีบดำเนินการกันเถอะ พักนี้กลุ่มพ่อค้าที่ไปจัดงานเทศกาลทางทิศใต้ก็กลับมากันแล้ว มีคนมากมายเต็มท้องถนนไปหมด”
“เยี่ยมไปเลย พรุ่งนี้ข้าจะพาคนไปตัดท่อนไม้” พี่รองยิ้มพร้อมตอบรับทันที
ติงเหว่ยเองก็เข้าไปกอดแขนมารดาพลางขอร้องว่า “ท่านแม่ ข้ากับพี่สะใภ้ขอเข้าเมืองไปเลือกหม้อกับจานชามก่อนได้หรือไม่”
“ได้สิ แต่เ้าต้องช่วยพี่รองเลือกสถานที่ก่อน แล้วต้องไปทักทายผู้ใหญ่บ้านด้วยล่ะ”
“แม่ของเ้าพูดถูก หลังจากเลือกสถานที่เสร็จแล้วก็ต้องเตรียมของขวัญสักหน่อย ข้าจะไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน” ผู้เฒ่าติงโถวเอ๋อร์พูดกำชับเสร็จก็เดินเอามือไพล่หลังออกไป เขามักจะออกไปเดินเล่นสักรอบก่อนฟ้ามืด แล้วค่อยกลับมาพักผ่อนจนกลายเป็ความเคยชินมาหลายปีแล้ว
……
งานใหญ่ได้ถูกกำหนดไว้เช่นนี้ ทุกคนในสกุลติงต่างเริ่มยุ่งกันจนหัวหมุน วันรุ่งขึ้นติงเหว่ยสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกไปเดินที่ถนนกงลู่ตลอดทั้ง่เช้า พอนางกลับมาใบหน้าก็กลายเป็สีแดงเพราะความหนาว แต่นางก็เลือกสถานที่ดีๆ ได้แล้ว บริเวณนั้นอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณสี่ห้าลี้ เมื่อหลายปีก่อนเคยมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน น้ำในแม่น้ำไหลลงมาจาก้า พัดพาโคลนออกไปจนกลายเป็พื้นดินเรียบผืนหนึ่ง ทั้งยังอยู่สูงกว่าก้นแม่น้ำอย่างมาก เหมาะแก่การสร้างเรือนไม้กว้างขวางสักหลัง นอกจากนี้หลังเรือนยังติดแม่น้ำ สะดวกต่อการตักน้ำให้แขกและใช้ล้างของด้วย
คืนนั้น ผู้เฒ่าติงพาลูกชายคนรองของเขาไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านที่อยู่ทางทิศตะวันออก โดยหยิบเนื้อกับเหล้าติดไม้ติดมือไปด้วย
บริเวณพื้นที่ราบระหว่างูเานี้ล้วนแต่เป็ที่ตั้งถิ่นฐานของผู้ประสบภัยแล้งครั้งใหญ่ที่มาจากทางทิศใต้ั้แ่หลายร้อยกว่าปีที่แล้ว มีหลากหลายตระกูล แต่ละวันคอยไปมาหาสู่กันตลอด ต่างฝ่ายต่างแต่งงานกัน อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็เป็คนสกุลติง อพยพมาจากทางใต้ไม่มีที่พึ่ง ตอนนั้นจึงแต่งงานกับอู๋ต้าเชิ่งนายทหารเกษียณอายุที่พิการขาขาดข้างหนึ่ง อู๋ต้าเชิ่งเป็คนไหวพริบดี ทั้งยังมีเงินำาญนิดหน่อย หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านคนก่อนเสียชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เขาได้ขึ้นมารับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านต่อ ทุกวันนี้ลูกชายของพวกเขาแต่งงานหมดแล้ว ความเป็อยู่ดี มีกินมีใช้
เนื่องจากภรรยาของผู้ใหญ่บ้านอายุพอๆ กับผู้าุโติง อีกทั้งยังนามสกุลเดียวกัน นางจึงปฏิบัติต่อผู้เฒ่าติงเหมือนพี่น้องก็ไม่ปาน ทันทีที่นางเห็นพวกเขาสองพ่อลูกมาก็รีบเชิญเข้าไปนั่งดื่มชาคุยกันในบ้าน
เดิมทีอู๋ต้าเชิ่งก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร หลังจากได้ฟังผู้เฒ่าติงอธิบายความตั้งใจของพวกเขาสองพ่อลูก ก็รับเนื้อและเหล้าไว้ด้วยความยินดี ที่ดินบริเวณนั้นไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทั้งยังไม่สามารถปลูกพืชผลได้ ทุกวันนี้ปล่อยทิ้งร้างจนหญ้าขึ้น มิสู้เขาถือโอกาสนี้แสดงน้ำใจและช่วยอำนวยความสะดวกให้ไม่ดีกว่าหรือ?
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านยิ้มพลางพูดว่า “รอพวกเ้าเปิดกิจการแล้วข้าค่อยไปอุดหนุนลองชิมอะไรใหม่ๆ บ้าง ได้ยินชาวบ้านพูดกันมานานแล้วว่าติงเหว่ยมีฝีมือในการทำอาหาร แต่ข้ายังไม่เคยได้ลิ้มลองเลย”
ลูกชายคนรองสกุลติงไหวพริบดี รีบตอบรับทันที “พรุ่งนี้ข้าจะให้น้องหญิงนึ่งซาลาเปามาส่ง” ภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ปฏิเสธ ดังนั้นการเปิดร้านค้าของสกุลติงถือว่าได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่บ้านเรียบร้อย
……
ชาวบ้านในหมู่บ้านบริเวณที่ราบระหว่างูเานี้แต่ไหนแต่ไรมาก็เลี้ยงชีพด้วยผลผลิตทางเกษตรกรรม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเปิดกิจการร้านอาหารมาก่อน พอเื่ที่สกุลติงจะเปิดร้านน้ำชากระจายออกไป ก็กลายเป็ประเด็นที่ทุกคนสนใจทันที แน่นอนว่าต้องมีคนไม่น้อยที่อิจฉาแล้วพูดจาไม่น่าฟัง
คนในสกุลติงมีงานมากมายที่ต้องทำ ไม่เสียเวลาเก็บเอาเื่พวกนี้มาใส่ใจ เนื่องจากพี่รองพาอาจารย์และพี่น้องมาช่วยกันทำงาน แม่นางหลิวกับแม่นางหวังจึงต้องพาลูกๆ มาอาศัยอยู่ที่ห้องของเหว่ยเอ๋อร์ เพื่อให้แขกได้พักอาศัยในห้องพวกนางชั่วคราว
พี่ใหญ่และพี่รองพาชาวบ้านที่สนิทกันไปช่วยตัดไม้บนูเา ส่วนติงเหว่ยก็เอาผักกาดกับหัวไชเท้าในบ้านมารังสรรค์เป็อาหาร ถึงแม้จะใส่เนื้อแค่นิดหน่อย แต่ทุกคนต่างก็ชมไม่ขาดปาก ถึงกับบอกว่าการที่สกุลติงจะเปิดร้านอาหารหาเงิน หากมีติงเหว่ยอยู่ก็คงเป็เื่ง่ายๆ เหมือนพลิกฝ่ามือ
ในสำนวนจีนมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เมื่อทุกคนช่วยกันเติมฟืน เปลวไฟก็จะยิ่งลุกโชน [1]” เดิมทีพี่รองเป็คนมีมนุษยสัมพันธ์ดี ยามขอความช่วยเหลือจากอาจารย์และเพื่อนพ้องพวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือ หลังจากลำเลียงท่อนไม้ลงมาจากูเาแค่เจ็ดแปดวันก็สร้างร้านเสร็จแล้ว
ภายในเรือนไม้มีห้องสามห้องเรียงต่อกัน สองห้องเชื่อมต่อกันเป็ห้องโถง และอีกห้องหนึ่งใช้เป็ห้องครัว นอกจากนี้ยังมีการกั้นพื้นที่ด้านหลังร้านเพื่อใช้เป็โกดังเก็บของจิปาถะ เตาอบและผนังกันไฟถูกสร้างขึ้นด้วยก้อนอิฐตามคำแนะนำของเหว่ยเอ๋อร์ เพียงเวลาไม่นานภายในร้านก็อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ โต๊ะไม้ที่เพิ่งทำใหม่ไม่ได้ทาสีเพราะความเร่งด่วน ทาเพียงน้ำมันตั้งอิ้ว [2] แค่ชั้นเดียว นึกไม่ถึงว่าพอนำไปวางแล้วกลับรู้สึกถึงความสะอาดและความนุ่มนวลที่แตกต่างออกไป
……
ติงเหว่ยพาพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าเมืองเพื่อไปร้านขายของชำ หลังจากต่อรองราคาก็ซื้อถ้วยชามกระเบื้องมาได้ 50 ชุด อ่างดินเผา 10 กว่าอัน แล้วยังมีไหใบเล็กใหญ่อีกหลายใบ แม้ว่าจะใช้เงินมากกว่าที่คิดไว้หนึ่งถึงสองตำลึง แต่ในวันงานเลี้ยงขอบคุณแขก ก้อนซาลาเปาสีขาวอ้วนถูกจัดวางอย่างพิถีพิถันอยู่ในจาน ควบคู่ไปกับเนื้อตุ๋นกลิ่นหอมๆ ทันทีที่ยกมาวางบนโต๊ะทั้งชาวบ้านและพ่อครัวต่างพากันชื่นชม ไม่ว่าอย่างไรก็ดูสะอาดกว่าชามดินเผาดำๆ ที่บ้านตั้งเยอะ
่ไม่กี่วันที่ผ่านมาแม่นางหลี่ว์พาลูกๆ ทำกับข้าว แม้ว่าจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่นางก็ยืนกรานที่จะเดินผ่านหิมะไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อไปหาหมอดูที่มีชื่อเสียง ให้ช่วยดูดวงชะตาและเลือกฤกษ์วันเปิดร้าน สุดท้ายจึงเลือกวันเปิดร้านเป็วันสิ้นปีหรือวันที่ 31 เดือนสิบสอง
พอถึงรุ่งสางของเช้าวันนั้น ติงเหว่ยรีบลุกขึ้นจากที่นอนไปนวดแป้ง เตรียมไส้ และหั่นผักดอง เหนื่อยจนเหงื่อไหลเต็มหน้าไปหมด ในที่สุดก็เตรียมเครื่องทั้งหมดเสร็จ แม่นางหลี่ว์และลูกสะใภ้ทั้งสองต่างมีวงคล้ำใต้ตา เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนคงไม่ได้นอนเท่าไร พวกนางทั้งสามคนไปที่ร้านน้ำชา คนหนึ่งถือชามใส่แป้ง คนหนึ่งถือชามใส่ไส้ และอีกคนหนึ่งก็ถือผักเคียงไป ส่วนผู้าุโติงกับพี่ใหญ่ยังอยู่ที่ร้านไม่ได้กลับมา
ติงเหว่ยตักรำข้าวผสมกับใบผักกาดช้ำๆ ไปเลี้ยงไก่และเป็ด จากนั้นก็ให้ต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์กินโจ๊ก แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ หากไม่ได้เห็นภาพร้านเปิดและมีลูกค้ากับตาตัวเองก็คงไม่อาจวางใจได้
เมื่อเห็นว่าเป็เวลาเที่ยงวันแล้ว นางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงพาเด็กๆ ทั้งสองไปฝากไว้ที่เพื่อนบ้าน และขอร้องท่านย่าซุนที่สนิทกันให้ช่วยดูแลพวกเด็กๆ สักครู่หนึ่ง
ท่านย่าซุนเป็หญิงชราที่ทั้งฉลาดและขยัน โชคไม่ดีที่นางเป็ม่ายั้แ่อายุยังน้อย และลูกสาวของนางก็แต่งงานอยู่ที่ห่างไกล ปกติไปมาหาสู่กับตระกูลติงบ่อยๆ พอนางเห็นเหว่ยเอ๋อร์ก็ยิ้มและตอบตกลงทันที
……
ติงเหว่ยเองก็ไม่กล้ารอช้า นางรีบวิ่งฝ่าหิมะไปที่ร้านน้ำชาโดยไม่ทันได้สวมเสื้อคลุมด้วยซ้ำ ปรากฏว่านางเห็นแต่ไกลว่ามีรถม้าจอดอยู่ตรงที่ที่เคยว่างหน้าร้านน้ำชาถึงห้าหกคัน แววตาของนางเปล่งประกายออกมา พอเข้าไปใกล้อีกนิดก็ได้ยินเสียงพี่สะใภ้ทั้งสองต้อนรับแขกอย่างมีความสุข บางครั้งยังได้ยินเสียงลูกค้าสั่งซาลาเปาเพิ่ม จนนางรู้สึกวางใจได้ในที่สุด
นางแอบย่องไปที่หน้าต่างเงียบๆ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นภายในร้านบ้าง แต่น่าเสียดายที่หน้าต่างถูกปิดอย่างแ่า ไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย
ติงเหว่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับบ้าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงไอมาจากรถม้าที่จอดอยู่ข้างๆ เสียงฟังดูแหบแห้งและหนักอึ้ง นางฟังยังรู้สึกหายใจลำบาก นางคิดอยู่สักพักหนึ่งสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความอยากรู้อยากเห็น นางก้าวไปข้างหน้าแล้วถามด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ขออภัยเ้าค่ะ มีใครอยู่ในรถม้าหรือไม่? ในร้านสะอาด เป็ระเบียบและอากาศอบอุ่น ท่านอยากจะลองลงมาพักผ่อนสักครู่หรือไม่?”
คนที่อยู่ในรถม้าเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดก็มีเสียงหญิงสาวตอบกลับมาว่า “ไม่จำเป็หรอก พวกข้าแค่จะหยุดพักครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวซื้อของกินเล็กน้อยแล้วจะออกเดินทางกันต่อ”
“โอ้ เช่นนั้นข้าคงรบกวนพวกท่านแล้ว” ติงเหว่ยแลบลิ้นออกมาด้วยความกระอักกระอ่วน ข้านี่ช่างคิดไปเองจริงๆ เดิมทีอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อยแต่เมื่อเห็นท่านแม่คล้ายจะโผล่ศีรษะหันออกมามองทางนี้
นางใจนรีบเลิกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งกลับบ้านด้วยความตื่นตระหนก นางจึงไม่ทันสังเกตว่าหน้าต่างรถม้าคันนั้นเปิดออกเป็ช่องเล็กน้อย มีดวงตาสีดำมืดมนและเ็าคู่หนึ่งจ้องตามหลังของนางอย่างไม่ละสายตาอยู่นาน
ลมหนาวที่แรงและเย็นเยือกพัดผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปในรถม้า ทำให้สาวใช้ตัวเล็กที่นั่งฝั่งตรงข้ามตัวสั่น นางอดไม่ได้ที่จะถามด้วยเสียงแ่เบา “นายน้อย ร่างกายของท่านไม่สบายอยู่ ท่านอย่าตากลมหนาวอีกเลย”
เมื่อชายที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างได้ยิน เขาก็ค่อยๆ ปิดหน้าต่าง พร้อมกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์บนตัว และพลิกหนังสือในมือต่อไป สาวใช้ที่แต่เดิมกำลังยืดคอมองออกไปด้านนอกจึงพยายามระงับความตื่นตระหนกในใจ ชายผู้นั้นจ้องมองสาวใช้ตัวน้อยและดุด้วยเสียงต่ำว่า “ไร้มารยาทเสียจริง เื่ของเ้านาย สาวใช้เช่นเ้าสามารถพูดได้ตามใจอย่างนั้นหรือ?”
สาวใช้ตัวน้อยเม้มปากด้วยความรู้สึกผิดและอยากจะตอบโต้สักประโยคสองประโยค แต่เมื่อดวงตาของนางเลื่อนไปมองชายหนุ่มที่หล่อเหลาและเ็า จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับเป็บ่อน้ำพุร้อน ทั้งนุ่มนวลทั้งอบอุ่น อดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในภวังค์
พ่อบ้านาุโแอบถอนหายใจเงียบๆ ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือไม่ที่ให้หลานสาวของตนไปดูแลนายน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็รับมาแล้ว อีกอย่างตอนนี้ต้องเก็บการเคลื่อนไหวของนายน้อยเป็ความลับ ไม่อาจปล่อยให้รั่วไหลออกไปได้ ระยะนี้คงต้องทำเช่นนี้ไปก่อน
“ลุงยวิ๋น ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่?” ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ชายหนุ่มที่อ่านหนังสืออยู่จึงเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มจนทำให้สาวใช้ใจเต้นเร็วและใบหน้าแดงก่ำ
พ่อบ้านาุโหน้าซีดขาวด้วยความใ และอธิบายอย่างเกร็งๆ ว่า "ข้าน้อยไม่มีเื่อันใด เพียงรู้สึกว่าที่นี่ทิวทัศน์สวยงาม อีกทั้งผู้คนต่างอยู่กันอย่างสันโดษ ถือเป็สถานที่ที่ดีสำหรับการพักผ่อน"
นิ้วเรียวยาวของชายคนนั้นแตะเบาๆ บนขอบมุ้งลวดที่หน้าต่าง ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังขาทั้งสองภายใต้เสื้อคลุมของเขา หลังจากนั้นไม่นานก็สั่งการว่า "ในเมื่อลุงยวิ๋นชอบ เช่นนั้นเราหาที่พักแถวๆ นี้กันเถอะ"
“โธ่ ข้าว่าสถานที่นี้อยู่ไกลเกินไป ทำไมไม่หาสักที่ในอำเภอ...” สาวใช้ตัวน้อยพูดขัดโดยไม่รู้ตัว แต่พ่อบ้านาุโตบบ่านางแล้วตอบว่า “เ้าเชื่อฟังนายน้อยเถอะ เื่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็อยู่ใกล้ๆ ที่นี่แหละ ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะสงสัยแต่คงคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มคนนั้นเหลือบมองพ่อบ้านาุโด้วยความนิ่งเฉย จากนั้นจึงก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ พ่อบ้านาุโค่อยๆ ปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ในใจรู้สึกถึงอันตรายอย่างมาก นายน้อยของข้าอยู่ต่อหน้ากองทหารนับพับนับหมื่นเป็เวลากว่าห้าหกปี ไม่ง่ายเลยที่เขาจะถูกหลอก หลังจากนี้จะต้องระวังให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงหญิงสาวนางนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตั้งตารอคอย…
ติงเหว่ยไม่ทันรู้เลยว่าสิ่งที่นางพูดไปจะทำให้มีคนเข้ามาอาศัยใหม่ในหมู่บ้าน นางกลับไปรับหลานๆ ต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์จากบ้านท่านย่าซุน จากนั้นก็เริ่มรอคอยให้พระอาทิตย์ตกดินอย่างใจจดใจจ่อ บางทีเหล่าเทียนเย่คงทนต่อความทุกข์ทรมานของนานได้ไม่มากนัก หลังจากผ่านเที่ยงวันไปไม่ทันไร แม่นางหลี่ว์ก็พาแม่นางหลิวกับแม่นางหวังกลับมาบ้านแล้ว
แม่สามีและลูกสะใภ้ทั้งสองแทบจะไม่ได้ปิดปาก ทันทีที่เข้าบ้านก็รีบะโเรียก “เหว่ยเอ๋อร์ๆ เ้ารีบออกมาดูเร็ว กล่องใส่เงินของพวกเราเต็มไปด้วยเงินทั้งนั้นเลย”
-----------------------------------------
[1] เมื่อทุกคนช่วยกันเติมฟืน เปลวไฟก็จะยิ่งลุกโชน 众人拾柴火焰高 หมายถึง เมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันงานก็เสร็จอย่างรวดเร็ว เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามัคคี เมื่อคนหลายคนพยายามลงมือทำเป้าหมายเดียวกัน ก็จะเกิดเป็พลังอันยิ่งใหญ่และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
[2] น้ำมันตั้งอิ้ว 桐油 หมายถึง น้ำมันชักเงาไม้ หรือในสมัยโบราณของไทยเรียกว่า ‘น้ำว่าน’ ใช้เป็น้ำมันผสานเนื้อ กันการปริแตก ทำให้ไม้คงทน สวยงามและไม่แตกร้าว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้