บางที อาจจะเป็เพราะในความคิดของหลี่ลั่วเองนั้นเขาไม่ได้หลอมรวมกับยุคสมัยนี้ เขาเยาะเย้ยความล้าหลังของยุคสมัยโบราณ เอือมระอาต่อผู้คนเหล่านี้ที่มักจะพูดถึงแต่ศีลธรรมจริยธรรม ทว่ากลับอ่อนแอไร้สามารถ
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ เป็เพียงเพราะว่า ลึกๆ ในใจเขายังปรารถนา ปรารถนาว่าตนเองจะยังมีโอกาสที่จะไปจากโลกแห่งนี้
แต่ เมื่อเขามองเห็นเด็กคนนี้
เด็กคนนี้เป็ความทุกข์ในใจเพียงหนึ่งเดียวของหลี่ลั่ว
“ไม่ เ้าก็คือข้า ข้าก็คือเ้า พวกเราควรจะมีชีวิตเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดจึงถูกแบ่งเป็สองส่วน และในเวลานี้พวกเราก็ได้ผสานรวมเป็หนึ่งเดียวกันแล้วก็เท่านั้น เพียงแต่ว่า เป็เ้าที่มายังโลกของข้า ไม่ใช่ข้าที่ไปยังโลกของเ้า” เด็กน้อยตอบ
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนี้”
“ความจริงเป็เช่นนี้”
“ข้าอยากกลับไป ข้า้ากลับไป”
“กลับไปไม่ได้แล้ว เ้าก็คือข้า ข้าก็คือเ้า”
“เ้าพูดจาเพ้อเจ้อ”
“เ้ารู้ว่ากลับไปไม่ได้ เพียงแต่เ้ายังวางไม่ลงเท่านั้น”
“ไม่ ข้าไม่เชื่อ...ข้าไม่เชื่อ”
“ลั่วเอ๋อร์...ลั่วเอ๋อร์...” หลี่ลั่วลืมตาขึ้นพรึ่บ พบว่าตนอยู่ในชั้นหกบนหอลิ่วฉง น้ำเสียงของกู้จวิ้นเฉินที่อยู่ข้างกายเขาฟังดูร้อนใจและเป็กังวล “เ้าฟื้นแล้ว? เ้าไม่เป็ไรใช่หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าของหลี่ลั่ว
“ข้า...ข้าเป็อันใดไป?” หลี่ลั่วพบว่าไม่ได้มีเพียงกู้จวิ้นเฉิน คนอื่นล้วนมองเขาอยู่ แต่ทว่าเว้นระยะห่างออกไปไกลมาก ยังมีหมอหลวงอีกหลายคนข้างกายกู้จวิ้นเฉินที่เขารู้จัก
“เมื่อสักครู่เ้าหมดสติไป” กู้จวิ้นกล่าว “รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” เมื่อสักครู่เขาใเสียจนหัวใจจะะโออกมาแล้ว
หมดสติหรือ? “ไฉนข้าจึงได้หมดสติเล่า?” หลี่ลั่วยังคงรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก
“บางคนฟังพระคัมภีร์แล้วเข้าฌาน บางคนฟังไม่เข้าใจจึงไม่เกิดอันใดขึ้น” ก่วงฉือไต้ซือกล่าว “ดูไปแล้วสหายน้อยกับองค์พระพุทธเ้าจะมีวาสนาต่อกัน แต่น่าเสียดายที่วาสนาของอาตมาใกล้จะหมดลงแล้ว ไม่เช่นนั้นอาตมาจะรับสหายน้อยเป็ศิษย์”
โอ้โห นี่้าให้หลี่ลั่วกลายเป็เณรน้อยใช่หรือไม่?
จ้าวหนิงฮ่องเต้กระแอมขึ้นหนึ่งครั้ง “ก่วงฉือไต้ซือ เขาก็คือหลี่ลั่ว บุตรชายของหลี่ซวี่” ความหมายในคำพูดนั้น เขาก็คือชะตาชีวิตที่ท่านตรวจแล้วบอกว่าเป็ดวงชะตาหงส์ ท่านอย่าได้เรียกผู้อื่นไปเป็นักบวชเชียวหนา
ก่วงฉือไต้ซือตกตะลึงพร้อมกับหรี่ตาลง เขามองหลี่ลั่วอย่างละเอียด ไม่เหมือน ไม่เหมือนเลย หน้าตาของหลี่ลั่วไม่ใช่ผู้ที่มีดวงชะตาหงส์แน่นอน ไม่เช่นนั้นเมื่อก่วงฉือไต้ซือเห็นหลี่ลั่วแล้วย่อมไม่พูดเช่นนั้นออกมาเป็แน่ แต่ทว่าวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากเป็ของจริง ประหลาดนัก วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากเดียวกัน ชื่อสองชื่อ ชะตาชีวิตสองชะตา แต่วันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากกลับไม่เหมือนกับหน้าตา หน้าตาของคนผู้นี้...เป็ดวงชะตาที่แตกดับไปแล้ว กลับยังมีชีวิตอยู่
ก่วงฉือไต้ซือศึกษาธรรมะและการดูรูปลักษณ์มาั้แ่ยังเล็ก เป็ครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ได้พบกับคนแปลกประหลาดเช่นหลี่ลั่ว ดังนั้นเมื่อพบหลี่ลั่วครั้งแรกเขาจึงได้แต่มองหลี่ลั่วโดยไม่พูดไม่จา แต่คนเช่นนี้มีวาสนากับองค์พระพุทธเ้าแน่แล้ว เมื่อสักครู่ที่เขาอ่านพระคัมภีร์นั้นมีผู้คนมากมายนั่งอยู่ในชั้นหก แต่มีเพียงเขาที่เข้าฌาน การเข้าฌานนั้นเกิดขึ้นเพราะพระธรรมได้ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ คนเช่นนี้เหมาะกับการออกบวชเป็ที่สุด
แน่นอนว่าต่อหน้าจ้าวหนิงฮ่องเต้ ก่วงฉือไต้ซือย่อมไม่เอ่ยว่าว่าที่ฮองเฮาของแคว้นสมควรที่จะออกบวชเป็พระ
“ไต้ซือ?” เห็นก่วงฉือไต้ซือยังคงนิ่งเงียบ จ้าวหนิงฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเบา
“อาตมาคิดไปไกลแล้ว เป็เพราะวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากและหน้าตาของคุณชายน้อยล้ำลึกยิ่งนัก” ก่วงฉือไต้ซือกล่าว “อาตมายังมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้อีกราวหนึ่งเดือน หากคุณชายน้อยมีความสนใจให้มาหาอาตมาได้ที่วัดก่วงเปย” จากนั้นก่วงฉือไต้ซือก็นำลูกประคำออกจากแขนของตนมาสวมใส่ให้ที่แขนของหลี่ลั่ว “หวังว่าลูกประคำจะคุ้มครองเ้า”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ตกตะลึง “ไต้ซือ ลูกประคำนี้...”
“ลูกประคำนี้เมื่อครั้งศิษย์พี่มรณภาพได้มอบให้กับอาตมา ยามนี้อาตมาขอมอบให้กับคุณชายน้อย คุณชายน้อยสติปัญญาล้ำลึกยิ่งนัก น่าเสียดาย...” น่าเสียดายที่ออกบวชไม่ได้ ไม่เช่นนั้นวัดก่วงเปยคงมีผู้สืบทอดแล้ว ในใจก่วงฉือไต้ซือเสียดายยิ่งนัก
ประวัติของวัดก่วงเปยนั้นหลี่ลั่วรู้ดี ครั้งนั้นเพราะหลี่หยางซื่อถูกส่งไปสำนักแม่ชี หลี่ลั่วจึงให้พ่อบ้านจี้ไปสืบประวัติวัดก่วงเปย คิดไม่ถึงว่าลูกประคำนี้กลับเป็สิ่งที่ก่วงเปยไต้ซือทิ้งเอาไว้ หลี่ลั่วถือลูกประคำเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็ผลกระทบจากความคิดในใจหรือไม่ นาทีนี้ลูกประคำที่อยู่ในมือเขาสายนี้ ทำให้คนรู้สึกจิตใจสงบยิ่งนัก
หลี่ลั่วลุกขึ้น “ไต้ซือ แม้ข้าจะไม่สามารถปลงผมออกบวชได้ แต่เวลาหนึ่งเดือนนี้ข้าอยากจะขอติดตามไต้ซือไปปฏิบัติธรรมโดยไม่ปลงผม ไม่ทราบว่าได้หรือไม่ขอรับ?”
ก่วงฉือไต้ซือคาดไม่ถึงอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วจึงกล่าวด้วยความยินดีว่า “ดี ดียิ่งนัก ในเมื่อเป็เช่นนี้ เ้าและข้าก็นับว่าเป็ศิษย์และอาจารย์กันแล้ว ไม่สู้เป็ลูกศิษย์ทางโลกของอาตมา”
หลี่ลั่วคุกเข่าลงทันที “อาจารย์ผู้อยู่เบื้องบน ได้โปรดรับการคำนับจากศิษย์ด้วยขอรับ” หลี่ลั่วโขกหัวกับพื้นสามครั้งดังสนั่น แต่ละครั้งนั้นทำอย่างตั้งใจ เมื่อลุกขึ้นมานั้นหน้าผากของเขาแดงแล้ว กู้จวิ้นเฉินที่มองอยู่ปวดใจยิ่งนัก เ้าสารเลวตัวเล็กนี้เมื่อถูกตีก้นเพียงไม่กี่ทีร้องไห้จ้าราวกับเด็ก ยามนี้โขกหัวกลับโขกหนักยิ่งนัก
“คิดไม่ถึงว่าลั่วเอ๋อร์นั้นมีวาสนากับราชวงศ์ของข้าและมีวาสนากับไต้ซือเช่นกัน เป็เื่น่ายินดียิ่งแล้ว” จ้าวหนิงฮ่องเต้โสมนัสยิ่ง หลี่ลั่วติดตามก่วงฉือไต้ซือปฏิบัติธรรมเป็เวลาหนึ่งเดือน นี่คือความโชคดีของเขา
“ฝ่าา อาตมาเสร็จกิจของสงฆ์ ต้องกลับวัดก่วงเปยแล้ว” ก่วงฉือไต้ซือรู้สึกว่าการมาวังหลวงของตนในครั้งนี้นั้นเป็ชะตาฟ้าลิขิต การสวดมนต์เพื่อจ้าวหนิงฮ่องเต้เป็ครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา กลับได้รับศิษย์กลับไปคนหนึ่ง บางทีนี่อาจจะเป็สิ่งที่กำหนดเอาไว้แล้ว การมาครั้งนี้ของเขานั้นเป็การมาเพื่อหลี่ลั่ว
คิดย้อนกลับไปเมื่อคราวที่อยู่วัดก่วงเปย เขาได้ตรวจดวงชะตาคู่ครองระหว่างหลี่ลั่วและกู้จวิ้นเฉิน ชะตาชีวิตของหลี่ลั่ว หากจะกล่าวว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ เช่นนั้นเขาจึงเป็คนที่ทำให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง มีวาสนาหรือไม่นั้น ทั้งหมดคือฟ้าลิขิต
“อาจารย์ ในอีกหลายวันนี้ศิษย์จะไปรบกวนขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว
“ได้”
“ข้าส่งอาจารย์ออกประตูวังหลวงขอรับ” หลี่ลั่วกล่าวอีก
“ดี”
หลี่ลั่วและก่วงฉือไต้ซือเดินอยู่ข้างหน้า หลี่ฉางเฉิงติดตามอยู่ด้านหลัง ตลอดทางสองศิษย์อาจารย์ไม่ได้พูดจากัน ความจริงแล้วหลี่ลั่วมีเื่ราวมากมายอยากจะถาม แต่กลับพูดไม่ออก เขาจึงออกมาส่งก่วงฉือไต้ซือที่หน้าประตูเพื่อสงบจิตใจ
“มีเื่อันใดจะถามอาจารย์ใช่หรือไม่?” ก่วงฉือไต้ซือถาม ช่างน่าประหลาดใจนัก เ้าลูกศิษย์ตัวน้อยคนนี้ช่างมีความตั้งใจดียิ่งนัก ไม่คิดว่ากลับเป็เขาที่เป็ฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
“ไม่รีบขอรับ” หลี่ลั่วยิ้มบางๆ “ข้าและอาจารย์ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน รอให้ข้าติดตามอาจารย์ปฏิบัติธรรมเล้วเสร็จค่อยถามก็ยังไม่สายขอรับ”
“อายุน้อยเท่านี้ แต่จิตใจดียิ่งนัก” ก่วงฉือไต้ซือพอใจอย่างยิ่ง “ส่งถึงตรงนี้ก็พอ กลับไปเถิด”
หลี่ลั่วไม่ได้ดื้อดึง เขาหยุดย่างก้าว มองก่วงฉือไต้ซือเดินออกจากประตูวังหลวงไป ไต้ซือที่จะมรณภาพในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ย่างก้าวของเขาช่างหนักแน่นมั่นคง หลี่ลั่วไม่ใช่คนที่เชื่อในเื่งมงาย หากเป็ในยุคสมัยปัจจุบันมีพระสงฆ์รูปหนึ่งมาบอกว่าอีกหนึ่งเดือนเขาจะตายแล้ว อย่างไรหลี่ลั่วก็ไม่มีวันเชื่อ แต่เมื่อเขามาถึงยุคสมัยนี้ เดิมทีเื่ราวเหล่านี้ก็มีเพียงแค่ความคิดความเชื่อเหนือธรรมชาติมาใช้อธิบายได้อย่างเดียวอยู่แล้ว ดังนั้นเขาในยามนี้จึงเชื่อในเื่พระเื่เ้ายิ่งกว่าผู้ใด
หลี่ลั่วเดินกลับไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยง เดินทีละก้าวๆ เดินอย่างเชื่องช้า หลี่ฉางเฉิงนั้นเหมือนเป็เงาตามตัวเขา ไม่เข้าใกล้ ทว่าไม่ห่างกาย หลี่หลั่วหยุดเดินกะทันหัน เขาเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดอันเจิดจ้า ดวงตาลืมไม่ขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลง เงาของตนเองที่สะท้อนอยู่บนพื้นนั้นถูกดึงให้ยืดยาวยิ่งนัก
“ฉางเฉิง” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้น
“โหวเหฺย?”
“เ้าเชื่อเื่ชาติก่อนชาตินี้หรือไม่?” หลี่ลั่วถาม
หลี่ฉางเฉิงส่ายหน้า “เชื่อย่อมมี ไม่เชื่อย่อมไม่มีขอรับ แต่ละคนพูดไม่เหมือนกัน”
พรืด...หลี่ลั่วหัวเราะออกมา “คำพูดของเ้านี้เหมือนคำพูดของพระสงฆ์ หากให้หยวนโม่ได้ยินแล้วละก็นางอาจจะคิดได้ว่าเ้ากำลังจะออกบวชไปเป็พระ”
หลี่ฉางเฉิงหน้าแดง “โหวเหฺยอย่าหัวเราะข้าน้อยเลยขอรับ โหวเหฺยมีเื่ในใจใช่หรือไม่?”
“...มี...ตลอดมานี้...ตลอดมานี้ข้าหาทิศทางของตนเองไม่เจอ” หลี่ลั่วกล่าว
หลี่ฉางเฉิงไม่เข้าใจ “โหวเหฺยพูดถึงทิศทาง หมายถึงวันข้างหรือหรือไม่ขอรับ”
“ใช่ และไม่ใช่ด้วย”
“เช่นนั้นข้าน้อยยิ่งไม่เข้าใจแล้วขอรับ”
“ข้ายังไม่เข้าใจ แล้วไฉนเ้าจะเข้าใจได้เล่า?”
สายตาของกู้จวิ้นเฉินจดจ้องอยู่ที่ประตูทางเข้างานเลี้ยงตลอดเวลา ราวกับว่าเมื่อหลี่ลั่วปรากฏตัวที่ประตูเขาจะต้องเห็นทันที หัวใจของเขาหดรัด วันนี้หลี่ลั่วผิดแปลกไปจากปกติเป็อย่างยิ่ง ทำให้เขามีความรู้สึกชนิดหนึ่ง ราวกับว่ากำลังจะสูญเสียสิ่งใดไป
หลี่ลั่วเงยหน้า งานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้ได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาไม่รู้ว่าตนเองนั่งตรงไหน ตำแหน่งของจงหย่งโหวหรือว่า? เมื่อมองไปที่กู้จวิ้นเฉินก็พบว่ากู้จวิ้นเฉินกำลังดูการแสดงอยู่ ไม่รู้ว่าเริ่มั้แ่เมื่อใดที่เขาเคยชินที่จะมองไปที่คนผู้นั้น จากนั้นถามความเห็นของเขา เพียงแต่วันนี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกว่าตนเองน่าขันเช่นกัน เหตุไฉนเขาจึงคิดว่ากู้จวิ้นเฉินจะต้องมองเขาอยู่แน่นอนเล่า?
หลี่ลั่วกลับไปนั่งที่ตำแหน่งของจวนจงหย่งโหว ถามหลี่หง “พี่ใหญ่ ข้าพลาดการแสดงอะไรไปหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่นะ นี่เป็การแสดงแรก การจัดงานเลี้ยงประเภทนี้รายการแรกมักจะเป็ของกรมพิธีการ กรมพิธีการเป็ผู้รับผิดชอบการจัดงานฉลองพระราชสมภพฝ่าา” หลี่หงอธิบาย
หลี่ลั่วมางานเลี้ยงของวังหลวงเป็ครั้งแรก ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจเื่เหล่านี้
รายการที่กรมพิธีการเป็ผู้จัดนั้นค่อนข้างอยู่ในหลักเกณฑ์ เป็ตัวแทนของธรรมเนียมประเพณีของแคว้นจีน เพลง ละคร เพียงแต่ได้เชิญคณะละครที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง บทเพลงที่นำมาขับขานเหมาะสมกับบรรยากาศในยามนี้ สิ่งที่้าสื่อความหมายนั่นคือเพื่อเป็การถวายพระพรให้ฝ่าาอายุมั่นขวัญยืน
การแสดงรายการนี้ไม่น่าดู แต่ที่น่าสนใจคือหลังจากการแสดงนี้จบลง ขุนนางของราชสำนักต่างลุกขึ้น “ถวายพระพรฝ่าา หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“ถวายพระพรฝ่าา หมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“ทุกคนตามสบายได้”
เสนาบดีฉินลุกขึ้น “ฝ่าาทรงมีพระชนมพรรษาครบรอบ เฉินขอดื่มถวายให้แก่ฝ่าาแก้วหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ต้องดื่มครั้งเดียวหมดเล่า” จ้าวหนิงฮ่องเต้ให้คนรินเหล้า เขาเป็คนดื่มเมรัยเก่งยิ่งนัก ซีเป่ยเป็สถานที่ที่ยากลำบาก ดื่มเหล้าล้วนต้องใช้ถ้วยใบใหญ่ และนิสัยของคนซีเป่ยไม่ใส่ใจในธรรมเนียมเล็กๆ น้อยๆ ในตัวของจ้าวหนิงฮ่องเต้มีนิสัยและธรรมเนียมประเพณีของคนซีเป่ย ด้วยเหตุที่อาศัยอยู่ที่ซีเป่ยเป็เวลายาวนาน
“เฉินน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฉินดื่มรวดเดียวหมด เขามีวรยุทธ์เล็กน้อย ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ก็มีกลิ่นกายของนักรบอยู่หลายส่วน
หลังจากเสนาบดีฉินแล้ว ขุนนางท่านอื่นๆ จึงเริ่มดื่มเหล้าคารวะ
“เฉินขอดื่มให้กับฝ่าาหนึ่งแก้วพ่ะย่ะค่ะ ขอให้ฝ่าา...” เสนาบดีกรมขุนนาง เว่ยเหวินชิงเพิ่งจะเริ่มเอ่ยขึ้น พลันได้ยินเสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ทุกคนหันกลับไปดู มองเห็นเพียงแก้วเหล้าของต้าหลี่ซื่อชิง[1]ตกอยู่บนพื้น สีหน้าของเขาซีดขาวรีบคุกเข่าลงกับพื้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ แก้วเหล้าตกลงสู่พื้น ซ้ำยังแหลกละเอียด เป็เื่ที่ไม่เป็สิริมงคลอย่างยิ่ง สมัยโบราณให้ความสำคัญกับเื่สิริมงคลและไม่เป็สิริมงคลอย่างมาก ทันทีที่ไม่ระวังอาจหัวหลุดออกจากบ่าได้
[1] ต้าหลี่ซื่อชิง (大理寺卿) เป็ชื่อตำแหน่งขุนนางผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ผู้ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้น 3 ศาลต้าหลี่คือหน่วยงานราชการซึ่งเป็หนึ่งในเก้าสำนักใหญ่แห่งราชสำนัก ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีอาญา หรือเป็ศาลยุติธรรมนั่นเอง