“ซิ่วเอ๋อร์”
ยายหวงในชุดเสื้อตัวนอกสีครามเก่าคร่ำคร่า เดินตรงเข้ามาพร้ะกร้าในมือ เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์นั่งปักผ้าอยู่หน้าประตูก็เอ่ยทัก
อันซิ่วเอ๋อร์รีบวางงานในมือ ลุกขึ้นต้อนรับพลางกล่าว “ท่านยาย วันนี้ท่านยายว่างจากงานมาเยี่ยมข้าถึงนี่เชียวหรือเ้าคะ เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนเ้าค่ะ”
นางเชิญยายหวงเข้าไปในห้องโถงกลาง แล้วรินน้ำชาให้ถ้วยหนึ่ง ยายหวงรับมาจิบ พลางกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนเอ่ยชม
“ซิ่วเอ๋อร์เอ๊ย เ้าจางตาบอด...เอ๊ย คุณชายจางได้เ้าเป็ภรรยานี่นับว่ามีบุญแท้ๆ ดูบ้านช่องสิ จัดเก็บได้เรียบร้อยสะอาดสะอ้านเชียว ซิ่วเอ๋อร์ ั้แ่อยู่ที่หมู่บ้าน เ้าก็ขึ้นชื่อเื่ความคล่องแคล่วอยู่แล้ว พอมาเห็นกับตา ก็สมคำร่ำลือจริงๆ”
“ท่านยายชมเกินไปแล้วเ้าค่ะ ท่านนั่งรอสักครู่นะเ้าคะ เดี๋ยวข้าไปชงน้ำหวานมาให้” อันซิ่วเอ๋อร์หน้าแดงเรื่อ แม้จะไม่ถือสาคำพูดพลั้งปากของยายหวง แต่ในใจก็ไม่ค่อยชอบหน้าหญิงชรานัก อย่างไรก็ตาม นี่เป็ครั้งแรกที่นางต้อนรับแขกหลังแต่งงาน จึงยังคงรักษาท่าทีและต้อนรับอย่างดีตามมารยาท
“ไม่ต้องหรอกๆ ยายแค่แวะมาคุยเล่นประเดี๋ยวเดียวก็ไปแล้ว” ยายหวงรีบโบกมือปฏิเสธ
“ท่านยายอย่าเกรงใจเลยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางลุกเดินเข้าครัวไป ชงน้ำหวานมาให้ยายหวงถ้วยหนึ่ง
“โธ่ ซิ่วเอ๋อร์ เ้าช่างรู้มารยาทเสียจริง” แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจยายหวงกลับยินดี ในชนบท น้ำตาลถือเป็ของมีค่า การชงน้ำหวานต้อนรับแขกนับเป็การให้เกียรติอย่างสูง
อันซิ่วเอ๋อร์ใส่น้ำตาลค่อนข้างเยอะ น้ำหวานถ้วยนี้จึงหวานเจี๊ยบ ยายหวงดื่มรวดเดียวหมดเกลี้ยง ในใจพลางคิดว่าอันซิ่วเอ๋อร์ช่างใจกว้าง รู้จักต้อนรับขับสู้ แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่านางช่างมือเติบใช้ของสิ้นเปลืองไปบ้าง
เมื่อวางถ้วยลง ยายหวงใช้หลังมือเช็ดปาก แล้วเอ่ยถาม “ซิ่วเอ๋อร์ สามีเ้าไม่อยู่บ้านรึ?”
“เขาออกไปหาปลาเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ “คงกลับมาราวๆ มื้อเที่ยงนั่นแหละเ้าค่ะ”
“จุ๊ๆๆ สามีเ้าช่างขยันขันแข็งเสียจริงนะ แต่งงานได้ไม่กี่วันก็รีบออกไปทำงานเสียแล้ว ไม่คิดจะอยู่ใกล้ชิดเ้าในเรือนหอบ้างเลยรึ” ประโยคสุดท้ายของยายหวงฟังดูมีเลศนัย ทั้งยังเลิกคิ้วส่งยิ้มเ้าเล่ห์ให้อันซิ่วเอ๋อร์
อันซิ่วเอ๋อร์รู้ทันความคิดของนาง ใบหน้าพลันแดงก่ำ แต่ก็แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ ตอบอย่างจริงจังว่า “สามีข้าแต่งข้ามาก็ใช้เงินไปไม่น้อย ตอนนี้ที่บ้านไม่มีสมบัติใดเลย หากเขาไม่ขยันหาเงิน แล้วพวกเราจะเอาอะไรกินกันเล่าเ้าคะ”
“นั่นก็จริงอยู่ แต่เขาขยัน เ้าก็รู้จักดูแลบ้านช่องเช่นนี้ วันข้างหน้าพวกเ้าย่อมต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน” แม้ยายหวงจะยังรู้สึกเสียดายที่อันซิ่วเอ๋อร์ต้องมาแต่งกับคนอย่างจางเจิ้นอัน แต่พอนึกถึงค่าสินสอดหกตำลึงที่จางเจิ้นอันจ่ายไป ในใจก็พลันกระจ่าง คนทั่วไปแต่งภรรยาใช้เงินเพียงสองตำลึงก็ถือว่ามากแล้ว หากยากจนกว่านั้น อาจไปหาซื้อภรรยาจากแถบป่าเขาด้วยเงินเพียงไม่กี่สิบอีแปะ สินสอดหกตำลึงนับว่าสูงมากจริงๆ ในหมู่บ้านแถบนี้คงมีเพียงเ้าจางตาบอดผู้นี้เท่านั้นที่ใจกว้างพอจะให้ได้
พูดคุยสัพเพเหระกันต่ออีกครู่ใหญ่ ยายหวงจึงเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ “ที่ยายมาวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะมาขอแลกปลากับเ้าสักตัว”
“พูดแล้วก็น่าอาย เ้าก็รู้ฐานะบ้านข้าดี บังเอิญลูกสะใภ้เพิ่งคลอดหลานชาย ทั้งยังไม่มีน้ำนมให้ลูกกินอีก เด็กน้อยร้องไห้จ้าด้วยความหิวทุกวัน ข้าเลยต้องหน้าด้าน เอาหน่อไม้สองหน่อนี้มาลองขอแลกปลากับเ้าดู” ยายหวงพูดพลางเปิดฝาตะกร้า หยิบหน่อไม้เล็กๆ สองหน่อออกมาวางบนโต๊ะ
หน่อไม้สองหน่อนี้ช่างเล็กเสียจริง ยาวเพียงแค่ท่อนแขนเด็ก แม้จะดูอ่อน แต่พอปอกเปลือกออก คาดว่าคงเหลือเนื้อให้กินไม่มากนัก
นางใช่ว่าจะไม่รู้ความ หน่อไม้เล็กเพียงสองหน่อนี้ไม่มีทางแลกปลาตัวหนึ่งได้ ยายหวงผู้นี้ขึ้นชื่อในหมู่บ้านเื่ชอบฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว วันนี้นางคงฉวยโอกาสที่จางเจิ้นอันไม่อยู่บ้าน มาลองหยั่งเชิง คิดจะเอาเปรียบนางที่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ หน้าบาง ไม่กล้าปฏิเสธเป็แน่
แต่นางถึงจะหน้าบางอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้โง่เขลา เมื่อคิดได้ดังนี้ บนใบหน้าก็แสร้งทำสีหน้าลำบากใจ กล่าวว่า “ท่านยาย อย่าเพิ่งพูดเื่แลกปลาเลยเ้าค่ะ เื่ลูกสะใภ้ท่านไม่มีน้ำนมให้หลานกินนี่สิเื่ใหญ่ หากเื่ในบ้านนี้ข้าตัดสินใจเองได้ ต่อให้ข้ายกปลาให้ท่านโดยไม่เก็บเงินสักแดง ก็ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ แต่ว่า...เื่ในบ้านนี้ สามีข้าเป็คนตัดสินใจทั้งหมด ท่านก็รู้ว่าเขาเป็คนอารมณ์ร้อน ข้าไม่กล้าแอบเอาหน่อไม้มาแลกกับท่านตามลำพังหรอก เกรงว่าจะทำให้ท่านเสียเที่ยวเปล่าๆ มิสู้ท่านค่อยกลับมาใหม่ตอนเที่ยงดีหรือไม่เ้าคะ ตอนนั้นเขาน่าจะกลับมาแล้ว”
คำพูดของอันซิ่วเอ๋อร์นั้นช่างนุ่มนวลและแเีจนไร้ช่องโหว่ ยายหวงก็ไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาแย้งได้ นางเองก็รู้ดีว่าของที่นำมาแลกนั้นน้อยเกินไปจริงๆ คิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบหน่อไม้ออกมาจากตะกร้าอีกสองหน่อวางลงบนโต๊ะ กล่าวว่า “ซิ่วเอ๋อร์ ถือว่าข้าขอร้องเถอะนะ ทำบุญทำทาน แลกปลาให้ข้าสักตัวเถิดนะ?”
“ท่านยาย อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยเ้าค่ะ ข้าเพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ๆ ไม่อยากถูกเขาซ้อมส่งกลับบ้านพ่อแม่ในวันกลับไปเยี่ยมบ้านพรุ่งนี้หรอกนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ
ยายหวงจนปัญญา จำต้องหยิบไข่ไก่สองฟองสุดท้ายที่เตรียมไว้ออกมาจากก้นตะกร้า วางลงบนโต๊ะอย่างเสียดายยิ่งนัก กล่าวว่า “ไข่สองฟองนี่ เดิมทีข้าตั้งใจจะเก็บไว้แลกเกลือ แต่ลูกสะใภ้ข้าไม่มีน้ำนม เพื่อหลานชายสุดที่รักของข้า แลกปลากับเ้าก็แล้วกัน”
อันที่จริงนางก็ตั้งใจจะเอาของเหล่านี้มาแลกอยู่แล้ว เพียงแต่้าลองเชิงดูว่าเด็กสาวคนนี้หลอกง่ายหรือไม่เท่านั้น เมื่อเห็นว่านางไม่ได้หลอกง่ายอย่างที่คิด จึงจำต้องเอาของทั้งหมดออกมา
อันซิ่วเอ๋อร์มองดูของบนโต๊ะ หน่อไม้บนูเามีอยู่ดาษดื่น ใครๆ ก็ไปขุดมาได้ หน่อไม้เล็กขนาดนี้ยิ่งไม่มีราคาค่างวดอะไร ไข่ไก่สองฟองพอจะมีราคาอยู่บ้างสักสองอีแปะ แต่คำนวณดูแล้ว อย่างไรเสียนางก็ยังเป็ฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี เพียงแต่ยายหวงผู้นี้ขึ้นชื่อเื่ความขี้เหนียวในหมู่บ้าน นี่คงเป็ของทั้งหมดที่ยายหวงพอจะหามาแลกได้แล้ว หากจะให้นางหามามากกว่านี้ เกรงว่านางคงยอมไม่แลกเสียดีกว่า อีกทั้งลูกสะใภ้ของนางก็เพิ่งคลอดลูกจริงๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ตัดสินใจได้
“เฮ้อ... ได้ยินท่านยายพูดเช่นนี้แล้ว ข้าจะใจแข็งได้อย่างไรกัน” นางพูดพลางเหลือบมองไปทางประตูอีกครั้ง “เอาเถอะๆ วันนี้ต่อให้ต้องโดนเขาทุบตีสักตั้ง ข้าก็จะตักปลาให้ท่านสักตัวก็แล้วกัน”
พูดจบนางก็หยิบตะกร้าของยายหวง เดินไปข้างครัว ใช้สวิงตักปลาหลีฮื้อขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปให้ตัวหนึ่ง
“นี่เ้าค่ะ ปลานี่ข้าเลือกตัวที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดให้แล้วนะเ้าคะ ท่านรับไปเถิด แต่อย่าได้บอกใครเชียวนะ หากสามีข้ารู้เข้า ข้าต้องเดือดร้อนแน่ๆ” อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นตะกร้าให้ยายหวง ไม่ลืมกำชับอีกครั้ง
“วางใจเถอะน่า ข้าไม่บอกใครหรอก” ยายหวงรีบรับตะกร้า ขอบอกขอบใจ แล้วรีบเดินจากไปทันที
รอจนนางเดินลับสายตาไปแล้ว สีหน้ากังวลบนใบหน้าของอันซิ่วเอ๋อร์ก็มลายหายไป เผยให้เห็นรอยยิ้มออกมา กำลังกลุ้มใจว่ามื้อเที่ยงไม่มีกับข้าวอยู่พอดี คราวนี้ก็มีหน่อไม้สดๆ กินแล้ว
นางเก็บของที่แลกมาได้ไปไว้ที่ลานหลังบ้าน เก็บไข่ไก่สองฟองใส่ในไหสำหรับใส่ไข่โดยเฉพาะ
นำหน่อไม้ออกมาสองหน่อ ปอกเปลือกแข็งด้านนอกและตัดส่วนโคนแก่ออก เหลือเพียงเนื้อหน่อไม้ท่อนสั้นๆ แต่ก็ดูขาวอวบน่ากิน เมื่อปอกหน่อไม้ทั้งสองหน่อเสร็จ นางก็นำมาล้างแล้วหั่นเป็แผ่นบางๆ จากนั้นจึงซอยเป็เส้นๆ นำไปแช่ในน้ำเกลือ หน่อไม้สดมักจะมีรสขื่นติดปลายลิ้น ดังนั้นอันซิ่วเอ๋อร์จึงไม่ค่อยชอบกินหน่อไม้สดเท่าใดนัก นางยังคงชอบหน่อไม้แห้งกับหน่อไม้ดองมากกว่า
แต่ไม่เป็ไร นานๆ กินสักครั้งก็พอได้ อีกอย่าง การแช่น้ำเกลือแบบนี้จะช่วยลดรสขื่นลงไปได้มาก เดี๋ยวตอนผัดใส่น้ำมันเยอะหน่อย ใส่พริกแห้งลงไปเยอะๆ รสชาติต้องดีแน่ๆ
นางแช่หน่อไม้ทิ้งไว้ พลางไปซาวข้าวหุงข้าว ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว รอจนจางเจิ้นอันกลับมาถึงบ้าน อาหารกลางวันก็ถูกจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เขาล้างมือล้างเท้าเสร็จออกมา ข้าวสวยก็ตักใส่ชามพร้อม อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นตะเกียบให้ เขาจึงยื่นมือมารับ มองดูสำรับกับข้าวง่ายๆ มีเพียงแกงถ้วยหนึ่งกับผัดจานหนึ่งวางบนโต๊ะ รู้สึกว่าชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ก็ไม่เลวทีเดียว
“เ้าอยากดื่มสุราหน่อยหรือไม่?” จางเจิ้นอันวางไหสุราลงบนโต๊ะ วันนี้ระหว่างทางกลับบ้าน เขาเจอชายชราหาบสุรามาขาย จึงถือโอกาสซื้อกลับมาไหหนึ่ง
“เช่นนั้นรินให้ข้าหน่อยก็ได้เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ดื่มสุราไม่เป็ แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจ นางหยิบถ้วยใบหนึ่งยื่นส่งไป จางเจิ้นอันมองนางแวบหนึ่ง เปิดจุกไหสุราออก รินสุราสีใสลงในถ้วย เพิ่งจะรินให้เพียงนิดเดียว นางก็รีบร้องห้าม “พอแล้วๆ เ้าค่ะ แค่นี้พอแล้ว”
จางเจิ้นอันก็หยุดมือทันที เมื่อเห็นสุราในถ้วยที่เพิ่งจะท่วมก้นถ้วย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
อันซิ่วเอ๋อร์หยิบถ้วยของตนกลับมา กล่าวว่า “ข้าดื่มไม่เป็หรอกเ้าค่ะ ดื่มเป็เพื่อนท่านนิดหน่อยก็พอแล้ว มิเช่นนั้นหากข้าดื่มสุราของท่านหมด ท่านก็ต้องเสียเงินไปซื้อมาใหม่อีก”
“ไม่เป็ไร” จางเจิ้นอันหน้าตายังคงเรียบเฉย น้ำเสียงราบเรียบ เขายกถ้วยสุราของตนขึ้นดื่มอึกหนึ่ง แล้วคีบกับข้าวเข้าปากคำหนึ่ง ท่าทางสบายๆ เป็ตัวของตัวเอง
อันซิ่วเอ๋อร์เลียนแบบท่าทางของเขา ลองยกถ้วยขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง สุรารสแรงบาดคอไหลผ่านลำคอลงสู่กระเพาะ นางรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าอก ใบหน้าเล็กๆ เหยเก ปากอ้าค้างเล็กน้อย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี สักพักใหญ่กว่านางจะหายใจได้ทั่วท้อง ใช้มือเล็กๆ พัดเบาๆ ที่ริมฝีปาก หอบหายใจเล็กน้อย “ฮือๆๆ ร้อนเหลือเกินเ้าค่ะ”
“เ้าดื่มไม่เป็จริงๆ ด้วยสินะ” จางเจิ้นอันมองนางแวบหนึ่ง แล้วยกถ้วยขึ้นดื่มอึกใหญ่อีกครั้งอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ข้าดื่มไม่เป็ก็จริง แต่ข้าก็กลัวท่านดื่มคนเดียวจะเหงาน่ะสิเ้าคะ” นางพูดพลางรีบคีบกับข้าวคำใหญ่เข้าปากเพื่อกลบรสสุรา แล้วจึงกล้าหยิบถ้วยขึ้นมาจิบเบาๆ อีกนิดหนึ่ง
“เหตุใดท่านจึงชอบดื่มสุรานักเล่า?” อันซิ่วเอ๋อร์ลองชิมอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกว่ามันบาดคอเหลือเกิน นางกล่าว “สุรานี้ทั้งขมทั้งไม่หวาน ดื่มลงไปก็ยังร้อนท้องอีก ต่อไปท่านดื่มให้น้อยลงหน่อยนะเ้าคะ”
จางเจิ้นอันไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนเลยจริงๆ เหตุใดเขาจึงชอบดื่มสุรากันนะ? ตอนนี้มาลองคิดดู รสชาติของสุรามันก็ขมจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่คนโบราณเคยกล่าวไว้ มีเพียงสุราเท่านั้นที่ช่วยคลายความกังวลได้ เขาเพียงแค่คุ้นชินกับของในจอกนี้เสียแล้วกระมัง
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาเงียบไป ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เพียงแต่พูดว่า “หากท่านชอบดื่มสุราจริงๆ ไว้รอพวกเรามีเงินแล้ว ข้าจะไปซื้อข้าวเหนียวที่ตลาดมาหมักเหล้าหวานให้ท่านดื่มสักหน่อย เหล้าหวานนั้นรสชาติดีกว่าเหล้าขาวแรงๆ นี่เยอะเลยนะเ้าคะ”
เหล้าหวานรึ? ของสิ่งนี้เขายังไม่เคยดื่มจริงๆ
“ท่านไม่พูด ก็ถือว่าท่านตกลงแล้วนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองเขา ดวงตาทั้งคู่เป็ประกายสดใส ฉายแววคาดหวังอย่างเปิดเผย ช่างชวนให้ใจสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว
จางเจิ้นอันตั้งสติได้ จำต้องตอบไปคำหนึ่ง “ตามใจเ้า”
“เยี่ยมไปเลยเ้าค่ะ!” อันซิ่วเอ๋อร์ดีใจราวกับเด็กน้อย หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แววตาที่ใช้มองเขาดูอ่อนโยนลงยิ่งกว่าเดิม คีบกับข้าวใส่ชามให้เขาไม่หยุด
ก็แค่จะทำเหล้าหวานให้กินเท่านั้น ดีใจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? จางเจิ้นอันแสดงท่าทีว่าไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยให้นางดีใจต่อไป เมื่อเห็นนางยิ้มแย้มราวกับดอกไม้แรกแย้ม ในใจของเขาก็พลอยรู้สึกเบิกบานขึ้นมาอย่างประหลาดไม่น้อย
