บทที่ 39 ผู้เฒ่าสูงสุดตระกูลลู่
แต่สิ่งที่เขาคาดคิดไม่ถึงก็คือ จะนำยาตัวนี้มาปรุงเป็ “ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง” ขั้นห้าที่ตัวเอง้าได้นั้นจะยากถึงเพียงนี้ เดิมทีคิดว่าคนปรุงโอสถเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จักและมีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกันจะปรุงยาอายุวัฒนะที่ตัวเอง้าออกมาได้ เพราะอย่างไรเสียเขาเองก็เตรียมตัวกับเื่นี้มาเป็ร้อยปีแล้ว นอกจากยาล้ำค่าใน์และโลกที่เป็ตัวยาหลักเม็ดนี้แล้ว ตัวยาหลักอื่นๆ และตัวยาเสริมหลายร้อยชนิดล้วนเตรียมไว้อย่างเพียบพร้อมแล้ว ขอเพียงเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก ดังนั้นเื่นี้จึงไม่ได้ปรึกษาผู้ใดไว้ล่วงหน้า
มีหรือจะรู้ว่าคนปรุงโอสถไม่กี่คนก่อนหน้านั้นที่เขาไปเยี่ยมเยือน เมื่อได้ยินว่าเขาจะปรุง “ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง” หากไม่อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนเอ่ยปฏิเสธ ก็รีบปฏิเสธออกมาตรงๆ ทั้งยังเดินหนีโดยที่ไม่บอกแม้แต่เหตุผล จนกระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งรู้ว่า “ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง” แม้จะเป็ยาอายุวัฒนะขั้นห้า แต่มีคนปรุงโอสถที่รู้สูตรยาและมีความสามารถปรุงยาได้น้อยยิ่ง และแทบไม่มีคนปรุงโอสถที่ปรุงยา “ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง” ได้จริงๆ อีกอย่างหากคิดจะประสบความสำเร็จในการปรุงยาออกมานั้นไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลามาก แต่ความสำเร็จนั้นช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน นี่จึงเป็เหตุผลหลักที่คนปรุงโอสถส่วนใหญ่ไม่ยอมปรุงยาให้
หุบเขาหลิงหยวนจึงเป็สถานที่สุดท้ายในการเดินทาง เพื่อมาขอร้องให้คนปรุงยาอายุวัฒนะให้ครั้งนี้ของเขา แม้ว่าเทียนตูจะกว้างใหญ่ แต่จำนวนคนปรุงโอสถกลับมีน้อยนิด ยิ่งคนปรุงโอสถขั้นห้าแล้วนั้น ยิ่งหาตัวจับได้ยาก
าาโอสถแห่งเขาหนิงชุยเฟิงเหตุใดถึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ใช่เพราะว่ามีเขาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าเพียงผู้เดียวของเทียนตูหรือ? าาโอสถผู้นี้ใช้เวลาเพียงสามร้อยกว่าปี ก็บรรลุขั้นพลังขึ้นมาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าได้ และพลังยุทธ์ก็บรรลุขั้นมาถึงขั้นตงซวน สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีพร์และความมุมานะมากเพียงใดทางด้านยาอายุวัฒนะ แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็ผู้รู้ขั้นสุดยอดในวิชาปรุงยาของเทียนตู
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาหนิงชุยเฟิงเป็สำนักที่เน้นเื่การปรุงโอสถเป็หลัก และมียาอายุวัฒนะจำนวนมากถูกปรุงออกมาทุกปี เพื่อสนองความ้าทางยาอายุวัฒนะในหมู่นักพรต แต่นับเป็เื่เพ้อเจ้อที่บอกว่ามียาอายุวัฒนะขั้นสูงปรุงออกมาได้จำนวนมาก เพราะมีคนปรุงโอสถขั้นห้าเสิ่นตานเจวี๋ยเพียงคนเดียวในเขาหนิงชุยเฟิง และยาอายุวัฒนะขั้นห้าที่รับประกันความสำเร็จได้ก็มีเพียง “ยาชิงซิน” ชนิดเดียวเท่านั้น
ดังนั้นลู่ไท่ชังจึงไม่ได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเขาหนิงชุยเฟิง และมีเพียงพวกนักพรตชั้นต่ำที่มีพลังยุทธ์ต่ำพวกนั้นที่นับถือว่าเขาเป็ปรมาจารย์ปรุงโอสถผู้มีอำนาจมากที่สุดในเทียนตู และยังตั้งฉายาาาโอสถนี้ให้เขาด้วย มิฉะนั้นเกิดคนจากเขาหนิงชุยเฟิงผูกขาดการจัดสรรยาอายุวัฒนะในโลกบำเพ็ญเพียรเทียนตูจริง ในขณะที่อยู่ในสภาพที่ไม่มีกำลังอาวุธใดสนับสนุน คงถูกคนกำจัดทิ้งไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
เวลานี้ตรงปากทางเข้าหุบเขาหลิงหยวนเกิดสั่นไหว จากนั้นร่างทิพย์หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศรางๆ จนกลายเป็รูปร่างของชายวัยกลางคน หน้าตาหล่อเหลาไว้หนวดเคราดำยาวอายุราวๆ สี่สิบปี
ลู่ไท่ชังรู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริง แต่เป็กายทิพย์ของเ้าของหุบเขาหลิงหยวน ผู้ซึ่งมาแสดงตนผ่านค่ายกลกระบี่ ถึงแม้พลังจะไม่เทียบเท่ากายจริง แต่เพราะมีค่ายกลกระบี่หนุนอยู่ พลังในการต่อสู้จึงไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างที่แท้จริง ดังนั้นหลังจากโค้งคำนับทำความเคารพแล้วก็พูดด้วยความสุขุมว่า “ได้ยินชื่อเสียงสหายนักพรตจี้มานาน จู่ๆ ก็มาเยี่ยมเยือนโปรดอภัยด้วย!”
ชายวัยกลางคนนั้นก็คือเ้าของหุบเขาหลิงหยวน จี้หลิงหยวน หลังจากโค้งคำนับรับคำทักทายกลับพอเป็พิธี แต่การกระทำนั้นไม่บ่งบอกว่าจะเชิญลู่ไท่ชังเข้าไปด้านในแม้แต่สักนิดเดียว เพียงขมวดคิ้วและเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “สหายนักพรตลู่เหตุใดจึงนึกถึงสถานที่อันห่างไกลและโดดเดี่ยวของข้าขึ้นมาได้? เวลานี้ภายในหุบเขาไม่ใคร่จะสะดวก ก็ขอไม่เชิญสหายนักพรตลู่เข้าไปแล้ว หากมีเื่ก็โปรดชี้แจ้งมาตอนนี้ได้!”
ถึงแม้ลู่ไท่ชังรู้สึกจะไม่ค่อยพอใจ แต่เขามาเพื่อขอให้อีกฝ่ายปรุงยาอายุวัฒนะให้ อีกอย่างหนึ่งทั้งสองก็ไม่ได้เป็สหายกันด้วย ดังนั้นจึงทำเสียมารยาทมากไม่ได้ จึงได้แต่พูดว่า “ได้ยินมาว่าสหายนักพรตจี้มีความรู้อันลึกซึ้งถึงสายทางยาอายุวัฒนะ และใช้เวลากว่าร้อยปีในการเก็บสะสมวัตถุดิบบางอย่างเอาไว้ ซึ่งสามารถนำมาปรุง ‘ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง’ ได้พอดี ดังนั้นครั้งนี้จึงตั้งใจมาที่นี่เป็การเฉพาะ เพื่อขอให้ศิษย์พี่จี้ลงมือปรุงยาให้ ส่วนเื่ค่าตอบแทน ข้าย่อมมีให้ศิษย์พี่จี้อย่างพึงพอใจแน่นอน”
โลกบำเพ็ญเพียรเทียนตูจะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก แต่สำหรับแวดวงของคนปรุงโอสถแล้วมันเล็กจนน่าสงสาร เื่ที่ลู่ไท่ชังอยากจะปรุง “ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง” เขาก็ได้ยินข่าวคราวมา่นี้ ได้ยินว่าไม่มีคนปรุงโอสถแม้แต่คนเดียวที่กล้ารับปรุงยา เพราะไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันผลสำเร็จนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้น จี้หลิงหยวนไม่ชอบคนจากตระกูลใหญ่เป็ทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะคิดว่าในตระกูลใหญ่เหล่านี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรจริงๆ อยู่เพียงไม่กี่คน และส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตซอกซอนเจาะเข้ารังโน้นรังนี้ และมีเพียงยอดฝีมือเพียงไม่กี่คนที่พึ่งพาหาประโยชน์จากผู้บำเพ็ญเพียรระดับล่างเท่านั้น เอาสมบัติของมีค่ามาหลอกล่อ แต่ตอนนี้มีหลายตระกูลในเทียนตูที่มีอำนาจ เขาก็ไม่ชอบสร้างปัญหา ดังนั้นถึงได้ปลีกวิเวกมาอาศัยอยู่ในสถานที่ห่างไกล
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในเส้นทางยาอายุวัฒนะอยู่บ้าง แต่คนอย่างเขาที่ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนจะไปมีเวลาสิ้นเปลืองไปกับการปรุงยาให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน “ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง” ที่ลู่ไท่ชัง้าให้ปรุงออกมานั้นขึ้นชื่อว่าปรุงได้ยาก คิดคำนวณดูอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง
สำหรับค่าตอบแทนที่ลู่ไท่ชังพูดถึงนั้น เขาไม่ได้เห็นมันอยู่ในสายตาอยู่แล้ว สำหรับผู้รอบรู้ขั้นเกิดเทพเ้าแล้วสิ่งเดียวที่สนใจคือความลึกลับของสัจธรรมหรือเคล็ดวิชาต่อสู้ พลังวิเศษหรือเคล็ดวิชาลับสุดยอดเหล่านี้เท่านั้น แต่ของพวกนี้ลู่ไท่ชังไม่มีทางหามามอบให้เขาได้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจ
ดังนั้นเขาจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที และพูดว่า “เื่นี้เกรงว่าข้าจะช่วยไม่ได้ ศิษย์พี่ลู่น่าจะรู้ว่า ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิงนั้นปรุงออกมาได้ยากเพียงใด แม้ว่าข้าจะลงมือปรุงยาให้ แต่เก้าในสิบส่วนย่อมคว้าน้ำเหลว อีกอย่างข้าคิดว่าศิษย์พี่ลู่คงไม่มีวัตถุดิบยาเพียงพอสำหรับให้ข้าปรุงยาอายุวัฒนะสิบเตาได้ใช่หรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้น การปรุงยาอายุวัฒนะนี้ย่อมใช้เวลานานมาก หากปรุงยาอายุวัฒนะสิบเตาหลอมยา สองสามปีผ่านไปอาจยังไม่เห็นผลสำเร็จ หากเอาเหตุและผลมาหักล้างกันเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็ต้องเสียเวลา” หลังจากพูดเช่นนั้น ก็ไม่สนใจลู่ไท่ชังอีก เขาหันหลังเตรียมหายวับไป
ทันใดนั้น ลู่ไท่ชังก็รู้สึกกังวลและรีบพูดออกมาทันทีว่า “ศิษย์พี่จี้ ท่านยังไม่ถามข้าด้วยซ้ำว่าข้าจะจ่ายค่าตอบแทนให้ท่านอย่างไร?”
“แม้ว่าค่าตอบแทนที่ศิษย์พี่ลู่มอบให้จะมากมายเพียงใด หากปรุงยาอายุวัฒนะออกมาให้ไม่ได้ ศิษย์พี่ลู่ยังจะยินดีจ่ายค่าตอบแทนนี้ให้อยู่อีกหรือ?” จี้หลิงหยวนได้ยินเช่นนี้ก็หยุดไปสักพัก และหันกลับไปถามด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยจางๆ
ลู่ไท่ชังพูดไม่ออกทันทีกับคำถามนี้ เขายอมลงทุนลงแรงไปมากเพื่อรวบรวมวัตถุดิบสำหรับการปรุงยาอายุวัฒนะนี้ และเป็เพราะมีตระกูลหนุนหลังอยู่จึงสามารถทำเื่เช่นนี้ได้ แต่หากไม่สามารถปรุงยาอายุวัฒนะออกมาให้ได้ แล้วยังต้องจ่ายค่าตอบแทนก้อนใหญ่ให้อีก หากเป็เช่นนั้นคงถูกเอาเปรียบเข้าจริงๆ แล้ว เช่นนี้จะให้ตกปากรับคำจี้หลิงหยวนได้อย่างไร?
จี้หลิงหยวนหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกันนั้นก็หันหลังแล้วเดินเข้าไปในค่ายกลกระบี่โดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
ใบหน้าของลู่ไท่ชังบูดบึ้งไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็เช่นนี้ หรือว่าตัวเขาจะต้องไปที่ยอดเขาหนิงชุยเฟิงจริงๆ หรือ? ความสัมพันธ์ระหว่างาาโอสถเสิ่นตานเจวี๋ยกับตระกูลลู่นั้นธรรมดานัก แต่จากที่เขารู้มา ยังไม่ชัดเจนว่าาาโอสถเสิ่นตานเจวี๋ย จะสามารถปรุง “ยาศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างเทียนเฟิง” ออกมาให้ได้หรือไม่ เพราะเขาเพิ่งได้บรรลุขั้นเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าเมื่อไม่นานมานี้ และแม้ว่าเขาจะยอมปรุงยาให้แล้วอย่างไร? แต่ไม่อาจรับประกันความสำเร็จนั้นได้เลย? เขาเองก็ไม่ได้มีวัตถุดิบยามากนักที่จะให้เสิ่นตานเจวี๋ยนำไปเสี่ยงฝึกฝนฝีมือ
ทันใดนั้นลู่ไท่ชังก็พลันรู้สึกผิดหวังขึ้นมา และในขณะที่กำลังหมดหวังไร้ทางเลือก เขายืนครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินอย่างเด็ดขาดเรียกแสงหลบหนีออกมาแล้วพุ่งทะยานไปทางที่ตั้งของตระกูลลู่
แม้ว่าตัวตนของลู่อวี่ในฐานะคนปรุงโอสถขั้นห้าจะถูกเปิดเผยในเมืองเทียนตูเซียน แต่กลับทำให้ตระกูลลู่ทั้งผู้เฒ่าและเด็กๆ รู้สึกตื่นเต้นกันไม่น้อย แต่จู่ๆ เขากลับเดินทางมายังตระกูลลู่ในเวลานี้ นั่นยิ่งทำให้ทุกคนในตระกูลพลันตื่นตระหนก
เพียงแต่ว่าลู่เหว่ยจุนรู้สึกไม่พอใจต่อการแสดงออกของลูกชาย “เ้าออกไปเที่ยวเล่นไม่ว่า เหตุใดถึงได้เปิดเผยตัวตนของตัวเองในฐานะคนปรุงโอสถตามใจชอบเช่นนั้น?” มันไม่ใช่ว่าเขา้าปิดบังความลับที่ว่าลูกชายเป็คนปรุงโอสถขั้นห้า แต่กังวลเื่ความปลอดภัยมากกว่า เพราะท้ายที่สุดแล้ว “คนรวยที่สะสมทองนับพันไว้ในบ้านจะไม่นั่งหรือนอนใกล้ชายคาห้องโถงใหญ่เพราะกลัวกระเบื้องจะหล่นทับใส่” เป็สุภาษิตโบราณ หากเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น เพราะตัวตนถูกเปิดเผย จะมานึกเสียใจภายหลังคงสายไปแล้ว!
แม้ว่าลู่อวี่จะยังไม่สามารถเชื่อใจลู่เหว่ยจุนได้ในตอนนี้ แต่ก็ยังคงััได้ถึงความรักและความห่วงใยที่บิดามีให้ ดังนั้นจึงค่อยๆ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเทียนตูเซียนให้เขาฟังช้าๆ อย่างละเอียด ถึงได้ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสี่และคนอื่นๆ วางใจลงได้
และแม้ลู่อวี่จะบอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วว่าไม่ต้องกังวลเื่ความปลอดภัยของเขา แต่หากยังไม่เข้าใจสาเหตุหลักแล้วจะให้วางใจได้อย่างไร มันไม่ง่ายเลยที่ตระกูลลู่จะมีลูกหลานอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นมาได้สักคน หากเขาตายไปเช่นนี้ จะไม่ให้พวกเขาเสียใจได้อย่างไร!
ในศาลาเล็กๆ สำหรับพักผ่อนนอกถ้ำที่ลู่เหว่ยจุนฝึกตนอยู่ ลู่เหว่ยจุนและผู้เฒ่าทั้งสี่มองหน้าลู่อวี่ด้วยสีหน้าจริงจัง แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายก็ชัดเจนว่าคราวหน้าคราวหลังเขาห้ามออกไปเสี่ยงอันตรายอีก
ความรักและความห่วงใยจากบิดาและผู้เฒ่าทั้งหลาย ลู่อวี่ไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะตกปากรับคำ หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก็จะไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายอีก
ในอดีต ลู่อวี่เป็คนเสเพลเ้าสำราญก็พอว่า เพราะสำหรับผู้ที่มีอำนาจในมือแล้ว ต่างไม่มีผู้ใดมาสนใจคนเสเพลผู้หนึ่ง ถึงแม้คนเสเพลผู้นี้จะเป็นายน้อยของตระกูลลู่ก็ตาม แต่หลังจากกลายเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าที่อายุน้อยที่สุดในเทียนตูแล้ว ทุกสิ่งย่อมแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ลู่อวี่ก็ไม่แน่ใจกับเื่นี้นักว่า ตนเองจะดึงดูดผู้มีอำนาจที่ร่วมคิดกระทำชั่วเข้าหาตนอีกหรือไม่
ในเวลานี้ เมื่อเห็นบรรดาผู้เฒ่าปล่อยเขาไป ก็รีบเปลี่ยนเื่พูดและหยิบยาอายุวัฒนะบางอย่างที่เขาปรุงขึ้นตอนที่อยู่ที่เมืองเทียนตูเซียนมามอบให้บิดาเพื่อแจกจ่าย ถือว่าเป็การช่วยบรรเทาความกลัวเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขา
“อืม ดีมาก ยาไท่หยวน ยาหุยหยวน ยาหุยหยวนเป่า ยายืดอายุไป่เฉ่า ยาปรับร่างสามหยาง ยาเม็ดมรณะ ยาอายุวัฒนะน้ำค้างขาว ยาชะล้างอวี้จิงและยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาว นี่เ้ากำลังเปิดประชุมยาหรือ?” ผู้เฒ่าใหญ่ลู่หงเซิ่งหัวเราะและพูดไปด้วยอย่างมีความสุข
ผู้เฒ่าสาม ลู่หงจีหยิบขวดยาหุยหยวนเป่าขึ้นมาขวดหนึ่งแล้วหัวเราะเสียงดังพูดว่า “มียาล้ำค่าเหล่านี้อยู่ ตระกูลลู่ของเรา ยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีกเล่า? ฮ่าฮ่า!”
ลู่อวี่เห็นบิดาและบรรดาผู้เฒ่ามีสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นยาอายุวัฒนะมากมาย ก็ยกยิ้มและเตือนสติไปว่า “แม้ว่ายาอายุวัฒนะจะดี แต่การฝึกฝนเองย่อมมีความสำคัญกว่า หากพึ่งพามันมากเกินไป อาจกลายเป็ผู้ที่ไม่ให้ความสำคัญกับรากฐาน และสนใจแต่ปลายทางเท่านั้น ผู้าุโที่ถ่ายทอดการปรุงโอสถให้ข้าเมื่อแรกเริ่มนั้นก็เคยบอกไว้ว่าหากไม่มีใจแน่วแน่ที่จะแสวงหาทางธรรม และคิดแต่จะใช้ทางลัดเท่านั้น ก็ไม่อาจยืนหยัดและแสวงหาความหมายที่แท้จริงของสัจธรรมได้!”
เมื่อลู่เหว่ยจุนและคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มค้าง และตกตะลึง ผู้าุโท่านนั้นที่สอนให้คนเสเพลอย่างลู่อวี่ให้กลายเป็คนเก่งและเป็ถึงคนปรุงโอสถขั้นห้าผู้หนึ่งได้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะจินตนาการออกเลยแม้แต่น้อย และที่ผู้สูงส่งท่านนั้นกล่าวไว้ ก็คงไม่ใช่เพียงคำพูดลอยๆ อย่างขอไปทีแน่นอน
เมื่อลู่อวี่เห็นว่าคำพูดของเขาทำให้บรรดาผู้เฒ่าครุ่นคิดอย่างหนัก จึงโค้งคำนับให้เล็กน้อยแล้วถอยออกมา เขาไม่อยากให้สมาชิกในตระกูลจดจ่ออยู่แต่กับการบรรลุขั้นพลังยุทธ์ และพุ่งเป้าไปที่ยาอายุวัฒนะเพียงเพราะเขาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้า เขายังคงจดจำบทเรียนที่เขาได้รับเมื่อชาติก่อนได้อย่างไม่อาจลืมเลือน ดังนั้นถึงได้พูดเตือนสติในครั้งนี้ และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็ต้องขอยืมใช้ “ชื่อเสียงอันโด่งดัง” ของปรมาจารย์ผู้นั้นมากล่าวอ้างเสียหน่อย