เล่มที่ 4 บทที่ 96
ในจวนเฉิน, เฉินเทียนหยูเตะโต๊ะและเก้าอี้ทุกตัวลงกับพื้น เขากำลังจะกระแทกแจกันหลากหลายสีลวดลายสดใสในมือลงกับพื้น แต่เมื่อระลึกถึงคำพูดของน้องหญิงซึ่งบอกว่าเขาทำได้เพียงทุบโต๊ะและเก้าอี้เท่านั้น ห้ามไม่ให้ทำลายสิ่งของอื่นๆ เขาจึงวางแจกันของโบราณไว้บนชั้นวางอย่างเชื่อฟัง จากนั้นหยิบเก้าอี้ขึ้นมา แล้วกระแทกกับพื้นเต็มแรงอีกหน
“ข้าจะออกจากจวน ข้าจะพาน้องหญิงออกจากจวน น้องหญิงแต่งงานกับข้าเป็เวลานานแล้ว และข้าก็ไม่ได้พาน้องหญิงออกไปเล่นข้างนอกมาก่อนเลย ข้าจะพาน้องหญิงออกจากจวน ข้าจะพาน้องหญิงออกจากจวน”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเฉินเทียนหยูนำแจกันอันล้ำค่ากลับไปวางคืนสู่ที่เดิม หัวใจที่แขวนอยู่ของนางจึงผ่อนคลายลง นางรีบขยิบตาให้ฟางเอ๋อร์ และฟางเอ๋อร์ก็พยักหน้า สาวเท้าไปข้างหน้าและกอดแจกันไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็รีบเข้าไปข้างใน
เมื่อเห็นว่าของล้ำค่าภายในห้องถูกนำเข้าสู่ห้องด้านในแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก นางคิดในใจ วันข้างหน้านางจะต้องไม่วางของล้ำค่าไว้ในห้องโถงอีก ถ้าเกิดเฉินเทียนหยูโวยวายขึ้นมาอีกหน นางจะต้องเสียดายถึงกับอกแตกตายเป็แน่ โชคดีที่วันนี้เ้าหลานชายโง่งมยังรู้ว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ เขาทุบแค่โต๊ะกับเก้าอี้เท่านั้น
ความคิดนั้นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าฉุกใจถึงความแปลกพิกล ทำไมเขาถึงทุบโต๊ะและเก้าอี้โดยไม่ทุบสิ่งของอื่น? ในจังหวะที่กำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นกลับได้ยินเฉินเทียนหยูะโใส่ฟางเอ๋อร์ “เอาถ้วยนี้ออกไป ข้าจะไม่ทำลายให้แตก ถ้าเกิดมันกระทบพื้นแตก แล้วเกิดไปโดนเท้าของน้องหญิงขึ้นมา จะทำอย่างไรหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจทันทีว่า หลานชายโง่งมคนนี้กำลังคิดคำนึงถึงภรรยาของตัวเอง
หลังได้ยินเสียงคำรามของเฉินเทียนหยู ปี้เอ๋อร์ถึงกับต้องกลั้นรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในห้อง่ที่คุณหนูใหญ่สอนคุณชายรองถึงวิธีการทุบสิ่งของ ทุบถ้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ และทำให้ข้อเท้าของคุณชายรองได้รับาเ็ ทว่าคุณชายรองกลับอุ้มคุณหนูใหญ่โดยไม่พูดอะไร และ้าให้คุณหนูใหญ่ถอดรองเท้าเพื่อตรวจสอบดูว่านางได้รับาเ็หรือไม่
หลังจากรับรองว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้รับาเ็ คุณชายรองถึงได้ถอดรองเท้าและทายา ไม่คิดเลยว่า จวบจนกระทั่งตอนนี้ คุณชายรองยังคงนึกถึงมันอยู่ และกลัวว่าจะทำให้คุณหนูใหญ่ได้รับาเ็
“เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมถึงได้โวยวายในห้อง และแม้กระทั่งอาหารก็ไม่กิน?” ฮูหยินผู้เฒ่าสอบถามชุ่ยเอ๋อร์ หญิงสาวเ้าของชื่อจึงรีบคำนับและเอ่ยตอบ “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายรอง คุณชายรองได้แต่ร้องโวยวายว่าจะไปทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารจู้ฝู ฮูหยินน้อยเกลี้ยกล่อมแล้วก็ไม่ได้ผล ด้วยความโกรธขึ้ง คุณชายรองจึงทุบทุกอย่างในห้องและเกือบจะทำให้ฮูหยินน้อยได้รับาเ็ จ้าวจื่อซินได้ยินเสียงจึงรีบเข้ามาหยุดคุณชายรอง ถึงกระนั้นคุณชายรองก็ยังคงร้องโวยวายว่าจะไปร้านอาหารจู้ฝู ฮูหยินน้อยอับจนหนทาง จึงต้องมาขอคำแนะนำจากฮูหยินผู้เฒ่า”
หลังจากฟังคำพูดของชุ่ยเอ๋อร์ ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับปวดศีรษะสุดจะทน วันนี้นางเพิ่งเตือนมู่หรงฉิงว่าอย่าออกจากจวน แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยาม? หลานชายโง่งมของนางก็มาท้าทายอำนาจของนางเสียแล้ว
“ถึงอย่างไร ข้าไม่สน ข้า้าให้น้องหญิงออกจากจวนเป็เพื่อนข้าด้วย ข้าจะกินอาหารที่ร้านอาหารจู้ฝู” หลังจากทุบเก้าอี้ที่ยังไม่บุบสลายตัวสุดท้าย เฉินเทียนหยูก็เดินไปหามู่หรงฉิงและประคองนางอย่างระมัดระวัง
การกระทำของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกประทับใจมาก ชั่วครู่ก่อนขณะอยู่ในห้อง เขาดึงดัน้าให้นางถอดรองเท้าเพื่อตรวจสอบให้ได้ นั่นทำให้ความอบอุ่นพวยพุ่งในหัวใจของนาง
ระหว่างทานอาหารค่ำ มู่หรงฉิงมองอาหารบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย เฉินเทียนหยูไม่รู้สาเหตุ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามว่า “ทำไมน้องหญิงไม่กินข้าว?”
“โธ่ ข้าไม่ได้ไปที่ร้านอาหารจู้ฝูเป็เวลานานแล้ว ข้าคิดถึงฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวจากเจียงหนานอยู่หลายส่วน”
ด้วยถ้อยคำนั้น เฉินเทียนหยูถึงกับวางชามลงและพูดกับชุ่ยเอ๋อร์ว่า “พวกเราไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารจู้ฝูกันเถอะ เ้ามีเงินหรือไม่?”
“เรียนคุณชายรอง เงินเดือนของคุณชายรอง อยู่ในการดูแลของจ้าวจื่อซิน” ชุ่ยเอ๋อร์เห็นท่าทีของเฉินเทียนหยู นางรับรู้โดยทันทีว่าคุณชายรองกำลังจะพาฮูหยินน้อยไปที่ร้านอาหารจู้ฝู ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งจะตักเตือนฮูหยินน้อย จะยอมปล่อยให้ฮูหยินน้อยออกจากจวนไปได้อย่างไร?
“เรียกจ้าวจื่อซินเข้ามา แค่บอกว่าข้าจะไปที่ร้านอาหารจู้ฝู ให้เขาพกเงินไปมากกว่าเล็กน้อย” หลังจากนั้นเฉินเทียนหยูก็หยิบตะเกียบสะอาดที่มู่หรงฉิงถืออยู่ในมือ แล้วพูดว่า “น้องหญิง อย่าเศร้าเลย พวกเรากำลังจะไปที่ร้านอาหารจู้ฝู”
ท่าทีของเฉินเทียนหยูที่มีต่อนาง ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แต่นางกลับกล่าวว่า “ช่างมันเถอะ ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่ยอมให้ข้าออกจากจวน”
“ใครจะกล้า นางกล้าหยุดข้าหรือ ข้าจะเผาเรือนของนาง” หลังจากนั้นเฉินเทียนหยูก็ดึงมู่หรงฉิงออกไป ฝ่ายมู่หรงฉิงย่อมไม่สามารถออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น นางจึงดึงเฉินเทียนหยูและกระซิบคำสองสามคำด้านข้างใบหูของเขา หลังจากที่เฉินเทียนหยูได้ยิน ดวงตาของเขาถึงกับเป็ประกาย “จริงหรือ? นี่มันสนุกมากเลย”
“ใช่แล้ว ท่านพี่ขว้างสิ่งของจะต้องระวังเล็กน้อย อย่าทำให้ตัวเองหรือคนอื่นๆ ได้รับาเ็เชียว และไม่ว่าจะเป็ภาพวาด งานประดิษฐ์ตัวอักษร แจกันและอื่นๆ ท่านพี่จะต้องจำไว้ว่าอย่าทุบ ทุบแค่โต๊ะและเก้าอี้ก็เพียงพอแล้ว ตราบใดที่ท่านพี่มีความแน่วแน่ว่าต้องพาฉิงเอ๋อร์ออกจากจวนให้ได้ และแสดงความน่าเกรงขามออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน”
เฉินเทียนหยูได้ฟังก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลเป็อย่างมาก และการทำเช่นนั้นมันก็น่าสนุกจริงๆ ด้วยความตื่นเต้น เขาจึงผลักอาหารบนโต๊ะลงไปที่พื้น ทำให้ถ้วยบรรจุชาสมุนไพรหนึ่งถ้วยตกแตกบริเวณเท้าของทั้งสองคน ถ้วยแตกกระจายกลายเป็เศษเล็กๆ บาดข้อเท้าของเฉินเทียนหยูอย่างประจวบเหมาะ มู่หรงฉิงรีบร้อนจึง้าให้เขาถอดรองเท้าและทายา แต่เฉินเทียนหยูกลับค้อมตัวอุ้มมู่หรงฉิง และนั่งลงบนเก้าอี้ในระยะไกล “น้องหญิงถอดรองเท้าออกเร็วเข้า ข้าจะดูว่าน้องหญิงได้รับาเ็หรือไม่?”
“ฉิงเอ๋อร์ไม่เป็ไร ท่านพี่เืออกแล้ว ชุ่ยเอ๋อร์รีบไปหยิบยามาที่นี่ เร็วเข้า” ตนได้รับาเ็ แต่กลับเป็ห่วงเป็ใยนาง มู่หรงฉิงรู้สึกประทับใจมาก นางรีบบอกให้ชุ่ยเอ๋อร์ไปหยิบยา แต่เฉินเทียนหยูกลับส่ายศีรษะ “ข้าไม่เอา น้องหญิงถอดรองเท้าออกก่อน ข้าจะดูก่อนว่าน้องหญิงไม่ได้เป็อะไร ข้าถึงจะทายา”
สายตาที่ใสสะอาดของเฉินเทียนหยูเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น สายตาเช่นนั้นส่งผลให้มู่หรงฉิงตาพร่าเล็กน้อย ไม่อาจปฏิเสธต่อความดื้อรั้นของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงทำได้เพียงต้องถอดรองเท้าตามใจเขา
เท้าหยกสีขาวนวลเนียนอยู่ในฝ่ามือของเขา ชายหนุ่มตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันใบหน้าของมู่หรงฉิงกลับกลายเป็สีแดงก่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ หัวใจของนางเต้นเร็วมากยิ่งขึ้น
ชุนรุ่ย ชิวเหอและคนด้านข้างมองคนทั้งคู่พลางกุมปากแอบยิ้ม ทางด้านปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนั้น หน้าตาก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม มันไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะเห็นคุณหนู (ฮูหยินน้อย) ออกอาการเขินอาย และคนที่ทำให้นางเขินอายคือคุณชายรอง ซึ่งเป็เื่ยากเพิ่มมากขึ้นไปอีก
สุดท้ายเฉินเทียนหยูก็ตรวจสอบเสร็จสิ้น และรับรองได้ว่า มู่หรงฉิงไม่ได้รับาเ็ จากนั้นจึงค่อยๆ สวมถุงเท้าและรองเท้าให้กับนาง เมื่อเห็นชุ่ยเอ๋อร์นำกล่องยาเข้ามา เขาจึงหยิบด้วยตัวเอง ทายาโดยไม่ขมวดคิ้วแต่อย่างใด
หลังจากนั้นมู่หรงฉิงได้สอนเฉินเทียนหยูถึงวิธีการทุบสิ่งของเพื่อไม่ให้ทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น
มู่หรงฉิงสอนอย่างระมัดระวัง ฝั่งเฉินเทียนหยูก็เรียนรู้อย่างจริงจัง บางเวลาเขาแผดเสียงะโอย่างรุนแรง และเนื่องจากเพิ่มการฝึกมากขึ้น เขาจึงยิ่งทำได้สมจริงเพิ่มมากขึ้น ชุ่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดก่อนไปปิดประตู ด้วยวิธีที่ว่าทำให้ด้านนอกได้ยินแค่เสียงเฉินเทียนหยูทุบสิ่งของต่างๆ และได้ยินเสียงะโดังลั่นว่า “ข้าจะไปที่ร้านอาหารจู้ฝู”
มู่หรงฉิงนึกถึงสถานการณ์ใน่เวลานั้นพลอยรู้สึกอบอุ่นในใจทุกครั้ง เนื่องด้วยเฉินเทียนหยูปฏิบัติต่อนางด้วยดี มันทำให้นางรู้สึกว่านางทำบาปเกินไป เขาปฏิบัติต่อนางสุดหัวใจ แต่นางกลับใช้ประโยชน์จากเขาในทุกสิ่ง...
“เอาล่ะ เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าทุบของแล้ว ไปเถอะ ไปเถอะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเฉินเทียนหยูมองหาสิ่งของรอบๆ เพื่อทุบทำลาย นางก็ทำได้แค่โบกมืออย่างอ่อนแรง พร้อมพูดกับชุ่ยเอ๋อร์ว่า “เรียกจ้าวจื่อซินไปด้วย จะต้องจับตาดูคุณชายรองให้ดีๆ ล่ะ อย่าไปสร้างปัญหาข้างนอกเด็ดขาด”
“บ่าวรับทราบเ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์คำนับ ในใจนั้นชื่นชมฮูหยินน้อยเพิ่มมากยิ่งขึ้น ใช้คุณชายรองในการจัดการกับฮูหยินผู้เฒ่า วิธีนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ หากคุณชายรองมีสติ ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องปราบปรามในฐานะแม่ใหญ่ของครอบครัวได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้คุณชายรองกลายเป็คนโง่งมไม่ยอมรับเหตุผล ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ อยากจะทำอะไรต้องทำให้ได้ ถ้าไม่มีความสุขแล้ว เขาอาจจะเผาเรือนนี้ด้วยไฟจริงๆ กระมัง
ชุ่ยเอ๋อร์คิดในใจ ภายภาคหน้าฮูหยินน้อยจะต้องใช้คุณชายรองทำสิ่งต่างๆ เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน นางจึงหวังแค่ว่ามันจะไม่ขัดแย้งกับฮูหยินผู้เฒ่า แม้ว่าตอนนี้นางจะจงรักภักดีต่อฮูหยินน้อย ถึงกระนั้นหากเ้านายคนใหม่เป็ศัตรูของเ้านายเก่า มันคงเป็เื่ยากมากสำหรับนางที่จะทำการเลือก
หลังจากเอะอะโวยวาย ในที่สุดเฉินเทียนหยูก็พามู่หรงฉิงออกจากจวนเฉินอย่างมีความสุข ครั้นเห็นพวกบ่าวกำลังทำความสะอาดภายในห้องที่รกไม่เป็ระเบียบ ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับส่ายศีรษะและถอนหายใจ
เมื่อก่อนหยูเอ๋อร์เป็หลานชายที่ฉลาดหลักแหลมถึงเพียงไหน เขามีพร์ และความกล้าหาญของเขายิ่งทำให้นางรักเขามากยิ่งขึ้น และแม้กระทั่งฉีเอ๋อร์ พี่ชายใหญ่ของหยูเอ๋อร์ก็ยังมีความสามารถไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเขา แต่ตอนนี้ไม่มีเฉินเทียนหยูผู้ที่มีความโดดเด่นคนนั้นอีกต่อไป มีเพียงเฉินเทียนหยูที่โง่งมและคลุ้มคลั่งคนนี้เท่านั้น
สกุลเฉินทำบาปกรรมอะไรไว้หรือไม่? เป็ไปได้หรือไม่ว่า สกุลเฉินจะต้องสิ้นสุดภายใต้การดูแลของนาง?
ลูกชายของนางก็อยู่ในวัยสี่สิบแล้ว คงเป็เื่ยากที่จะแต่งอนุภรรยาและมีลูก ส่วนเฉินเทียนฉีก็หายตัวไปโดยปราศจากร่องรอย ขณะที่เฉินเทียนหยูนั้นโง่มาก ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้ดังนั้น นางพลอยรู้สึกหายใจไม่ออก นางวิงเวียนศีรษะและจึงรีบให้ฟางเอ๋อร์ช่วยประคองนางเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อพักผ่อน
ทางด้านเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งพามู่หรงฉิงออกจากจวน แน่นอนว่าเขาย่อมมีความสุขเป็อย่างมาก น้องหญิงแต่งงานกับเขาเป็เวลานานแล้ว และนี่ก็เป็ครั้งแรกที่เขาพานางออกมาทานอาหารเย็นด้านนอก เขารู้สึกไม่สบายใจยามนึกถึงน้องหญิงที่กำลังถือตะเกียบและบอกว่าไม่อยากอาหารเมื่อครู่ก่อน
“น้องหญิงชอบทานอาหารอะไรที่นั่นหรือ? พวกเราสั่งมาให้หมดแล้วค่อยกินอย่างช้าๆ ดีหรือไม่?” เมื่อก่อนเขากับจ้าวจื่อซินมักจะไปร้านอาหารจู้ฝูอยู่บ่อยๆ อาหารที่นั่นอร่อยจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่น้องหญิงบอกว่าอยากจะทานอาหารของที่นั่น
ปล่อยให้เขาวางมือลงบนฝ่ามือ จากนั้นมู่หรงฉิงจึงหันสายตาไปทอดมองผู้คนที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกหน้าต่างรถม้า แม้จะเป็เวลากลางคืน ทว่าตลาดร้านรวงกลับถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว และไฟก็สว่างขึ้นราวกับกลุ่มดาวนำทางเข้าไปยังถนนสายหมอก
เมื่อก่อนนางไม่ได้ออกไปดูตลาดใน่เวลาคืน ในเวลานี้หลังจากได้เห็นแล้วก็ทำให้ใจสั่นอย่างไม่อาจห้าม “หลังทานอาหารเย็น พวกเราไปเดินเล่นดีหรือไม่?”
“ได้ ได้ ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีแม่น้ำสายหนึ่ง และเรือในแม่น้ำทั้งใหญ่และสวยมาก หลายคนกำลังบรรเลงกู่ฉินและร้องเพลงอยู่ในนั้น มันไพเราะมากเลยล่ะ” เฉินเทียนหยูพูดพร้อมโบกไม้โบกมือด้วยอาการตื่นเต้น
มู่หรงฉิงได้ฟังเช่นนั้น นางย่อมเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่เขาพูดจะต้องเป็เรือนแพริมแม่น้ำเป็แน่ ได้ยินมาว่าขุนนางระดับสูงหลายคนจะไปฟังเพลง แม้ว่าพวกคนเ่าั้จะเป็ผู้หญิงบริสุทธิ์ซึ่งขายแต่งานแสดง แต่อย่างไรเสียพวกนางยังต้องลงเอยด้วยการเป็คณิกาชั้นสูง สถานที่นั้นจึงนับว่าเป็หอนางโลมอีกทางเลือกหนึ่ง
นางชายตามองไปที่จ้าวจื่อซินโดยไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพาเฉินเทียนหยูไปในที่เช่นนั้น?
จ้าวจื่อซินยักไหล่เมื่อถูกมอง “เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า คุณชายรองของพวกเราฟังเสียงบรรเลงเพลงของผู้หญิงเ่าั้จากระยะไกล แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไปที่ริมแม่น้ำและนั่งโง่ๆ มองคนอื่นฟังเพลงไปพลางย่างปลาอวบอ้วนไปพลาง”
“...” มู่หรงฉิงพูดไม่ออก เมื่อเห็นเฉินเทียนหยูที่ได้ฟังถ้อยคำว่า ‘ปลาอวบอ้วน’ เขาก็ดูเปรี้ยวปาก นางคิดว่าประโยคสุดท้ายเป็กุญแจสำคัญกระมัง?
แต่เฉินเทียนหยูชอบกินหวานไม่ใช่หรือ? ทำไมเ้าถึงอยากที่จะกินปลาย่างล่ะ?
“งานอดิเรกของคุณชายรองของพวกเรานั้นค่อนข้างพิเศษ แค่เห็นคนอื่นๆ ย่างปลาและกินปลาจากระยะไกล เขาก็จ้องมองจนน้ำลายสอ แต่ไม่ได้ไปแย่งปลาคนอื่นกิน นี่เป็การควบคุมตัวเองที่หาได้ยากมาก” ปรายตามองเฉินเทียนหยูอย่างหยอกเย้า นี่เป็ครั้งแรกที่จ้าวจื่อซินได้แสดงถึงความสงสัย “คุณชายรอง ปลาเ่าั้มีพิษหรือ? คุณชายรองดูจนน้ำลายสอ แต่กลับไม่ไปแย่งเขามากิน”
“ข้า... ข้าชอบกลิ่นหอมของปลาเ่าั้ แต่ข้าไม่ชอบกลิ่นบนเรือนแพ มันหอมเกินไป ข้าได้กลิ่นแล้ว ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ…” เป็เื่ที่หายากมาก เฉินเทียนหยูรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เขาจิ้มนิ้วของมู่หรงฉิงพร้อมพูดพึมพำว่า “คนพวกนั้นหอมมากเกินไป รมข้าจนแยกทิศทางไม่ออกแล้ว ข้าวิ่งไปที่นั่นเนื่องจากกลิ่นของปลาย่าง ข้าอยากกินมาก แต่ข้ากลัวว่าปลาจะมีกลิ่นเหมือนกับคนพวกนั้น เลยไม่กล้าไปแย่งเขากิน...”
เหตุผลช่างน่าขบขันจริงแท้ มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางดึงมือคันๆ ที่ถูกเขาจิ้มออกมา หยิบผ้าเช็ดหน้า และซับหยาดเหงื่อที่หน้าผากของเขาเสียแทน “เมื่อมีโอกาสได้ออกจากจวน พวกเราไปเดินเล่นบนูเากัน ฉิงเอ๋อร์จะย่างปลาอวบอ้วนให้ท่านพี่กิน ดีหรือไม่?”