อินเหิงเอ่ยเสียงแหบต่ำ "เมิ่งอู่ เ้ากำลังลูบคลำที่ใด?"
เมิ่งอู่รู้สึกตัวก็รีบกล่าว “อา ขออภัยๆ ข้าไม่เป็ตัวของตัวเองไปชั่วขณะ"
อินเหิงจ้องมองนางสักพักโดยที่พูดไม่ออก ก่อนเอียงศีรษะเล็กน้อยเผยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าเป็เพราะขำนางหรือโมโหกันแน่
เมิ่งอู่มองจนตาพร่า ตกตะลึงไปชั่วครู่ เหตุใดถึงมีคนยิ้มได้งดงามเยี่ยงนี้
ริมฝีปากชุ่มชื้นแดงระเรื่อ ยกมุมปากเล็กน้อยพอเหมาะพอเจาะ น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง “อาอู่ เ้าช่างมีเหตุผลเต็มที่มารองรับความหิวกระหาย”
เมิ่งอู่กล่าว “ข้า้าอันใดก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่เคยอ้อมค้อม อาเหิง ให้ข้าลูบคลำหน่อยได้หรือไม่?”
อินเหิงขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนยกมือเรียวขาวขึ้นมาจัดสาบเสื้อ ยกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยนไร้พิษภัย “ไม่ได้ หากให้เ้าได้ข้าง่ายๆ เช่นนี้ เ้าคงไม่เห็นค่าแน่”
เดิมที่เมิ่งอู่ดีต่อเขาเป็เพราะใบหน้าหล่อเหลาคมคายชนิดที่คนและเทพเคียดแค้น เวลานั้นนางยังไม่หิวกระหายเยี่ยงนี้ แต่ยามนี้ต่างออกไป อินเหิงทำให้นางได้ลิ้มรสความหวานหอมเข้าเสียแล้ว
เมิ่งอู่ชายตามองอินเหิงผาดหนึ่งแล้วกล่าว “เหมือนสูบฝิ่น ที่สำคัญคือยังไม่ยอมให้สูบทั้งหมดในคราวเดียว ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ผ่านค่ำคืนอันแสนลำบากไปด้วยกัน
พอฟ้าสาง เสื้อผ้าที่ผึ่งไว้บนเก้าอี้เข็นก็แห้งสนิท ยามสวมใส่เสื้อผ้า เมิ่งอู่จึงรู้ตัวว่าแขนของนางหนักอึ้ง แทบยกไม่ขึ้น
เมื่อวานยามตกลงมา นางออกแรงมากเกินไป แม้แต่ตัวนางยังเป็เช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอินเหิงที่ใช้พละกำลังมากกว่านาง กล้ามเนื้อย่อมได้รับาเ็
เมิ่งอู่กล่าว “อาเหิง ข้าช่วยเ้าแต่งตัวเถิด”
อินเหิงยกแขนขึ้น เมิ่งอู่จึงสวมเสื้อผ้าให้เขา สีหน้าเขาไม่ผิดปกติแต่อย่างใด
อินเหิงผูกเชือกเอง เมิ่งอู่มองแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าฝ่ามือของเขามีบางอย่างผิดปกติ นางพลิกมือเขาดู พบว่าฝ่ามือของเขาถลอกเป็แผล แดงก่ำ ทั้งยังบวมเล็กน้อย
เมื่อคืนนางไม่ทันสังเกตเห็น
เป็เพราะเมื่อคืนแสงสลัว แม้ต่อมาจะก่อกองไฟ แต่หากอินเหิงตั้งใจไม่ให้นางเห็น นางย่อมมองไม่เห็น
อินเหิงกล่าวอย่างใจเย็นและไม่ทุกข์ร้อน “ไม่เป็ไร เพียงแผลถลอก อีกสองวันก็หายแล้ว”
เมิ่งอู่เป่าลมใส่ฝ่ามือของเขาหลายหน รู้สึกปวดใจ “เหตุใดเ้าถึงไม่ส่งเสียงร้อง เจ็บหรือไม่?”
อินเหิงมองท่าทางปวดใจนาง สีหน้าเขาผ่อนคลายลงบ้าง “ไม่เป็ไร”
หลังจากนั้นเมิ่งอู่ก็ออกไปหาสมุนไพรนอกถ้ำ
นางพบตะกร้าที่ตกลงมาด้วยเมื่อวาน แต่สมุนไพรในตะกร้าบางส่วนกระจายอยู่ในบึงน้ำ บางส่วนกระจัดกระจายตามพงหญ้า ผลลัพธ์จากการทำงานหนักครึ่งค่อนวันสูญเปล่าแล้ว
แต่ยังมีทุกขลาภ ในไม่ช้าเมิ่งอู่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าในหุบเขานี้มีวัสดุยาล้ำค่าดีๆ มากมาย
นางรีบหาสมุนไพรที่ใช้รักษาาแภายนอกมาเคี้ยวจนยุ่ย ก่อนนำไปพอกฝ่ามือของอินเหิง
จากนั้นนางก็แบกตะกร้าออกไปเก็บสมุนไพรรอบๆ
กว่าพวกอันธพาลในหมู่บ้านจะมาถึง เมิ่งอู่ก็เก็บสมุนไพรจนเต็มตะกร้าแล้ว
ไม่โทษที่พวกอันธพาลมาช้า เพราะการปีนจากบนหน้าผาลงมาที่ก้นเหว เกรงว่าต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวัน จากนั้นต้องอ้อมเข้าหุบเขานี้ เมิ่งอู่คาดการณ์ไว้ว่าหากพวกเขานั่งพักระหว่างทาง น่าจะมาถึงหุบเขาตอนเที่ยง
ดังนั้นอันธพาลเหล่านี้จึงค่อนข้างน่าเชื่อถือ
ยากที่จะพูดอย่างอื่นเกี่ยวกับพวกอันธพาล แต่พวกเขาจงรักภักดี เมื่อพบเมิ่งอู่กับอินเหิง ทั้งหมดเหนื่อยหอบ แต่ก็ถอนหายใจโล่งอก
ปกติแล้วเหล่าอันธพาลในหมู่บ้านมักไม่ค่อยมีอารมณ์อ่อนไหว แต่ยามนี้พวกเขากลับถอนหายใจด้วยความอาดูรอย่างเลี่ยงไม่ได้ “โชคดีที่พี่ใหญ่กับหัวหน้าใหญ่ไม่เป็อันใด มิเช่นนั้นจะอธิบายเื่ที่นี่อย่างไร แล้วอีกสองชีวิตที่เรือนจะทำอย่างไร!”
“จู่ๆ ก็มีคนตายถึงสี่ชีวิต คิดแล้วก็เศร้าใจ!”
“ใบหน้างามล้ำอย่างนั้นของญาติผู้พี่ก็เสียเปล่าแล้ว!”
“ใช่ ต่อไปคงไม่ได้กินปิ่งหอมๆ ฝีมือของมารดาหัวหน้าใหญ่อีกแล้ว!”
เมื่อทุกคนมารวมตัวกัน พูดคนหนึ่งประโยคหนึ่งอย่างหยุดไม่อยู่ ความหมองหม่นเข้าจู่โจมจนเกือบหลั่งน้ำตาออกมา
เมิ่งอู่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อยู่ๆ ก็มีคนตายถึงสี่ชีวิต เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
พวกอันธพาลได้สติกลับคืนมา กล่าวว่า “ยามนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น พวกข้าแค่สมมติก็เศร้าใจจนทนไม่ไหวแล้ว”
ทุกคนพักผ่อนชั่วขณะ จากนั้นตักน้ำในบึงมาล้างหน้า ก่อนฮึดสู้ เร่งรุดเดินทางออกจากหุบเขาเพื่อกลับหมู่บ้าน
เมิ่งอู่ถาม “แล้วพวกชาวบ้านกับเมิ่งเจียนเจียที่มากับพวกเราเมื่อวานเล่า?”
อันธพาลตอบ “พวกเขากลับเรือนไปก่อนแล้ว นางคนนั้นขาอ่อนจนเดินไม่ไหว พานางไปด้วยมีแต่จะลำบาก”
เมิ่งอู่อดนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้
ปกติแล้วไม่ว่าเมิ่งเจียนเจียผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเพียงใด แต่นางเป็คนขี้ขลาด จะไม่เอาชีวิตตนเองมาล้อเล่นโดยจงใจไปยืนอยู่ริมหน้าผาที่พื้นดินอ่อนยวบแน่
ดังนั้นเมิ่งอู่จึงยื่นมือไปดึงนางไว้
เมิ่งอู่ถามต่อ “เมื่อวานเมิ่งเจียนเจียผลักข้าจากด้านหลังหรือ?”
เวลานั้นนางเพียงรู้สึกว่ามีแรงผลักจากด้านหลัง ไม่ทันได้หันกลับไปมอง แต่คนที่อยู่ข้างหลังนอกจากเมิ่งเจียนเจียแล้ว ยังจะมีผู้ใดอีก
อันธพาลกล่าว “ดูคล้ายนางไม่ได้ตั้งใจผลักหัวหน้าใหญ่ ข้าเห็นนางใจนยืนไม่มั่นคง ร่างกายซวดเซไปทางหัวหน้าใหญ่”
อันธพาลอีกคนกล่าวอีกอย่าง “นางไม่ใช่ดอกไม้ประจำหมู่บ้านซุ่ยหรือไร ไฉนนางคนนี้ถึงรู้แต่วิธีร้องไห้ ร้องเสียจนในใจข้ารำคาญ เกือบเตะนางให้ร่วงตกหน้าผาเพื่อความสงบแล้ว!”
จู่ๆ อินเหิงก็กล่าวเสียงต่ำและเ็า “หวังว่านางจะไม่ตั้งใจ”
แต่ต่อให้ไม่ตั้งใจ ก็เกินขอบเขตที่ผู้อื่นจะเข้าใจได้ การพลาดพลั้งครั้งนี้ไม่ใช่เื่ง่ายดายเหมือนการหกล้มครั้งสองครั้งเยี่ยงนั้น แต่เป็เื่ของการฉีกร่างหักกระดูกและชีวิตคนที่มีคุณค่า
หลังออกจากหุบเขา แสงตะวันเจิดจ้าก็ส่องอยู่เหนือศีรษะ แสงแดดแรงกล้าจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
พอทุกคนกลับมาถึงหมู่บ้านก็ผ่านยามบ่ายไปแล้ว ทั้งหิวทั้งร้อน
เมื่อกลับมาถึงเรือน เมิ่งอู่ก็รีบตรงเข้าห้องเพื่อดูอาการของนางเซี่ยกับซวี่เฉินฟาง
รอยคล้ำที่เบ้าตาของนางเซี่ยเข้มขึ้น คนก็ไม่ได้สติและไม่ตอบสนอง ส่วนซวี่เฉินฟางใบหน้าเขียว สันนิษฐานว่าเป็เพราะอาการของเขาค่อนข้างเบาและร่างกายแข็งแรงจึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
ก่อนเมิ่งอู่จะกลับมา เขานั่งสมาธิและปรับลมหายใจด้วยตนเอง
ระหว่างวันที่เมิ่งอู่กับอินเหิงไม่อยู่ พวกอันธพาลก็ทำตัวตามสบายในเรือนของนางราวกับเป็เรือนของตนเอง
อินเหิงกำชับไว้ว่าห้ามใช้น้ำในถังเก็บน้ำ พวกเขาจึงไปตักน้ำจากบ่อน้ำในหมู่บ้านมาทำอาหารในครัวของเมิ่งอู่จนควันโขมง
ในครัวมีแต่เสียงปังๆๆๆ ไม่นานก็มีอันธพาลคนหนึ่งะโพลางถือทัพพีในมือ “ไฟแรงเกินไป! มือสั่น คล้ายใส่เกลือเยอะไปหน่อย!”
อันธพาลที่กำลังก่อไฟกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เป็ไรๆ ถ้าเค็มก็กินข้าวเพิ่มอีกสองชาม”