อวิ๋นซีเพิ่งพูดจบ คนข้างกายก็หายไปแล้ว กว่าทุกคนจะดึงสติกลับมาได้ก็ปรากฏเป็ภาพฉากที่ชายหนุ่มกำลังบีบคอหลินหลานถิงอย่างโเี้อยู่ ดวงตาของเขาดำคล้ำอย่างอาฆาตมาดร้ายราวกับเป็ดวงตาของอินทรีหิมะในทุ่งหญ้ากว้าง จวินเหยียนถามด้วยน้ำเสียงอำมหิต “เ้า กล้า ด่า สตรี ของ เปิ่นหวาง ว่า คน ชั้น ต่ำ? ”
“อีกทั้งเ้ายังให้สาวใช้ลงมือกับนางด้วย สมควรตายนัก” อันที่จริงเขารู้เื่นี้นานแล้ว เพียงแต่อดทนไว้มาโดยตลอด มิเช่นนั้นสตรีนางนี้คงไม่ได้อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่นางล่วงเกินภรรยาตนแล้วยังจะไม่ทำตัวเป็คนซ่อนหาง [1] แต่กลับเก่งกล้าโอหังอยู่ที่นี่ คนช่างรนหาที่ตายจริงๆ
ผิงถิงจวิ้นจู่เห็นคนบีบคอบุตรสาวตน อีกทั้งคนยังมีทีท่าที่คล้ายจะหายใจไม่ออกแล้ว ความโกรธในใจก็โลดขึ้นมาทันที “โอวหยางจวินเหยียน ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้ ตัวเ้าเป็ถึงท่านอ๋อง แต่กลับถือสาเอาความกับหลานเอ๋อร์ที่เป็เพียงสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เ้ายังเป็ผู้ชายอยู่หรือไม่”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็เดินเข้าไปข้างกายโอวหยางจวินเหยียน เพื่อเผชิญหน้ากับผิงถิงจวิ้นจู่โดยตรง “เขาเป็ผู้ชายหรือไม่ ด้วยเื่นี้ เปิ่นเฟยรู้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ลำบากผิงถิงจวิ้นจู่ให้ต้องมาเป็กังวล อย่างไรก็ตาม หลายวันก่อนเปิ่นเฟยได้กำชับให้องค์ชายห้าช่วยอบรมสั่งสอนบุตรสาวคนนี้ของเ้าให้ดี แต่มาวันนี้ดูเหมือนว่าองค์ชายห้าจะทำไม่ได้”
ผิงถิงจวิ้นจู่เคยถูกคนพูดจาเช่นนี้ด้วยเมื่อไรกัน ตอนเด็กๆ มารดารักใคร่ตามใจนางเสมอมา นอกจากเ้าลูกนังชั้นต่ำคนนั้น นางก็ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ความเหนือกว่าผู้ใดที่มีมาแต่เด็กทำให้นางรู้สึกว่าตนคือผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้ง บิดาของตนคือเจิ้นหนานอ๋อง เป็ขุนนางใหญ่มากความชอบ ดังนั้น ตัวนางในฐานะที่เป็ธิดาสายตรง แน่นอนว่าต้องสูงส่งล้ำค่าอย่างที่สุด
ตอนนี้กลับถูกนังชั้นต่ำผู้หนึ่งตอกกลับเช่นนี้ เกินไปแล้วจริงๆ
“พอแล้ว หุบปากเสีย” เจิ้นหนานอ๋องมองบุตรสาวและหลานสาวของตนด้วยสายตาเ็า สุดท้ายเขาก็พูดกับจวินเหยียนว่า “หนิงอ๋อง หากทรงคิดจะสังหารนางจริงๆ ก็ขอให้ผ่านพ้นงานเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบิดาพระองค์ไปก่อน”
อวิ๋นซีมองคนชราตรงหน้าด้วยอดไม่ได้ให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คนถึงกับพูดคำนี้ออกมา เมื่อครุ่นคิดกับตัวเองอีกครั้ง นางก็กอบกุมมือของสามีเบาๆ “ช่างเถิด วันนั้นก็ได้ลงโทษนางไปแล้ว วันนี้เห็นแก่เสด็จอาเจิ้นหนาน ไม่ถือสาหาความนาง” พูดจบ อวิ๋นซีก็หันมองเจิ้นหนานอ๋อง ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าเจิ้นหนานอ๋องผู้นี้ดูคุ้นตาเล็กน้อย “เพียงแต่ หากมีครั้งต่อไป ตัวข้าจะไม่พูดง่ายดังเช่นในวันนี้แน่ ท่านควรต้องรู้ คุณหนูรองหลินทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็การด่าทอคนในราชวงศ์”
เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้าเห็นด้วยแต่โดยดี แต่ผิงถิงจวิ้นจู่ที่ข้างกายกลับดูคล้ายยังอยากจะพูดอะไร ผู้เป็บิดากล่าวเสียงต่ำ “หากยังจะพูดมากอีกคำหนึ่ง ครอบครัวเ้าก็ไสหัวกลับชายแดนฝั่งใต้ไปเสียเดี๋ยวนี้”
ด้วยเหตุนี้เอง ผิงถิงจวิ้นจู่สองแม่ลูกจึงได้ชะงักค้างไป ไม่มีใครกล้าพูดอันใดอีก ไร้สาระเสียจริง! กว่าพวกนางจะมายังเมืองหลวงได้นับว่าไม่ง่ายเลย หากให้กลับไปยังชายแดนฝั่งใต้อีกจะไม่เป็การสูญเสียโอกาสดีๆ นี้ไปหรือไร
ที่สำคัญกว่านั้น นางยังต้องเลือกสามีดีๆ จากที่นี่ให้บุตรสาวอีกด้วย
ถึงแม้การเจอกันครั้งแรกจะไม่ประทับใจ เกิดความไม่พอใจต่อกัน แต่อวิ๋นซีก็ยังจัดแจงให้ครอบครัวเจิ้นหนานอ๋องเข้าพักที่สวนตะวันตก ซึ่งพื้นที่บริเวณสวนตะวันตกนี้ใหญ่เสียยิ่งกว่าพื้นที่ของสวนตะวันออกที่ครอบครัวอวิ๋นซีพักอยู่ในตอนนี้มาก ทว่า นอกจากเรือนพักของเจิ้นหนานอ๋องแล้ว สำหรับคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนให้เลือกสรรกันเอง
ครั้งนี้ คนที่เจิ้นหนานอ๋องพามามีแค่ลูกสาว ลูกเขย และหลานสาวทั้งสอง ขณะนั้นอวิ๋นซีก็กลับไปที่ห้องนอนตน เอนกายอยู่บนตั่งนิ่มพลางขบคิดถึงลูกสาวตัวน้อยของผิงถิงจวิ้นจู่ที่ได้ยินว่า ปีนี้อายุสิบสามแล้ว คนเป็ลูกสาวคนเล็ก มีนามว่า หลินหลานซิน
ยิ่งกว่านั้น สำหรับเื่ที่เกิดขึ้นในโถงรับรองหลักของวันนี้ หลินหลานซินเรียกได้ว่าไม่ปริปากพูดแม้แต่ประโยคเดียว นิ่งสงบั้แ่ต้นจนจบ อวิ๋นซีขบคิด เกรงว่าคนที่ไม่ธรรมดาที่สุดในจวนเจิ้นหนานอ๋องคงจะเป็คุณหนูสามหลินผู้นั้นเป็แน่
สิ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ คุณหนูสามหลินผู้นี้เป็คนถ่อมตน ไม่ค่อยแสดงออกเสียจนแทบจะไม่มีตัวตนในสังคมใด ดังนั้น คนมากมายจึงรู้จักเพียงหลานสาวคนโตของเจิ้นหนานอ๋องที่ยามนี้เป็ชายาองค์ชายห้า และคุณหนูรองหลิน หลินหลานถิง ส่วนคุณหนูสามหลินนั้นมีคนรู้จักน้อยนัก
เมื่อจวินเหยียนอาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมา และได้เห็นภรรยาเอนกายอยู่บนตั่งนิ่ม ทว่า อาภรณ์บริเวณหน้าอกของนางกลับค่อยๆ คล้อยลง สายตาของเขาจึงตกลงที่บางสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่บนกระต่ายน้อยขาวอวบสองตัวตรงหน้าภรรยา เขาเลิกคิ้ว และคิดในใจว่า เ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือสิ่งใด อีกทั้ง นางยังถึงกับไม่สวมใส่เอี๊ยมบังทรง
อวิ๋นซีรับรู้ได้ถึงสายตาอันร้อนแรงของบุรุษ นางก้มลงสำรวจตนเอง ก่อนจะค้นพบว่า ที่แท้สายรัดเอวของเสื้อคลายออกนี่เอง อวิ๋นซีแสร้งทำเป็เกรี้ยวกราดจ้องมองสามีตน “มองอันใด หากยังจะมองอีก ข้าจะควักลูกตาท่านออกมา”
จวินเหยียนเดินเข้าไป ยกคนขึ้นนั่งบนตักตน “ข้าก็แค่มองภรรยาตนเอง ผิดกฎหมายด้วยหรือ อีกประการ เ้าเองก็ไม่สวมกระทั่งเสื้อเอี๊ยม แล้วยังปล่อยให้เสื้อผ้าหลุดลุ่ย มิใช่ว่ากำลังเชื้อเชิญให้ข้ามองหรอกหรือ? หรือว่าข้าเข้าใจผิดไป”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ตีเข้าที่หน้าอกเขาโดยแรง ทว่าในทางกลับกันหน้าอกที่แข็งแกร่งนั้นกลับทำให้มือของนางเจ็บแทน “ความหมายของท่านคือ เปิ่นเฟยกำลังยั่วยวนท่าน? ท่านนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”
นางไม่สวมเสื้อตัวในที่ไหนกัน? เพราะสิ่งที่นางกำลังสวมใส่อยู่ด้านในนี้เป็เสื้อชั้นในตัวใหม่ที่เพิ่งจะทำเสร็จเมื่อสองสามวันก่อน เป็เสื้อชั้นในที่เพิ่งจะซักตากจนแห้งก็วันนี้ อย่างไรก็ตาม นางคิดว่าการสวมใส่เอี๊ยมบังทรงมีแต่จะทำให้หน้าอกตนหย่อนคล้อย หากปล่อยให้เป็เช่นนี้นานวันเข้า อีกไม่กี่ปีข้างหน้าหน้าอกอายุยี่สิบกว่าปีของนางก็อาจคล้ายกับหน้าอกของหญิงอายุสี่สิบห้าสิบปีในยุคปัจจุบัน หย่อนคล้อยมากเกินไป
ถึงกระนั้นภายใต้สายตาของคนมักมากเยี่ยงเขากลับกลายเป็ว่า ตัวนางไม่ได้สวมใส่เสื้อตัวใน และกำลังยั่วยวนเขาอยู่
เมื่อจวินเหยียนได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็แค่นเสียงเ็า ตีก้นนางแรงๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงอุ้มคนไปที่เตียงด้วยตั้งใจจะสั่งสอนสักรอบ การจะลงโทษภรรยาตนเองไม่จำเป็ต้องใช้ฝีมือพิเศษแต่อย่างใด แค่กดคนลงไปบนเตียง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเชื่อฟังเพียงเขาอย่างแน่นอน
เช้าวันถัดมา อวิ๋นซีแบกร่างที่เหนื่อยล้าของตนลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะได้ยินเสียงสาวใช้รายงานว่า ยามนี้ชายารัชทายาท ชายาองค์ชายสาม ชายาองค์ชายสี่ และชายาองค์ชายห้าเสด็จมาที่จวนอ๋องแล้ว
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็แทบอยากจะสบถออกไปสักประโยคว่า บ้าจริง นี่มันอันใดกัน ไม่ว่าเื่ใดก็เข้ามารุมเร้าเอาเวลานี้หมด
ทว่า ท้ายที่สุดนางกลับทำได้แค่ให้คนเข้ามาช่วยตนแต่งองค์สวมอาภรณ์อย่างยอมรับในชะตากรรม นางถามเตี๋ยอี “ท่านอ๋องเล่า? ”
เตี๋ยอีช่วยนางสวมผ้ารัดเอวไปพลาง กล่าวตอบไปพลาง “ท่านอ๋องออกไปกับเจิ้นหนานอ๋องั้แ่เช้าแล้วเพคะ พระองค์ตรัสว่าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าา แต่ก่อนออกไปได้กำชับพวกบ่าวไว้ว่า อย่าได้ทำเสียงดังจนนายหญิงตื่น ให้นายหญิงได้หลับต่ออีกหน่อย”
อวิ๋นซีที่ได้ฟังก็นึกอยากจะไปลากบุรุษที่ทรมานนางจนดึกดื่นค่อนคืนมาตีสักรอบ นางถามเรียบๆ “แล้วชายาองค์ชายที่ไม่มีอะไรทำเ่าั้มาถึงที่นี่ั้แ่เมื่อใด? ”
“มาถึงราวครึ่งชั่วยามแล้วเพคะ เพียงแต่ก่อนออกไป ท่านอ๋องทรงกำชับว่า ห้ามเรียกพระชายาเด็ดขาด ดังนั้น จวิ้นจู่น้อยจึงให้พวกนางรอท่านอยู่ที่โถงรับรองหลักเพคะ” เตี๋ยอีเกล้าผมให้อวิ๋นซีพร้อมบอกเื่ราวที่เกิดขึ้นในจวนวันนี้ไปรอบหนึ่ง
เมื่อวานอวิ๋นซีสั่งให้เตี๋ยอีไปที่โรงครัวใหญ่ เพื่อให้ทางนั้นจัดเตรียมสำรับอาหารทั้งของภาคใต้และเมืองหลวงส่งไปยังสวนตะวันตก อีกทั้ง ตอนที่นำไปส่ง ให้นำเตาอุ่นอุ่นไปด้วยอย่างดี เพราะในเมื่อมีผู้อื่นเข้ามาพำนักในจวนอ๋อง ก็ต้องทำให้ดีจนคนหาข้อผิดพลาดไม่ได้
แต่ว่า วันนี้ยามที่คนครัวนำสำรับเช้าไปส่ง สาวใช้ผู้หนึ่งกลับถูกผิงถิงจวิ้นจู่ตี พร้อมบอกด้วยว่า อาหารที่จวนอ๋องจัดเตรียมให้ไม่สดใหม่พอ ทั้งยังบอกอีกว่า คนในจวนหนิงอ๋องมีใจคิดอยากจะทำให้นางท้องเสีย
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ทำตัวเป็คนซ่อนหาง(夹着尾巴做人)เปรียบเทียบถึงคนที่กระทำความผิดต้องทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวเพื่อเป็การแสดงออกว่าสำนึกผิด