เรือนหน้าสกุลสวี่ สวี่เจินผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็โหวเย่หรือนายท่านของจวนกำลังประชุมอยู่กับเหล่าผู้ช่วยในห้องตำรา
ครอบครัวคุณชายสามของจวนโหวเพิ่งจะสอบเข้าราชการได้สำเร็จจึงจำเป็ต้องออกเดินทางเพื่อไปแก้บน กลับมาเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้น มิอาจทำให้คนคิดว่าไม่มีแผนการแอบซ่อนอยู่ได้ ในคราแรกนั้นนายท่านพยายามหาคนให้เจอ สุดท้ายเมื่อไปถึงสถานที่เกิดเหตุกลับพบว่า ม้าตกลงไปตายในหุบเหว ส่วนรถม้าเองก็ตกลงไปในแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลเช่นเดียวกัน น้ำในแม่น้ำสายนั้นช่างไหลเชี่ยวกรากนัก ถึงแม้นายท่านจะส่งคนลงไปงมหาแล้ว แต่ความหวังที่จะพาคนกลับมานั้นค่อนข้างริบหรี่
ในจวนนี้ทั้งหมดล้วนเป็หน้าที่รับผิดชอบของโหวเย่ จวนโหวเกิดเื่ใหญ่เช่นนี้ขึ้น ในเวลานี้ทุกคนต่างไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดออกมาดี
หย่งหนิงโหวเย่มองเหล่าผู้ช่วยข้างกาย ก่อนจะโบกมือแล้วกล่าวขึ้นว่า “เื่มาถึงตอนนี้แล้ว ทุกท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
หย่งหนิงโหวเย่ใช้เวลาอยู่ในห้องตำราเป็เวลานานแล้ว ในขณะนั้นเองผู้ดูแลและซื่อจื่อก็พากันเดินเข้ามาด้านใน
โหวเย่มองซื่อจื่อด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวัง แต่ซื่อจื่อกลับทำหน้าเศร้าแล้วส่ายหน้าเบาๆ นายท่านเห็นเช่นนั้นสีหน้าก็หม่นหมองลงทันใด พลันโบกมือ
ซื่อจื่อจึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อขอรับ ข้าได้ส่งคนไปเพิ่มแล้ว คราวนี้ให้ลงไปหาในแม่น้ำอย่างละเอียดอีกครั้ง จะต้องตามหาน้องสามเจออย่างแน่นอนขอรับ”
นายท่านส่ายหน้า ก่อนจะกล่าว “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว เ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
ซื่อจื่อยังอยากจะกล่าวเพิ่มเติมอีกสักหน่อย แต่นายท่านกลับโบกมือ เขาจึงจำต้องกล่าวลาแล้วออกไป
เขากลับไปยังเรือนหลัง หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงตรงไปยังเรือนของหย่งหนิงโหวฮูหยินก่อน
อู่ซื่อ [1] ผู้ซึ่งเป็ฮูหยินของหย่งหนิงโหวเย่ มาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง แต่งงานกับหย่งหนิงโหวเย่มาแล้วหลายสิบปี ในคราแรกนั้นทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียวกันดี เสียดายที่หลังจากเกิดเื่ของอนุจู้ขึ้น อู่ซื่อกับหย่งหนิงโหวเย่ต่างทำตัวเ็าใส่กัน หลายปีมานี้ความรู้สึกของทั้งคู่เริ่มที่จะจืดจางลง
หลังจากซื่อจื่อสวี่เวยออกไปข้างนอกมาทั้งวัน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พอมาถึงเขาพบว่าในเรือนของมารดาตนเองได้จัดเตรียมอาหารที่มีกลิ่นหอมเอาไว้พร้อม จึงยิ้มออกมาขณะเอ่ย “ขอบคุณขอรับท่านแม่”
จวนโหวมีกฎอยู่มากมาย ขณะทานอาหารจะไม่มีการพูดคุยกัน หลังจากอู่ซื่อทานอาหารกับสวี่เวยเสร็จแล้ว สองแม่ลูกจึงมานั่งพูดคุยกันที่บนตั่งหลัวฮั่นริมหน้าต่าง
หลังจากสาวใช้รินชาให้แล้ว อู่ซื่อจึงสั่งให้ออกไป ก่อนนางจะเอ่ยถามบุตรของตนว่า “เ้ามีความคิดเห็นอย่างไร คิดว่าเป็อุบัติเหตุหรือมีคนจงใจทำหรือไม่?”
สวี่เวยส่ายหน้าพลางกล่าวกับมารดาว่า “พูดยากขอรับ แต่ที่เกิดเหตุพบรอยเท้าหลายรอย ตอนที่พวกเราไปทางนั้นมีหลายคนเดินผ่าน จึงมองไม่ออกว่าเป็รอยของผู้ใด”
อู่ซื่อถอนหายใจ “ครอบครัวสามน่าสงสารยิ่งนัก”
สวี่เวยได้ยินก็กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านว่าเกิดเื่ใหญ่เช่นนี้ ทางด้านจู้อี๋เหนียง [2] เหตุใดถึงไม่มีการเคลื่อนไหวเลยล่ะขอรับ?”
อู่ซื่อฟังแล้วก็ยิ้มเย็น “ปกติแล้วนางก็เป็คนที่เ็าเช่นนี้ จะไปมีความเคลื่อนไหวอันใดได้อย่างไร? ข้าอยากให้คุณชายสามสอบติดราชการนัก ต่อไปจะได้เป็ผู้ช่วยของเ้าได้ ใครเล่าจะรู้ว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น”
สวี่เวยเอ่ย “ข้าได้เพิ่มกำลังคนให้ลงไปหาในแม่น้ำแล้วขอรับ จะเจอหรือไม่นั้นก็ต้องแล้วแต่์แล้วล่ะขอรับ”
ทางด้านจวนโหวในคืนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังสามารถนอนหลับสนิทได้ เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ก็จัดการส่งกำลังคนจำนวนมากออกไปตามหาคนที่ด้านนอกเมือง ผู้คนมากมายในเมืองต่างก็ทราบแล้วว่าคุณชายสามของจวนหย่งหนิงโหวเกิดเื่ขึ้น สายข่าวเล็กๆ มากมายก็เริ่มส่งต่อกันไปทั่ว ที่เป็เช่นนี้เพราะสวี่เหราเป็ข้าราชการคนใหม่ที่เพิ่งจะสอบติด ผู้คนจึงยิ่งให้ความสนใจ แม้แต่คนในวังเองยังติดตามเื่นี้
ด้วยเหตุนี้ ในใจของหย่งหนิงโหวเย่จึงยิ่งเป็กังวล หลังจากต้องรับมือกับผู้คนมากมาย เขาก็ล้มพับหมดสติไปในห้องตำราของเรือนหน้า สวี่เวยเองรู้สึกหมดหนทางเช่นกัน ทำได้เพียงรับหน้ากับบรรดาญาติมิตรและสหายทั้งหลายที่ได้รับข่าวแล้วเดินทางมาเยือนจนถึงเย็น
จวนโหวเกิดเื่ใหญ่เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องได้รับทราบข่าวนี้อยู่แล้ว นางให้คนไปเชิญโหวเย่มาเพื่อจะสอบถาม จึงได้รับข่าวว่าโหวเย่นั้นทั้งร้อนใจทั้งเหนื่อยอ่อนจนล้มป่วย จึงอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ บุตรชายของตนเป็คนเช่นไร ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็ภรรยาของหย่งหนิงโหวเย่รุ่นที่สอง เมื่อก่อนบรรพบุรุษรุ่นที่หนึ่งนั้นเดินทางร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับจักรพรรดิ ราชวงศ์ก่อนราชวงศ์เหลียงนั้นเกิดการคดโกงกันในราชสำนัก ประชาชนต่างประสบกับความลำบากยากแค้น จึงมีคนกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันก่อฏโค่นล้มอำนาจจักรพรรดิและจัดการขุนนางฝ่ายกังฉิน หย่งหนิงโหวรุ่นแรกเข้าร่วมการก่อฏเพื่อต่อสู้ยึดคืนบ้านเมืองด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นจึงร่วมมือกันสถาปนาราชวงศ์เหลียงขึ้นมาใหม่
หลังจากราชวงศ์เหลียงก่อตั้งมาได้หลายสิบปี อาณาเขตรอบด้านมักจะมีาอยู่ตลอด หย่งหนิงโหวเย่รุ่นที่สองเป็แม่ทัพคอยปกป้องประตูเมืองด้านข้าง จึงชำนาญวิชาการต่อสู้ขี่ม้า ต่อมาเมื่อเห็นว่าบ้านเมืองสงบลง ทั้งสี่ทิศต่างร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลอง ด้วยอุดมการณ์เพื่อการพัฒนาต่อไปของจวนหย่งหนิงโหว นายท่านรุ่นที่สองจึงมิได้ให้บุตรชายของตนเองเรียนรู้ด้านการรบการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาเป็นายท่านที่ดูเหลาะแหละ
ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่กับหย่งหนิงโหวเย่รุ่นที่สองมาเป็เวลานาน ความรู้ที่มีก็หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีเช่นนางได้ นางรู้จักบุตรชายของตนเองดี โดยปกติแล้วเขาดูเป็คนที่ไม่ค่อยจะทำอันใดเป็ชิ้นเป็อันอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อถึงคราวที่ต้องจัดการกับเื่ใหญ่เช่นนี้ ยิ่งไม่มีทางที่จะเรียกใช้คนทั้งจวนได้
ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน บ่าวชราข้างกายเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าคะ ท่าน้าจะทำสิ่งใดหรือเ้าคะ?”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวตอบ “เ้าไปเรือนหน้ากับข้า ข้าจะไปดูเสียหน่อยว่าเป็อย่างไรกันบ้างแล้ว”
บ่าวชราแซ่เสิ่น เป็สาวใช้ที่ติดตามฮูหยินผู้เฒ่าั้แ่ก่อนออกเรือน หลังจากจื่อหลิว [3] แล้ว ั้แ่นั้นเป็ต้นมานางก็เฝ้าติดตามรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาตลอด ทั้งสองอยู่ร่วมกันมานานหลายสิบปี เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ ป้าเสิ่นจึงเข้าใจความหมายที่ฮูหยินผู้เฒ่า้าจะสื่อโดยทันที
ป้าเสิ่นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เรือนหน้ามีโหวเย่อยู่นะเ้าคะ เมื่อสองวันก่อนได้ยินว่าท่านอาการมิใคร่จะดีนักเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นพลันส่ายหน้าก่อนจะกล่าว “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องไปดูให้เห็นกับตา”
ป้าเสิ่นได้ยินคำยืนยันเช่นนั้นจึงรีบเรียกคนดูแลข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาปรนนิบัติตลอดขั้นตอนการอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ หลังจากนั้นจึงมีเกี้ยวเล็กซึ่งแบกโดยสาวใช้หลายคนเพื่อพาฮูหยินผู้เฒ่าเดินทางไปยังเรือนหน้า
ผู้คนที่เรือนหน้าเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่า ก็รีบไปรายงานโหวเย่ ซึ่งโหวเย่เมื่อทราบเื่ก็รีบออกมารอต้อนรับที่หน้าประตูห้องตำรา พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเขาจึงกล่าวออกมาด้วยความอับอายเจือความรู้สึกผิด “ลำบากท่านแม่ต้องเดินทางมาแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเมินคำพูดนี้แล้วเดินเข้าไปในห้องตำรา
หญิงชรามองไปยังโหวเย่ ซึ่งปีนี้มีอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว บุตรในเรือนที่มีพร์ด้านการเล่าเรียนที่สุดคือคุณชายสามสวี่เหรา กว่าจะสอบเข้าราชการได้ ในขณะที่กำลังจะได้เลือกตำแหน่งที่จะต้องเข้าไปประจำการกลับเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม “โหวเย่ เ้ามีแผนการอย่างไรกับการจัดการเื่นี้?”
โหวเย่ได้ฟังคำถามเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างคนไม่เข้าใจว่า “ท่านแม่ ตอนนี้ข้าได้ส่งคนออกไปตามหาเหราเอ๋อร์แล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยตัดบทโหวเย่ทันใด “โหวเย่ การส่งคนออกไปมากมาย หากหาเจอย่อมเป็เื่ที่ดีที่สุด แต่หากหาไม่เจอเล่า หาไม่เจอแล้วพวกเราจะทำเช่นไรต่อไป? เหราเอ๋อร์ยังมีบุตรสาวอยู่หนึ่งคน บุตรสาวผู้นี้ควรจัดการเช่นไร? ทางสกุลจางเล่า เ้าได้ส่งคนไปแจ้งเื่นี้แล้วหรือไม่?”
โหวเย่เอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด “ท่านแม่ เมื่อวานหลังจากได้รับจดหมายข้าก็ออกไปตามหาอยู่ด้านนอกตลอด วันนี้มีคนมาเยือนที่จวนของพวกเรามากมาย ข้ามิทันได้พิจารณาถึงเื่พวกนี้เลยขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวว่า “โหวเย่ เ้าเป็นายของจวนนี้ เป็เ้านายของจวนโหว คนของจวนโหวล้วนฟังคำสั่งของเ้า ตอนนี้รีบส่งคนไปส่งจดหมายให้สกุลจาง เรียกให้คนสกุลจางมาหารือกัน และบุตรสาวของเหราเอ๋อร์ที่เหลืออยู่ต่อไปจะใช้ชีวิตเช่นไร นี่คือสิ่งที่เ้าจำเป็ต้องพิจารณาในตอนนี้ นี่คือสิ่งเดียวที่เหราเอ๋อร์ทิ้งเอาไว้ที่นี่”
ฮูหยินผู้เฒ่ารับรู้ถึงเจตนารมณ์ของบุตรชายตนเองดี เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่านางถึงได้ไม่้าให้บุตรของนางเป็อย่างอื่น ขอแค่เป็เพียงโหวเย่ผู้ร่ำรวยของจวนโหวเช่นนี้ต่อไปก็เพียงพอแล้ว และโชคดีที่ในเรือนมีคุณชายสามที่เรียนดีจนได้เป็ขุนนาง เมื่อเห็นว่าคุณชายสามสอบติด ต่อไปต้องมีอนาคตที่ดีเป็แน่ อนาคตของจวนโหวย่อมมีความหวัง แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยความจริงใจ “โหวเย่ หลายปีมานี้เ้าต้องมองดูอำนาจของจวนโหวของพวกเราถดถอยลงเรื่อยๆ ข้ารู้ว่าเ้าร้อนใจ ข้าเองก็ร้อนใจเช่นกัน จวนของพวกเรามีคนตั้งมากมาย และผู้คนที่มาพึ่งพิงจวนของพวกเรา ต่างเป็ความรับผิดชอบของพวกเรา ข้ารู้ว่าความรับผิดชอบนี้มันหนักหนามาก”
โหวเย่มองฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ปีนี้นางอายุเจ็ดสิบแล้ว ผมขาวทั้งศีรษะ เมืองหลวงใหญ่โตกว้างขวางเช่นนี้ หากเป็จวนอื่นและยังสามารถมีชีวิตอยู่ถึงอายุเท่านี้ต่างก็เลี้ยงหลานอยู่ในเรือนอย่างมีความสุขแล้ว แต่ท่านแม่ของเขากลับต้องมากังวลใจกับเื่ในเรือน ในใจของหย่งหนิงโหวเย่รู้สึกผิดเป็อย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง “ซื่อจื่อจำต้องแบกรับชื่อเสียงและคุณงามความดีที่บรรพบุรุษรุ่นก่อนสั่งสมไว้ แต่ความสามารถของเขายังไม่เพียงพอ หากจวนโหวของพวกเรา้าที่จะยิ่งใหญ่โด่งดัง ก็ต้องมีผู้ที่มีความสามารถปรากฏออกมา เดิมทีเหราเอ๋อร์เป็คนที่เหมาะสมที่สุด หากมีเขาคอยช่วยเหลือ ความกดดันทางซื่อจื่อก็จะลดน้อยลงมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เกิดเื่เช่นนี้ อย่างไรมันก็เป็เช่นนี้ไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราคงทำได้เพียงปล่อยให้มันเป็ไปตามที่ควรจะเป็ แล้วค่อยหาทางรับมือที่เหมาะสมที่สุด”
หย่งหนิงโหวเย่พยักหน้ารับ ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะกล่าวต่อ “เื่อื่นๆ ข้าแล้วแต่เ้าว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไร ข้าจะไปดูบุตรสาวของเหราเอ๋อร์เสียหน่อย”
ถึงแม้สวี่เหราจะเกิดจากบุตรของอนุ แต่สำหรับฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางมองว่าทั้งหมดล้วนเป็เืเนื้อของบุตรชายตนเองทั้งสิ้น คนต่างพูดกันว่าลูกเอกลูกอนุมักมีความต่าง ฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนที่อ่อนโยน ความจริงแล้วสำหรับเด็กๆ นางรักเหมือนกันหมด
แม่นางอู๋ไม่คาดคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะมาในเวลานี้ สวี่จือซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าพาคนมา นางจึงรีบลุกขึ้นก่อนจะลงจากเตียงเพื่อทำความเคารพ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับรีบเข้ามาพยุงไว้พร้อมเอ่ยว่า “เด็กน้อย เ้ารีบนอนลงเถิด กับทวดน่ะไม่ต้องพิธีรีตองพวกนี้หรอก”
ชาติก่อนฮูหยินผู้เฒ่าเคยมาหาหรือไม่นั้นสวี่จือจำไม่ได้จริงๆ ครานั้นนางเป็เด็กอายุเพียงแค่สี่หนาวเท่านั้น นอกจากกินกับนอนแล้ว หากสาวใช้้าจะปิดซ่อนตัวนางไว้ ไม่แน่ว่านางในตอนนั้นก็คงทำได้เพียงต้องทานข้าวให้อิ่มและขึ้นเตียงนอนกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่าซักถามแม่นางอู๋ที่คอยดูแลอยู่ข้างกายสวี่จือว่า วันนี้นางกินสิ่งใด ดื่มเครื่องดื่มอันใด แม่นางอู๋เองก็ตอบกลับไปด้วยความเคารพเช่นกัน ส่วนสวี่จือเองนางรีบกอดแขนฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ข้างกายตนเองเอาไว้แน่น คนใหญ่คนโตที่นางหมายมั่นเอาไว้ว่าจะเกาะขามาหาเองถึงที่ ไม่มีเหตุผลใดที่นางจะไม่กอดเอาไว้
ฮูหยินผู้เฒ่ามาพบสวี่จือ อู่ซื่อโหวฮูหยินกับฮูหยินของซื่อจื่อพอได้รับข่าวก็รีบมาในทันที ในห้องเล็กๆ ของสวี่จือจึงมีผู้คนมายืนหรือนั่งอยู่มากมายเต็มไปหมด
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นโหวฮูหยินและลูกสะใภ้ของนางมาถึงก็พลันถอนหายใจ เมื่อครู่ตอนที่นางเข้ามาในห้องมีเพียงแม่นางอู๋คอยดูแลอยู่ผู้เดียว โหวฮูหยินที่เป็นายหญิงของเรือน อีกทั้งยังเป็คุณนายใหญ่ที่คอยควบคุมดูแลภายในจวน กลับละเลยเด็กหญิงกำพร้าตัวเล็กๆ ผู้นี้ ในใจฮูหยินผู้เฒ่าพลันรู้สึกไม่สบายใจ
แม้มิได้เป็ผู้ปกครอง ทว่านางมิได้หูหนวกหรือเป็ใบ้ ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะมอบหมายงานเล็กงานใหญ่ภายในเรือนให้ลูกหลานรับผิดชอบไปหมดแล้ว นางจึงไม่อยากยื่นมือเข้ามายุ่งกับเื่ราวพวกนี้มากจนเกินไป ทว่าในเมื่อทุกคนต่างอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตบหลังเด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเพียงมาดูเสี่ยวจิ่ว [4] ของพวกเราเท่านั้น ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวายกันมาตลอด่ค่ำแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
โหวฮูหยินเหลือบมองเด็กหญิงตัวน้อยที่ใส่ชุดสีขาวตัวเล็กๆ นั่งเงียบอยู่บนเตียง ซึ่งตอนนี้มือเล็กๆ คู่นั้นยังคงกอดแขนฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ก่อนจะเอ่ยปากพูด “ท่านแม่เ้าคะ ท่านเองก็ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ทางนี้ข้าจะส่งคนมาดูแลเองเ้าค่ะ ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดนะเ้าคะ”
สวี่จือที่ได้ยินเช่นนั้นก็กอดแขนฮูหยินผู้เฒ่าแน่นขึ้นไปอีก แต่จะออกแรงอย่างไรก็เป็แค่แรงของเด็กน้อยวัยสี่หนาวเท่านั้น กลับเป็ท่าทางหวาดกลัวที่สวี่จือแสดงออกมา ที่ทำให้ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนางยิ่งเห็นยิ่งปวดใจ เพราะการสูญเสียบิดามารดา เด็กตัวเล็กเท่าใดก็คงััได้
ฮูหยินผู้เฒ่ามาดูด้วยตาตนเองแล้ว สามารถรับรู้ได้ว่าคนในจวนคงจะไม่มีทางทำร้ายเด็กคนนี้เป็แน่ จึงคิดจะลุกขึ้นเพื่อกลับเรือนตนเองไป แต่ใครเล่าจะรู้ว่าสวี่จือกลับยังกอดแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้แน่น
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยออกมา “แม่หนูเก้า ทวดเองอายุก็มากแล้ว จำต้องกลับไปพักผ่อนก่อน”
สวี่จือที่ยังคงกอดแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นว่า “ท่านทวดเ้าคะ ท่านอย่าทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่คนเดียวได้หรือไม่ ข้ารู้ว่าต่อไปท่านพ่อกับท่านแม่จะไม่กลับมาหาข้าอีกแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อได้ฟังประโยคนี้แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันกับทุกคนในห้องนี้ว่า “พวกเ้าคนใดมาพูดพล่อยปากเสียต่อหน้าเด็กกัน?”
เพียงครู่เดียวทุกคนในห้องนอกจากโหวฮูหยินแล้วล้วนคุกเข่าหมอบลงกับพื้น โหวฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วแล้วมองไปทางสวี่จือ นางพลางกล่าว “เด็กน้อยเหตุใดเ้าจึงพูดเช่นนี้? ท่านแม่ ข้าจะจัดการคนในเรือนเองเ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็อดถอนหายใจในใจมิได้ ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แต่เป็เพราะน้ำเสียงของภรรยาลูกชายคนโตของนางต่างหาก อู่ซื่อแต่งเข้าจวนโหวมาหลายปีแล้ว นางเป็คนเช่นไรฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนางย่อมรู้ดี
หลายปีก่อนหน้านั้น แรกเริ่มอู่ซื่อกับหย่งหนิงโหวเย่นั้นรักกันหวานชื่น ทว่าทั้งสองคนมีชีวิตคู่ที่งดงามอยู่เพียงสองปีเท่านั้น น่าเสียดายที่ต่อมาหย่งหนิงโหวเย่จะเป็จะตายอย่างไรก็ต้องซื้ออนุจู้จากโรงดนตรีเข้าเรือนมาให้ได้ ทั้งสองคนจึงกลายเป็น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง [5]
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็รู้สึกได้ว่าภรรยาของลูกชายคนโตผู้นี้นั้นมิได้ความ ทว่าโหวฮูหยินนางกลับคิดไปเองว่าแม่สามีไม่ไว้หน้านางที่เป็ลูกสะใภ้ ต่อหน้าผู้อื่น ความสัมพันธ์ฉันท์แม่สามีและลูกสะใภ้ดูมีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่ความจริงแล้วความสัมพันธ์นี้กลับไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
สวี่จือเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าแสดงอำนาจเช่นนี้แล้ว นางเองก็ใเช่นกัน ความคิดเดิมก่อนหน้าที่จะหาต้นขาใหญ่มากอดไว้นั้น ยิ่งมาเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้แล้ว นางก็ยิ่งใช้อ้อมแขนกอดรัดแขนของฮูหยินผู้เฒ่าไว้แแ่ไม่ยอมปล่อย ในชาติก่อนสวี่จือรู้สึกชินชากับความเป็ความตายไปแล้ว ตอนนี้เพียงแค่มีคนใช้น้ำเสียงดุดันเข้าหน่อย นางจึงมิได้ใส่ใจมากนัก ตอนที่ถูกตั้งคำถาม มีเพียงสาวใช้เท่านั้นที่มิกล้าลองดี ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตามองพื้นเท่านั้น พวกนางเป็เพียงบ่าวจะไปกล้ากับเ้านายได้อย่างไร?
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเด็กน้อยที่ยังคงกอดแขนของตนเองแน่น พร้อมทั้งยังจ้องมาที่นางตาปริบๆ จึงทำได้แค่ถอนหายใจ นางส่งสวี่จือให้แม่นางอู๋แต่งตัวให้ดีก่อนจะโอบอุ้มตามตนเองกลับเรือนไปด้วย
เพียงเด็กน้อยกำพร้าผู้หนึ่ง โหวฮูหยินมิใคร่จะใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่นางกลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจนางเสียแล้ว เด็กเล็กเหล่านี้ในจวนโหวมีมากมาย นางอยู่มานานไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าใส่ใจเด็กคนไหนมาก่อน การได้รับความสนใจจากฮูหยินผู้เฒ่านั้น ผลประโยชน์ที่จะได้รับย่อมไม่ใช่เพียงน้อยนิด ในเรือนนี้มิได้มีเพียงบุตรสาวของสวี่เหราเท่านั้น หากตัวนางเองยังมีบุตรสาวอีกสองคนเช่นกัน
ฮูหยินใหญ่อ้าปากเตรียมจะเอ่ยขัด ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าทะมึนของฮูหยินผู้เฒ่า สุดท้ายจึงมิได้เอ่ยคำใดออกมา ทำได้เพียงยืนมองฮูหยินผู้เฒ่าอุ้มสวี่จือออกไป
เชิงอรรถ
[1] ซื่อ เป็สรรพนามที่ใช้เรียกสตรีที่แต่งงานแล้ว จะขึ้นต้นด้วยแซ่เดิมแล้วตามด้วยคำว่า ‘ซื่อ’ อู่ซื่อ ในที่นี้คือ ฮูหยินแซ่อู่
[2] อี๋เหนียง (姨娘 Yíniáng) ตำแหน่งอนุภรรยา ใช้สำหรับลูกเรียกอนุภรรยาของพ่อ
[3] จื่อหลิวเป็การที่สตรีทำผมทรงสตรีที่แต่งงานแล้ว เป็การแสดงว่าจะครองตัวเป็โสดจนแก่ จะไม่แต่งงาน
[4] เสี่ยวจิ่ว หรือหลานเก้า ในที่นี้เป็สรรพนามที่ใช้เรียกสวี่จือ หรือคุณหนูคนที่เก้าของตระกูล
[5] ความหมายคือ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน ดั่งน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง