รอยยิ้มของกู้เป่ยเยวี่ยอบอุ่นพอๆ กับสายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนเมษายน จู่ๆ หานอวิ๋นซีก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาสวยงามเป็พิเศษโดยเฉพาะเวลาที่เขายิ้ม เขาเป็เหมือนพี่ชายข้างบ้าน ใจดีและอบอุ่น
“หมอหลวงกู้ ใจดีเหลือเกิน”
หานอวิ๋นซีรับน้ำแกงร้อนๆ มาและดื่มลงไปในอึกเดียว ไม่ต้องบอกเลยว่าน้ำแกงสมุนไพรนี้มีประสิทธิภาพดีขนาดไหน ในไม่ช้าร่างกายของนางก็ค่อยๆ อุ่นขึ้น
กู้เป่ยเยวี่ยมองไปยังท่าทางการกินที่มูมมามของหานอวิ๋นซี และเห็นใบหน้าซีดเซียวของนาง พอจะเดาได้ว่าการรุมประชาทัณฑ์เมื่อคืนนี้หนักหนาขนาดไหน เขาไม่ได้ถามคำถามใดๆ อีกต่อไป ความสงสารส่องประกายในดวงตาของเขา พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
เวลาในการเยี่ยมนั้นมีจำกัด โดยไม่รอให้หานอวิ๋นซีดื่มน้ำแกงเสร็จ กู้เป่ยเยวี่ยก็พูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “หวังเฟย เมื่อคืนกระหม่อมไปที่จวนฉินอ๋อง แล้วก็ได้ขอให้คุณหนูมู่หรงไปรายงานอี้ไท่เฟย คิดว่าท่านคงจะได้ประกันตัวเร็วๆ นี้ และกระหม่อมก็จะจัดให้คนมาเยี่ยมเป็ประจำ ด้วยวิธีนี้...”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ กู้เปยเยวี่ยก็ลดเสียงลงอีก “ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็จะไม่กล้าลงประชาทัณฑ์อีก”
หานอวิ๋นซีมองไปที่กู้เป่ยเยวี่ย และถามโดยไม่คิดว่า “ทำไมล่ะ?”
ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงพยายามขนาดนี้ ความจริงแล้วเขาสามารถเมินเฉยเื่นี้ไปเลยก็ได้ เขารู้หรือไม่ เขารู้หรือไม่ว่าหากเข้ามายุ่งอีก เขาเองก็จะถูกสงสัยว่ามีส่วนรู้เห็น
กู้เป่ยเยวี่ยงงงวย “อะไรคือทำไม?”
“ทำไมเ้าถึงช่วยข้ามากขนาดนี้ ข้ากับเ้าไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” หานอวิ๋นซีพูดเบาๆ
ใครจะรู้ว่ากู้เป่ยเยวี่ยกลับจริงจังขึ้นมา “หวังเฟย หมอมีหน้าที่ช่วยชีวิตผู้คน มิใช่แค่มีทักษะทางการแพทย์เท่านั้น และชีวิตของแม่ทัพใหญ่อยู่ในมือของท่าน...”
ขณะที่กู้เป่ยเยวี่ยพูด น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงอย่างมาก จากนั้นก็พูดอย่างใจเย็นว่า “นอกจากนี้ นี่ก็เป็ชีวิตของหวังเฟยเช่นกัน”
หานอวิ๋นซีผงะเล็กน้อยและชื่นชมอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย
มู่หรงหว่านหรูคงไม่ไปรายงานกับอี้ไท่เฟยหรอกใช่หรือไม่? หานอวิ๋นซีไม่้าให้กู้เป่ยเยวี่ยสูญเสียความมั่นใจ จึงไม่อธิบายอะไรมากนัก และถามอย่างใจเย็นว่า “สถานการณ์ฝั่งจวนแม่ทัพเป็อย่างไรบ้าง?”
“เมื่อคืนนี้ องค์หญิงฉางผิงเชิญหมอเทวดามาสองสามคนเพื่อดูอาการ แต่ไม่มีใครช่วยได้ เช้านี้แม่ทัพมู่จึงเชิญกระหม่อมให้เข้าไปอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่ยังคงเหมือนเดิม กระหม่อมเกลี้ยกล่อมแม่ทัพมู่แล้ว แต่ก็น่าเสียดาย...”
“อาการของแม่ทัพใหญ่เป็อย่างไรบ้าง?” หานอวิ๋นซีกังวลเื่นี้มากที่สุด
“ยังคงเหมือนเดิม เกรงว่า...หากพิษถูกกดไว้ตลอดไป หวังเฟยคงไม่ได้...”
กู่เป่ยเยวี่ยไม่ได้พูดต่อ แต่หานอวิ๋นซีรู้ว่าเขากำลังกังวลอะไร หากพิษของมู่ชิงอู่ไม่ปะทุขึ้นมา แม้แต่หลงเฟยเยี่ยก็ไม่สามารถล้างความผิดของนางได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หานอวิ๋นซีก็ถามอย่างจริงจังว่า “หมอหลวงกู้ แม้กระทั่งเ้าก็ไม่เชื่อข้าหรือ?”
ไม่ใช่ว่ากู้เป่ยเยวี่ยไม่เชื่อนาง แต่ปลอดภัยดีกว่าเสียใจทีหลัง
“ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว ภายในสองวัน พิษของแม่ทัพใหญ่จะต้องปะทุออกมาอย่างแน่นอน ตราบใดที่ได้รับการล้างพิษ เขาก็จะฟื้นขึ้นมา! เ้าต้องช่วยข้ารักษาเขา หากพิษปะทุขึ้นมาก็ให้มาบอกข้า”
ดวงตาที่ลุกโชนของหานอวิ๋นซีเผยให้เห็นแสงสว่างที่มั่นคง นางจับมือของกู้เป่ยเยวี่ยอย่างจริงจัง “ข้าไม่มีทางเอาชีวิตของข้ามาล้อเล่นอย่างแน่นอน ตอนนี้มีแค่เ้าเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้!”
กู้เป่ยเยวี่ยก้มลงมองโดยไม่รู้ตัวและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ชัดเจนของหานอวิ๋นซี เขาก็ยิ้มเล็กน้อย และวางมือใหญ่ที่อบอุ่นบนมือเล็กๆ ที่เย็นเฉียบของหานอวิ๋นซีและจริงจังอย่างมากเช่นกัน “ตกลง กระหม่อมจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
หานอวิ๋นซีมีความสุขอย่างมาก กลับกันหากเป็คนอื่น นางก็คงไม่วางใจได้เช่นนี้ และแน่นอนว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
“จำไว้ ตรวจอาการบ่อยๆ เมื่อพิษปรากฏขึ้นมา เจาะเืของเขามาให้ข้า”
“เจาะเื?” กู้เป่ยเยวี่ยไม่ค่อยเข้าใจ
หานอวิ๋นซีหยิบเข็มทองคำออกมา “เอานี่ไป ใช้เข็มทองนี้เจาะเืจากแผลที่สะดือ”
แน่นอนว่ากู้เป่ยเยวี่ยเข้าใจการเจาะเืเพื่อเอามาทดสอบยาพิษ เพียงแต่ในคุกแห่งนี้ไม่มีเครื่องมือหรือยาใดๆ หานอวิ๋นซีจะทดสอบได้อย่างไรกัน?
เมื่อเห็นความลังเลใจของกู้เป่ยเยวี่ย หานอวิ๋นซียิ้มจางๆ “หมอหลวงกู้ เหลือเวลาอีกแค่สองวัน หากข้าพ้นผิด ข้าจะบอกเ้าเองว่าทำไม”
คิดไม่ถึงว่าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว หานอวิ๋นซียังคงยิ้มได้ กู้เป่ยเยวี่ยรู้สึกชื่นชมนางด้วยใจจริง เขาเองก็เผยรอยยิ้มและยื่นนิ้วก้อยออกมา
หานอวิ๋นซีชะงักไป ผู้ชายคนนี้เกี่ยวก้อยเป็ด้วยหรือ?
“กระหม่อมอยากรู้เหลือเกิน” กู้เป่ยเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย ดูดีอย่างมาก
หานอวิ๋นซียื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวเขา “ตกลง ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ!”
กู้เป่ยเยวี่ยมองไปที่หานอวิ๋นซีและคิดว่านางเป็คนลึกลับคนหนึ่ง แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของผู้หญิงคนนี้จะไม่ดีเท่าของอาจารย์หาน แต่ในด้านการล้างพิษ ดูเหมือนว่านางจะดีกว่าพ่อของนางอย่างมาก ไม่รู้ว่าคนของตระกูลหานรู้เื่นี้หรือไม่? ในตอนที่เขาออกมาเมื่อเช้านี้ ได้ยินว่าองค์หญิงฉางผิงและคุณหนูมู่ไปที่ตระกูลหานเพื่อเชิญท่านประมุขตระกูลหานออกมาจากูเา
ในวันนั้น เมื่อกู้เป่ยเยวี่ยรีบกลับไปที่จวนแม่ทัพมู่ องค์หญิงฉางผิงและมู่หลิวเยวี่ยได้เชิญประมุขของตระกูลหานซึ่งเป็พ่อของหานอวิ๋นซี นั่นคือหมอเทวดาหานฉงอัน
ในตอนที่กู้เป่ยเยวี่ยเข้ามาในห้อง หานฉงอันกำลังจับชีพจรของมู่ชิงอู่ ทันทีที่เห็นเขาเข้ามา หานฉงอันก็ยืนขึ้นและโค้งคำนับ “หมอหลวงกู้”
แม้ว่าต่อหน้าหานฉงอัน กู้เป่ยเยวี่ยจะเป็รุ่นน้อง แต่ด้วยกู้เป่ยเยวี่ยมีสถานะเป็หัวหน้าหมอหลวงในที่แห่งนี้ หานฉงอันจึงเป็แค่สามัญชนคนหนึ่ง ก็ต้องแสดงความเคารพกับเขา
หานฉงอันมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เขาเคยเรียนที่สำนักแพทย์หยุนคงต้าลู่และกลายเป็เ้าของสำนักแพทย์เมื่อปีที่แล้ว ตำแหน่งหัวหน้าหมอก็ควรจะเป็ของเขา แต่น่าเสียดายที่ในตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่สามารถรักษาโรคแปลกประหลาดของไท่จื่อได้ ท้ายที่สุดเขาก็เข้าไท่อีเวี่ยนไม่ได้ด้วยซ้ำ และกลายเป็เ้าของสำนักแพทย์ที่ราชวงศ์ไม่ปลาบปลื้มมากที่สุด
พ่อแม่ของกู้เป่ยเยวี่ยเสียชีวิตั้แ่เขายังเด็ก จึงถูกเลี้ยงมาโดยปู่ของเขา ซึ่งเป็อดีตหัวหน้าหมอหลวงและเ้าของสำนักแพทย์หยุนคงต้าลู่
กู้เป่ยเยวี่ยมีพร์ั้แ่เด็ก บวกกับการสอนอย่างตั้งใจของปู่ของเขา จึงคู่ควรกับตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวง
“คารวะลุงหาน” กู้เป่ยเยวี่ยโค้งคำนับตอบกลับ อ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยน และสง่างาม
หานฉงอันเองก็ไม่เกรงใจ นั่งลงแล้วถามว่า “เ้ามาได้ถูกเวลาพอดี เล่าอาการให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“ลุงหาน ท่านลองพูดให้ข้าฟังก่อนดีหรือไม่ เพื่อไม่ให้สิ่งที่ข้าพูดไปส่งผลต่อการตัดสินใจของท่าน” กู้เป่ยเยวี่ยมองด้วยความอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม แต่สิ่งที่เขาพูดมักจะดูต่างออกไปเสมอ
ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ หานฉงอันก็ไม่บังคับเขาอีกต่อไป และพูดอย่างจริงจังพร้อมกับลูบเคราแพะของเขาว่า “ข้าได้ฟังอาการทั่วไปจากแม่ทัพมู่แล้ว เพียงแต่ หากพูดถึงการวางยาพิษแล้ว ข้าว่าต้องหารือกันเสียหน่อย”
กู้เป่ยเยวี่ยไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ถามด้วยน้ำสียงราบเรียบว่า “จะหารือกันอย่างไรหรือ?”
ความสงสัยฉายวาบในดวงตาของหานฉงอัน และถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ได้ยินมาว่า...อวิ๋นซีเป็คนวินิจฉัยว่าเป็การวางยาพิษใช่หรือไม่?”
ความจริงแล้ว ก่อนที่องค์หญิงฉางผิงจะมาเชิญเขา ไท่เฮาได้ส่งคนมาบอกแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้บอกว่าเขาต้องทำอะไร แต่ในใจเขาก็รู้ดี
ตอนนี้หานอวิ๋นซีอยู่ในคุกแล้ว ตราบใดที่มู่ชิงอู่ยังคงหมดสติอยู่ หานอวิ๋นซีก็ยังไม่ถูกล้างความสงสัยและจะต้องอยู่ในห้องขังต่อไป และมันคือสิ่งที่ไท่เฮา้าเห็นมัน
นอกจากนี้ มู่ชิงอู่ยังกุมอำนาจทางการทหารไว้ในมือ เขาเป็ทั้งขุนนางและเพื่อนขององค์ชายรอง เช่นนั้นจึงอยู่ข้างองค์ชายรองโดยสมบูรณ์แบบ และองค์ชายรองเองก็เป็คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของไท่จื่อ
หากมู่ชิงอู่ยังคงหมดสติอยู่หรือว่าเสียชีวิตไป คงไม่มีใครมีความสุขมากไปกว่าคนของไท่จื่อ
แม้ว่าชีวิตบุตรสาวของตนจะตกอยู่ในความเสี่ยง แต่เพื่อปกป้องสถานะของตระกูลหานแล้ว หานฉงอันก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยไท่เฮาและไท่จื่อที่ใส่ร้ายหานอวิ๋นซี
เขาตรวจชีพจรอยู่เป็เวลานาน ทว่าไม่สามารถหาสาเหตุของโรคได้และไม่พบสัญญาณของพิษใดๆ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อหานอวิ๋นซีเคยรักษาแล้ว ไม่ว่ามู่ชิงอู่จะเสียชีวิตหรือไม่ นางก็ต้องรับผิดชอบจนจบ!
“เช่นนั้นลุงหานคิดว่าอย่างไรล่ะ?” กู้เป่ยเยวี่ยถามอีกครั้งโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ
ในฐานะผู้รับใช้ข้างกายฮ่องเต้ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในวังต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ยิ่งเขารู้มากเท่าไรก็จะยิ่งเลวร้ายสำหรับหานอวิ๋นซีและตัวเขาเองมากเท่านั้น
หานฉงอันเป็แค่คนเ้าเล่ห์กลับกลอกคนหนึ่ง จึงไม่พูดในสิ่งที่เขาคิด และพูดตำหนิว่า “ฮึ เด็กนั่นไร้การศึกษาและไร้ทักษะมาั้แ่เด็ก นางจะไปเข้าใจอะไรกัน! ได้ยินมาว่าาแถูกล้างพิษด้วยมีดของนาง?”
หานฉงอันตรวจดูาแ ซึ่งมันก็หายดีแล้ว และมันไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำเช่นนี้ได้ หากองค์หญิงฉางผิงไม่พูด เขาก็คงไม่เชื่อว่าหานอวิ๋นซีเป็คนทำ นางจะไปทำได้อย่างไรกัน? แม้กระทั่งส่วนผสมยานางก็ยังแยกไม่ออกเลย!
“ในเมื่อลุงหานตรวจาแแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าอาการของแม่ทัพใหญ่ และาแนั่นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยใช่หรือไม่?” กู้เป่ยเยวี่ยถามกลับ
หานฉงอันลูบเคราแพะของเขาและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดอย่างใจเย็นว่า “เอ่อ...ก็อาจจะใช่ แต่อย่างไรแล้วตอนนี้ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้”
ชั่วพริบตา ดวงตาที่อ่อนโยนของกู้เป่ยเยวี่ยฉายแววตักเตือน
แผลบนร่างกายของมู่ชิงอู่มีความสำคัญอย่างมากและเป็หานอวิ๋นซีที่จัดการทำแผลให้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ารอยแผลไม่เกี่ยวข้องกับโรคในปัจจุบัน หานอวิ๋นซีก็จะเป็ผู้บริสุทธิ์
หากรอยแผลก่อให้เกิดปัญหาอะไร หรือถึงแก่ชีวิตเนื่องจากรอยแผลนั้น หานอวิ๋นซีก็คงต้องอยู่ในห้องขัง
โชคดีที่หานฉงอันยังคงเป็บิดาผู้ให้กำเนิดของหานอวิ๋นซี ดังนั้นเขาจึงจับจุดอ่อนของหานอวิ๋นซีได้
“ในเมื่อลุงหานพูดเช่นนั้น ไม่ว่าหวังเฟยจะมีความผิดหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องรอดูต่อไป...” น้ำเสียงของกู้เป่ยเยวี่ยยังคงอ่อนโยนอย่างมาก แต่คำพูดเหล่านี้กลับจี้ใจดำของหานฉงอัน
กู้เป่ยเยวี่ยตรวจสอบาแของมู่ชิงอู่ จับชีพจร หลังจากยืนยันว่าหานฉงอันไม่ได้ทำอะไรมั่วซั่ว ก็พูดอย่างจริงจังว่า “แม่ทัพมู่ ดูเหมือนว่าหมอเทวดาหานเองก็ไม่สามารถรักษาได้ ไม่เพียงแต่รักษาไท่จื่อไม่ได้เท่านั้น แต่ยังรักษาแม่ทัพใหญ่ไม่ได้ด้วย โชคดีที่ข้ายังสามารถรักษาอาการของแม่ทัพใหญ่ให้คงที่ได้ อีกสองวันแม่ทัพใหญ่คงฟื้นขึ้นมา ข้าเฝ้าเอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่ทัพมู่ที่เงียบไปนาน จู่ๆ ก็ชูกำปั้นขึ้นและะโว่า “ออกไป! พวกเ้าไสหัวออกไปจากที่นี่ให้หมด ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
อารมณ์ฉุนเฉียวของแม่ทัพมู่เป็ที่รู้กันดีในราชสำนัก แม้แต่ข้าหลวงก็ยังเคยถูกเขาทำร้ายจนพิการ!
หานฉงอันที่กลัวความตาย จึงออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กู้เป่ยเยวี่ยกลับยืนอยู่ที่เดิมและเผชิญหน้ากับแม่ทัพมู่ที่กำลังโกรธเกรี้ยว เขามอบหมายศาลที่เป็กระดาษขาวตัวอักษรสีดำ นั่นคือหมายศาลความเป็ความตาย!
“แม่ทัพมู่ ข้ารับประกันด้วยชีวิตของข้าว่าแม่ทัพใหญ่จะตื่นฟื้นมาภายในหนึ่งหรือสองวันนี้ และข้าก็สามารถช่วยเขาได้ ถ้าไม่เช่นนั้น ก็เอาชีวิตข้าไปได้เลย!” เสื้อผ้าสีขาวของกู้เป่ยเยวี่ยดูอ่อนแอ แต่คำพูดของเขากลับเสียงดังและไม่เกรงกลัวใดๆ
แม่ทัพมู่ที่กำลังโกรธเกรี้ยวและกำกำปั้นค้างอยู่ในอากาศเป็เวลานาน ในที่สุดมันก็ลดลง เขากัดฟันและพูดว่า “ได้ ครั้งนี้ข้าจะให้โอกาสเ้าอีกครั้ง!”
ในเวลานี้ หานฉงอันที่หนีออกมาแล้ว เขาครุ่นคิดพิจารณาว่าคำพูดของกู้เป่ยเยวี่ยหมายถึงอะไร เขาสงสัยอะไรงั้นหรือ? มีกู้เป่ยเยวี่ยอยู่ อย่างไรก็เป็เื่ยากที่จะลงมือกับมู่ชิงอู่ และหากมู่ชิงอู่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ เื่ก็จะจบลง
ในขณะที่หานฉงอันคิดเกี่ยวกับเื่นี้ก็เดินออกจากลาน ในขณะเดียวกัน องค์หญิงฉางผิงและมู่หลิวเยวี่ยก็เข้ามาพบเขา
เมื่อตอนเช้ายังเห็นองค์หญิงฉางผิงดูสบายดีอยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงได้คลุมผ้าคลุมเช่นนี้ล่ะ?
“องค์หญิง ท่าน...” หานฉงอันถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก ทำไมเ้าถึงออกมาแล้วล่ะ แล้วพี่ชิงอู่เป็อย่างไรบ้าง?” องค์หญิงฉางผิงถามอย่างร้อนรน เมื่อคืนนางไปที่คุกและไม่รู้ว่าไปัักับอะไรที่สกปรกมา เช้ามาทั้งเท้าละใบหน้าก็มีผื่นแดงคล้ายโรคลมพิษ
ใบหน้าของนางเป็สิ่งที่มีค่าที่สุด ดังนั้นนางจึงแอบไปหาหมอและขอยา หมอหลวงบอกว่านางเป็โรคลมพิษและจะหายภายในวันหรือสองวัน เช่นนั้นนางจึงจะรู้สึกโล่งใจ หลังจากทานยา นางก็รีบมาที่นี่ทันที
