“ท่านแม่ทัพหั่วอี้ไม่เคยออกหน้าเพื่อสตรีในโอกาสเช่นนี้มาก่อนเลย”
“ดูทีว่าหนนี้เขาจะต้องใจองค์หญิงแห่งต้าเว่ยเข้าให้แล้วจริงๆ”
“ใช่แล้วๆ คราก่อนฝ่าาพระราชทานหญิงงามผู้นั้นเป็รางวัลแก่แม่ทัพหั่วอี้เขาก็เพียงแค่มางานเลี้ยงแต่งงานคืนเดียวเท่านั้น”
“เฮ้อ ท่านแม่ทัพหั่วอี้ผู้ห้าวหาญเยี่ยมยุทธ์ของเราต้องมาตกหลุมพรางดังนี้แล้ว!ข้าไม่ยอม!”
“….”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงสตรีร่ำไห้ประเดประดังเข้ามาจากรอบกายหั่วอี้อาเหมิ่งต๋าเบียดตัวมาข้างหน้า โอบไหล่เขาข้างหนึ่ง ถามว่า “พี่ใหญ่ท่านก็ได้ยินพวกเขาวิจารณ์ท่านดังนี้แล้วนี่? คราวนี้ท่านเอาจริงรึ?”
สายตาของหั่วอี้จ้องตรงไปข้างหน้าคล้ายว่าผู้สำเร็จราชการจะไม่ใคร่พอใจที่เขาขืนออกหน้ามาคราวนี้
เขาค้อมตัวเดินเข้ามาตรงหน้าทั่วป๋าฉาง “ผู้สำเร็จราชการหั่วอี้ต้องใจสตรีต้าเว่ยผู้นี้มาเนิ่นนานแล้วไม่ทราบว่าท่านจะให้เกียรติกระหม่อมสักนิด กำนัลนางให้กระหม่อมได้หรือไม่?”
ดวงตาเล็กเรียวทั้งคู่ของผู้สำเร็จราชการส่องประกายความเฉียบคม“หากท่านแม่ทัพหั่วอี้้าจะลิ้มรสสตรีแห่งต้าเว่ยว่าต่างกับสตรีชางอี้ของเราเช่นใดก็มิเป็ไรหรอก เพียงแต่เรากลัวว่า ท่านแม่ทัพหั่วอี้เป็คนหนุ่มใจเร็ว ไม่ระวังจะตกหลุมพรางของสตรีเอาได้”
อาเหมิ่งต๋าได้ยินว่ามีคนต่อว่าหั่วอี้ก็ไม่พอใจขึ้นมาทันใด
ย่างสามขุมเข้าไป กอดอกพลางกล่าวว่า “ผู้สำเร็จราชการพี่ใหญ่ข้าทำศึกอย่างองอาจเพื่อชางอี้มาตั้งหลายปีแล้วจะเป็พวกคลั่งรักจนเสียงานได้อย่างไร! ผู้สำเร็จราชการโปรดอย่าลบหลู่พี่ใหญ่ของข้า!”
หั่วอี้และอาเหมิ่งต๋าเป็สองกำลังสำคัญของกองกำลังรักษาแคว้นแห่งชางอี้ต่อให้ทั่วป๋าฉางจะไม่พอใจพวกเขาอีกสักเท่าใด ก็จะไม่ไปแตะต้องพวกเขาพร่ำเพรื่อ
เขาหัวเราะออกมา ลูบเคราบางใต้คาง กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพอาเหมิ่งต๋าคิดมากไปแล้วเราก็เพียงกำลังคิดว่า ในลำดับต่อไปจะจัดหารายการที่สร้างความบันเทิงให้แก่ทุกท่านในที่นี้อย่างไรดีก็เท่านั้นหาได้มีข้อกังขาใดต่อท่านแม่ทัพหั่วอี้ไม่”
ทั่วป๋าฉางเป็ถึงผู้สำเร็จราชการก็ยังพูดเช่นนี้อาเหมิ่งต๋าจึงไม่อาจออกฤทธิ์เดชได้อีก หั่วอี้ดึงหลังเขาเบาๆ ตนเองเดินไปข้างหน้าถามว่า “ไม่ทราบว่า ท่านอ๋องจะทรงสร้างความบันเทิงเช่นใด?”
ในขณะที่หั่วอี้กำลังเผชิญหน้ากับผู้สำเร็จราชการอยู่ทางนี้
หลิ่วจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆก็คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวทุกอย่างของหั่วอี้ คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับมีท่าทีหาญหล้าจนลืมตัวไปพูดจากับผู้สำเร็จราชการเช่นนี้ก่อนอื่นใดนางเคยเห็นมาแล้วว่าแม้แต่ทั่วป๋าเจิ้งกษัตริย์แห่งชางอี้ก็ยังไม่กล้ามีท่าทีเช่นนี้กับผู้สำเร็จราชการเลย
แค่ใบหน้าหยาบดังผิวส้มของผู้สำเร็จราชการย่นขึ้นมาเพียงน้อยทั่วป๋าเจิ้งก็เหมือนกับเด็กที่ทำความผิดคนหนึ่ง ต้องรีบสงบปากสงบคำในทันใดหาได้มีท่าทีอย่างกษัตริย์เหลืออยู่แม้แต่น้อยไม่
ดูท่าว่าผู้สำเร็จราชการผู้นี้คงควบคุมราชสำนักมาไม่ใช่เวลาสั้นๆหลิ่วจิ้งคาดว่าเป็เช่นนั้น
ทั่วป๋าฉางกระซิบข้างหูสาวใช้ข้างกายสองสามคำก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ตามความเห็นของเรา มิสู้เอาเช่นนี้แม่ทัพนายกองทั้งหลายล้วนสามารถเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อ่ชิงองค์หญิงแห่งต้าเว่ยโดยใช้วิธี ‘ต่อสู้แบบวงล้อ[1]’ ผู้ที่มีชัยเป็คนสุดท้าย ก็จะได้กอดหญิงงานกลับไป! เป็เช่นใด? ท่านแม่ทัพหั่วอี้” พูดถึงตรงนี้ทั่วป๋าฉางยังก้มหน้าลงมาถามหั่วอี้เป็พิเศษ แม้จะดูเหมือนการสอบถามแต่แท้จริงแล้วเขาก็ต้องทำการเช่นนี้อยู่แล้ว เพราะต่อให้หั่วอี้ไม่ตกลงแล้วจะทำอย่างไรเขาได้เล่า?
ตาแก่นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวนักเขาต้องคาดไว้แล้วว่าหั่วอี้จะไม่มีทางขัดคำเขาต่อหน้าเหล่าทหารและประชาชนจึงบีบเขาให้จนมุมเช่นนี้
สายตาของหลิ่วจิ้งหยุดอยู่ที่ร่างสง่าเหนือคนของหั่วอี้
คล้ายว่าคืนนี้เขาตั้งใจสวมชุดยาวสีขาวชายแดงชุดใหม่มาเป็พิเศษยิ่งทำให้รูปร่างของเขาดูสูงโปร่ง หล่อเหลาเหนือธรรมดาเส้นผมสีแดงเพลิงปลิดปลิวตามสายลม ปลายคางแหลมบาง ยามมองจากมุมที่หลิ่วจิ้งอยู่ นี่เรียกได้ว่าเป็ความงามโดยทั่วไป
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงออกมาเพื่อตนในเวลาเช่นนี้?
แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่หลิ่วจิ้งเห็นในเวลานี้ก็เป็สิ่งที่นาง้าจะเห็น
เมื่อเทียบกับกษัตริย์เตี้ยทั่วป๋าเจิ้งที่มีแต่กลิ่นสุราคละคลุ้งบนเวทีนั่นก็ไม่รู้ว่าหั่วอี้ดีกว่าเขาตั้งกี่เท่าแล้ว ไม่ว่าจะมองจากเื่ใดก็ล้วนเป็ตัวเลือกที่เยี่ยมยอด
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทำตามคำขอพ่ะย่ะค่ะ !”หั่วอี้เอ่ยพลางประสานฝ่ามือกุมหมัดคำนับ
ดูท่าว่าหั่วอี้ก็เป็คนที่อดทนอดกลั้นได้เป็อย่างดีทีเดียว
หงฉางเห็นว่าหั่วอี้ไม่ขัดสักคำก็ตอบรับสิ่งที่ทั่วป๋าฉางจงใจสร้างความลำบากให้เขาด้วยการเพิ่มเงื่อนไขที่ยิ่งทำให้การแข่งขัน่ชิงนี้ยากเข้าไปอีกนางโกรธจนขยับเข้าไปกระซิบข้างหูหลิ่วจิ้งว่า “องค์หญิงเพคะ ตลอดทางที่เดินทางมา กลับดูแม่ทัพหั่วอี้ผิดไปเสียแล้วคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็คนเช่นนี้!”
เปลือกตาของหลิ่วจิ้งขยับขึ้น ถามนางว่า “เขาเป็อย่างไรหรือ?”
“ก็... ก็ขี้ขลาดตาขาวถึงขนาดนี้อย่างไรเพคะ!ข้าก็หลงนึกว่าเขาเป็บุรุษหนุ่มเืร้อนพลุ่งพล่านเสียอีก!คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของทั่วป๋าฉางก็ทำให้เขาขนลุกขนพองเสียแล้ว”
ได้ยินคำของหงฉาง มุมปากของหลิ่วจิ้งโค้งขึ้นมายิ้มและคร้านจะไปแก้ต่างหรืออธิบายใดๆ กับนาง แล้วแต่นางจะคิดเถอะไปโต้เถียงกับคนมีสายตาตื้นเขินนางไม่ได้ไม่มีอะไรทำจนต้องไปเสียแรงกับสาวใช้เช่นหงฉาง
‘ตึงๆๆ’ เสียงกลองประลองแสนเร่งเร้าดังขึ้น
หั่วอี้ยกชายเสื้อยาวขึ้นขณะเดินขึ้นเวที เพียงอากัปกิริยาเล็กๆน้อยๆ แต่เมื่อเป็เขาก็กลับองอาจสง่าผ่าเผยเพียงนี้ทำเอาเหล่าสตรีข้างล่างเวทีพากันกรีดร้องลั่นจนแทบจะเป็ลม
หลิ่วจิ้งอดเป็กังวลขึ้นมาไม่ได้ ดูท่าว่าตัวละครที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในชางอี้ก็คือหั่วอี้ผู้นี้นี่เอง ดูจากฐานะและความนิยมชมชอบที่ประชาชนมีต่อเขาแล้วขอเพียงตนมีโอกาสหารือเจรจาข้อตกลงกับเขาให้ดี เขาต้องไม่ทำอะไรตนแล้วกระมัง?
“เริ่มการประลอง!” ทั่วป๋าเจิ้งก้าวออกมาะโขึ้นคำหนึ่งจากนั้นก็โอบนางระบำที่เปลือยครึ่งท่อนเข้าไปในม่านทรงกระโจม
ไม่มีประชาชนข้างล่างเวทีสักคนที่ส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจดูท่าว่าเื่นี้คงจะเป็เื่ที่พบเห็นเป็ปกติวิสัยเสียแล้ว
กษัตริย์ผู้ปกครองแคว้นผู้หนึ่งกลับเลอะเลือนเหลวแหลก นับเป็ความโชคร้ายของชางอี้จริงๆ
หั่วอี้ขึ้นไปรอรับการท้าประลองบนเวที รออยู่เป็นานข้างล่างเวทีก็ไม่มีคนกล้าขึ้นไปท้าประลองกับเขา
หั่วอี้มองลงไปข้างล่างหนหนึ่ง พูดเสียงก้องว่า“ทหารทุกท่านโปรดอย่าเป็กังวล หากผู้ใดสามารถรับมือข้าได้ยี่สิบกระบวนท่าก็จะนับว่าข้าแพ้แล้ว ผู้ที่ชนะ ข้าจะมอบรางวัลอย่างงามสมทบให้อีก!”
เมื่อเห็นเขาว่ามาดังนี้ในที่สุดผู้คนข้างล่างเวทีก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
ชายที่คนแรกถอดเสื้อตัวนอกออกเปลือยท่อนบนปีนขึ้นเวที
“ข้าน้อยแซ่หยาง นามซานหลาง ชื่นชมท่านแม่ทัพมานานแล้วจึงมาเพื่อขอคำชี้แนะสักสองสามกระบวนท่าขอรับ!” เสียงของเขาแหบ ใบหน้าซีดเหลือง ขอบใต้ตาคล้ำหนักเพียงดูก็รู้ว่าเป็ใบหน้าของคนที่มัวเมาในโลกีย์เกินไป
หั่วอี้มองเขาแวบหนึ่งจะอย่างไรก็เป็คนที่กล้าขึ้นเวทีประลองมาเป็คนแรก เขาจึงไม่เหมาะจะพูดอันใดให้มากความเพียงแค่ผายมือข้างหนึ่งออก กล่าวว่า “เชิญ”
หยางซานหลางแผดเสียงดังคราวหนึ่ง กำหมดพุ่งเข้าหาแต่กลับถูกหั่วอี้ชัดหมัดสั้นยับยั้งเอาไว้ได้
เขาเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดอีกครั้ง ร้อง ‘อ๊าก’ พุ่งตัวเข้าใส่ หมัดของหั่วอี้ชกตรงไปที่หน้าอกของเขาจนหยางซานหลางกระเด็นออกไป
‘พู่’ เขากระอักเืออกมาคำหนึ่งหันมองหั่วอี้ ประสานมือกำหมัด “ขอบคุณ ท่านแม่ทัพที่ยั้งมือ”
“ไม่ว่าเ้าจะเชื่อหรือไม่ ยามนี้เ้าก็คือผู้หญิงของข้าหั่วอี้ผู้นี้แล้ว” สายตาของเขาร้องแรงดังไฟที่้าเผาผลาญให้มอดไหม้ยามจดจ้องมาหานาง
หลิ่วจิ้งขบริมฝีปาก ปากของนางประกบและเผยอออกหลายหนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
หั่วอี้พูดถูกต้องแล้ว ตนเองจะไปโมโหเขาอย่างไรได้หรือเื่ที่เขาพูดไม่ใช่ความจริง?
แล้วนางจะโต้เถียงได้อย่างไร?
___________________________
เชิงอรรถ
[1] ต่อสู้แบบวงล้อ คือ การต่อสู้โดยการล้อมวงส่งคนขึ้นไปต่อสู้กับอีกฝ่ายทีละคนหรือทีละกลุ่ม เพื่อให้คู่ต่อสู้เกิดความอ่อนล้า