บทที่ 37 วัดกันที่พลัง
“ท่านาุโ แบบนี้เกรงว่าคงไม่เหมาะสม ศิษย์เป็เพียงศิษย์รับใช้ แล้วจะให้ไปสู้กับศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในได้อย่างไร แบบนี้มันไม่เท่ากับทำผิดกฎหรือ” ฉินชูโต้กลับ อันที่จริงเขาแค่ไม่สนใจกับการประลองในครั้งนี้ก็เท่านั้น
“จะให้ข้าเลื่อนขั้นเ้าเป็ศิษย์สายในก็ไม่ได้เสียด้วย เมื่อกลายเป็ศิษย์สายในก็จะสู้กับสายศิษย์นอกไม่ได้” หลัวเจินกุมขมับ เขารู้ดีว่าฉินชูสามารถต่อสู้ได้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะสู้ในรูปแบบใดถึงจะเหมาะสม
ฉินชูยืนนิ่งไม่พูดอะไร เขาเดาทางไม่ออกเลยว่าหลิวเจินจะจัดการเื่นี้อย่างไร
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ข้ามีข่าวดีจะบอกกับเ้า หลังจากการประลองจัดอันดับของสำนักเสร็จสิ้นประมาณหนึ่งเดือน โบราณสถานชิงหวางจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันมาพร้อมกับโชคลาภวาสนา เ้าอยากเข้าร่วมหรือไม่ หากเ้าสามารถสร้างชื่อเสียงให้ยอดเขาชิงจู๋ได้ ข้าจะอนุญาตให้เ้าเข้าร่วม” หลัวเจินเปรยให้ฉินชูฟังพลางถามหยั่งเชิง
“ในฐานะลูกศิษย์ของยอดเขาชิงจู๋ ศิษย์ผู้นี้จะอุทิศตนเพื่อชื่อเสียงของยอดเขาชิงจู๋อย่างไม่ต้องสงสัย แม้สถานะของศิษย์จะไม่เข้าพวก แต่ศิษย์มองว่าไม่ใช่ปัญหา หลังจากการประลองจัดอันดับเสร็จ หากไม่มีรายชื่อของลูกศิษย์จากยอดเขาชิงจู๋อยู่ในการจัดอันดับศิษย์สายนอก ศิษย์ผู้นี้คงไม่กล้าสู้หน้า หากไม่มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับศิษย์สายใน ศิษย์ผู้นี้คงต้องเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี” เมื่อเล็งเห็นผลประโยชน์ ฉินชูก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
หลิวเจินมองพินิจฉินชูสักพักหนึ่ง ท่าทีของฉินชูช่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกิน แน่นอนว่าคนอย่างเขามองออกว่าเป็เพราะอะไร ทั้งหมดเป็เื่ของผลประโยชน์ หากมีผลประโยชน์ที่ฉินชู้า ปัญหาที่ว่าก็ไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นหากคิดจะให้ม้าวิ่ง ก็ต้องให้ม้ากินหญ้า
“ได้ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” หลิวเจินพยักหน้าให้ฉินชู
“หากมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโบราณสถานชิงหวาง รบกวนท่านาุโแบ่งปันแก่ศิษย์ผู้นี้ด้วยขอรับ” ฉินชูพูดขึ้น
หลัวเจินพยักหน้า “เอาไว้ข้าจะส่งคนไปแจ้งข้อมูลแก่เ้า จริงสิ ครั้งที่แล้วเ้าบอกว่า้าเพลงกระบี่ ไหนเ้าลองสำแดงกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานให้ข้าดูหน่อย แล้วข้าจะดูความแตกฉานในกระบวนท่าของเ้าให้เอง!”
ลังเลอยู่สักพัก ฉินชูก็ส่ายหน้าปฏิเสธหลัวเจิน “ตอนนี้ ศิษย์ผู้นี้ไม่้าแล้วขอรับ”
“ข้าสั่งเ้า เ้าก็ควรทำตาม หากผ่านเกณฑ์ ข้าจะถ่ายทอดเพลงกระบี่ของข้าให้” หลัวเจินคิดว่า หากกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานของฉินชูฝึกฝนจนแตกฉานแล้ว เช่นนั้นก็สามารถฝึกเพลงกระบี่ได้ต่อ
“ท่านาุโ ตอนนี้ศิษย์เป็หนี้อยู่หนึ่งแสนแต้มคุณูปการ ตอนนี้ศิษย์คงไม่มีปัญญาหาแต้มคุณูปการมาแลกกับเพลงกระบี่ของท่านหรอกขอรับ” ฉินชูยิ้มขื่นพลางตอบกลับ เล่มที่มีอยู่ตอนนี้ทำเอาเขาเป็หนี้ก้อนใหญ่ เขาไม่มีทางสร้างหนี้เพิ่มอย่างแน่นอน
“ใครกัน... ใครบังอาจหลอกลวงเ้า ข้าจะจัดการมันเอง” พอได้ยินว่าฉินชูเป็หนี้อยู่หนึ่งแสนแต้มคุณูปการ สีหน้าของหลัวเจินก็เปลี่ยนสีทันที เพราะเขาคิดว่าฉินชูถูกโกง ซึ่งเป็เื่ที่เขารับไม่ได้!
“เขาไม่ได้โกงศิษย์หรอกขอรับ ศิษย์แลกเคล็ดวิชากระบี่ในราคาสองแสนแต้มคุณูปการที่หอคัมภีร์จริงๆ ขอรับ” จากนั้นฉินชูก็เล่าเื่เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ให้หลัวเจินฟัง
ดวงตาของหลัวเจินเต็มไปด้วยความสงสัย ในฐานะที่เป็ปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขา แน่นอนว่าเขารู้เื่นี้เป็อย่างดี เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ของโม่เต้าจื่อถูกระบุว่าเป็ตำราที่มีมูลค่าสูงถึงสองแสนแต้มคุณูปการ เป็เพราะเงื่อนไขการฝึกที่หฤโหด
“รีบๆ ไปเสีย เริ่มฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ไปแล้ว ยัง้าเพลงกระบี่อะไรอีก!” หลัวเจินรีบไล่ฉินชูไปทันที คนอย่างฉินชูนี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ ไม่นึกว่าโม่เต้าจื่อจะมอบตำราให้ฉินชู เื่แบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับคนอื่นแน่นอน
ฉินชูจากไป หลัวเจินก็มุ่งหน้ามาที่ศาลาหลังที่อยู่ถัดออกไปด้านข้างของหอคัมภีร์ที่เป็ที่อยู่ของโม่เต้าจื่อ
ก่อนหน้านี้ โม่เต้าจื่อได้แต่นั่งรอคนคนหนึ่งตามคำพยากรณ์อยู่ที่หน้าประตูทางเข้าหอคัมภีร์ แต่หลังได้พบกับฉินชู เขาก็ไม่จำเป็ต้องรอตรงนั้นอีกต่อไป
“ศิษย์อา ท่านเอ็นดูฉินชูด้วยหรือ” หลัวเจินโค้งคำนับโม่เต้าจื่ออย่างเคารพ
“ดูเหมือนว่าเ้าจะตระหนักได้เหมือนกันว่ายอดเขาชิงจู๋ได้พบสมบัติล้ำค่าเข้าแล้ว เ้าหนูนั่นมีนิสัยตรงไปตรงมา ใครดีกับเขา เขาก็ดีตอบ หวังว่ายอดเขาชิงจู๋ของเ้าจะไม่ผิดใจกับเขา” โม่เต้าจื่อพูดกับหลัวเจิน
“ศิษย์อาโปรดวางใจ หลัวเจินผู้นี้จะพึงระวัง!” หลัวเจินพยักหน้า
“การที่เห็นเขาได้อยู่ที่ยอดเขาชิงจู๋มันทำให้ข้าสบายใจที่สุด ในยุคสมัยวัตถุนิยมเช่นนี้ มีคนที่สามารถยืนหยัดในความตั้งใจตั้งต้นและวิถีของตนไม่มากในสำนักชิงหยุน เ้าเองก็น่าจะรู้ดี ส่วนเื่ฉินชู ก็จงดูแลเขาต่อไปและคอยระวังถูกคนอื่นวางแผนสกปรกเล่นงาน” โม่เต้าจื่อเตือนหลัวเจิน
หลัวเจินโค้งคำนับและจากไป เขารู้ดีว่าโม่เต้าจื่อมีสายตาล้ำเลิศ การที่เขาเอ็นดูฉินชูแบบนี้ แสดงว่าฉินชูจะต้องไม่ธรรมดา
เมื่อออกจากห้องโถงใหญ่บนยอดเขาชิงจู๋ ฉินชูก็กลับมาที่หอศิษย์รับใช้
เพิ่งจะก้าวเข้ามาก็ถูกไป๋อวี้ลากมาที่ห้อง ตอนนี้ห้องของไป๋อวี้ไม่ใช่ห้องเดี่ยวอีกต่อไป เพราะหลินเจิงและลูกศิษย์ที่ตามมาพัก ล้วนอยู่รวมตัวกันในห้องนี้
บนโต๊ะในห้องมีสุราและอาหาร รอบๆ มีทั้งหลินเจิง เอ้อพั่งและคนอื่นอีกสองสามคน
“เมื่อครู่ไปหาเ้าที่ผาหินตัด แต่เ้ากลับไม่อยู่ ใกล้ถึงเวลากินข้าวแล้ว” หลินเจิงพูดขึ้น
“เมื่อครู่ข้าออกไปทำธุระข้างนอก พวกเ้ากินกันก่อนก็ได้” หลังนั่งลง ฉินชูก็พูดขึ้น
“พวกเราส่งเนื้อสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งไปที่โรงครัว โรงครัวเลยทำอาหารเพิ่มมาให้พวกเรา” หลินเจิงคลี่ยิ้มเอ่ย เขาดีใจเป็ที่สุดที่ได้มาอยู่ที่หอศิษย์รับใช้ เพราะทำให้เขามีชีวิตดีขึ้นและสุขสบายสมใจปรารถนาทุกวัน
“ใกล้จะถึงการประลองยุทธ์ของสำนักแล้ว หลังจากนั้นจะมีลูกศิษย์บางคนได้เลื่อนขั้น พวกเ้าเองก็ต้องกลับไปเป็ศิษย์สายนอก หอศิษย์รับใช้ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเ้าจะอาศัยอยู่ได้ตลอดไป” ฉินชูหันไปพูดกับหลินเจิง
ได้ยินคำพูดของฉินชู หลินเจิงก็ส่ายหน้า “หากเข้าร่วมการประลองปีนี้ก็ต้องกลับไปเป็ศิษย์สายนอกเหมือนเดิม ข้าไม่้าแบบนั้น ข้าคิดว่าจะอยู่ที่หอศิษย์รับใช้ต่ออีกหนึ่งปี แล้วค่อยเข้าร่วมการประลองปีหน้าเพื่อเลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายใน”
หลังจากหลินเจิงพูดออกไป พวกศิษย์สายนอกที่ตามเขามาล้วนพยักหน้าตาม การกลับไปใช้ชีวิตแบบศิษย์สายนอกเหมือนเดิม ไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกเขา
“แล้วลูกพี่ล่ะ” ไป๋อวี้มองมาทางฉินชู ตอนนี้ตบะของเขาอยู่ขั้นที่สามเจินหยวนแล้ว มีคุณสมบัติกลายเป็ศิษย์สายในแล้ว แต่เขาอยากฟังท่าทีของฉินชูก่อน
“ข้า...ข้าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน สามารถใช้แต้มคุณูปการแลกตำราคัมภีร์และทรัพยากรการฝึกตนมาได้ ต่อให้ข้าเป็ศิษย์รับใช้ ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกข้า เช่นนั้นข้าจะเป็แบบนี้ต่อไป!” ฉินชูพูดขึ้น
“ข้าก็เหมือนกัน เป็ศิษย์รับใช้แล้วมันเป็อย่างไร ใครดูถูกพวกเราก็แค่เอาคืน” ไป๋อวี้ตัดสินใจ ในเมื่อฉินชูไม่ได้ไปไหน เขาก็ไม่ไปไหนเช่นกัน
หลังจากพูดคุยดื่มกินกันสักพัก ฉินชูก็กลับมาเข้าฌานฝึกตนต่อที่ผาหินตัด
วันรุ่งขึ้น เหยียนอี้ก็มาหาเขาอย่างไม่บอกกล่าว
“ฉินชู ท่านปรมาจารย์ของข้าให้นำสิ่งนี้มาให้เ้า หากเ้ามีอะไรสงสัยก็ถามข้าได้เลย” เหยียนอี้ยื่นจดหมายให้ฉินชู
“ขอบใจมาก” ฉินชูประสานมือคารวะเหยียนอี้
“เ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่เหยียนก็ได้ แล้วข้าก็ต้องขอโทษเื่ของฉู่หยุนด้วยเช่นกัน นางไม่ใช่คนพูดจาเจ็บแสบแบบนั้น เ้าจงอย่าเก็บมาใส่ใจ” เหยียนอี้พูดขึ้น
ในสำนักชิงหยุน ลูกศิษย์รุ่นเดียวกันล้วนเรียกแทนกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่สำหรับศิษย์รับใช้ไม่มีธรรมเนียมแบบนี้ ดังนั้นฉินชูจึงไม่เคยเรียกเหยียนอี้ว่าศิษย์พี่มาก่อน เนื่องจากเหยียนอี้กำลังตามจีบฉู่หยุนอยู่ เขาจึงไม่อยากให้ฉินชูเกิดความไม่พอใจในตัวฉู่หยุน เพราะฉินชูเป็คนที่ผู้หลักผู้ใหญ่เอ็นดูและส่วนตัวเขาก็ค่อนข้างชื่นชมฉินชู
“ข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจจริงๆ วันนี้นางยอมรับผิดและยอมรับความพ่ายแพ้อย่างกล้าหาญ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านางเป็คนจริงใจตรงไปตรงมา” ฉินชูคลี่ยิ้ม
“ครั้งนี้เ้าจะไปที่โบราณสถานชิงหวางด้วยหรือไม่ ถ้าเ้าไป ข้ามีบางเื่อยากจะเตือนเ้าเอาไว้ หลังจากเข้าไปในโบราณสถานชิงหวาง ทางสำนักจะไม่อาจให้ความช่วยเหลืออะไรได้อีก พวกเฉียนชิงกับหลิ่วหนานไม่มีทางปล่อยเ้าไปง่ายๆ แน่”
เมื่อรับจดหมายมา ฉินชูก็นิ่งเงียบไปสักพัก “ข้าคิดเื่นี้เอาไว้แล้ว ใครก็ตามที่้าฆ่าข้า ผู้นั้นต้องตายสถานเดียว ในเมื่อทางสำนักไม่สามารถยื่นมือเข้ามาในโบราณสถานชิงหวางได้ เช่นนั้นก็วัดกันด้วยพลังทั้งหมดที่ต่างฝ่ายต่างมีก็แล้วกัน”