เฉินเฟิงเชื่อใจคนที่เขาเลือกอย่างหมดหัวใจ เมื่อจางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุน้าบริหารโรงแรม เขาก็ตอบตกลงโดยทันที
มาครั้งนี้หลิ่วอีอี้าบริหารจัดการดูแลร้านอาหาร เขาก็ตอบตกลงทันทีเช่นกัน
ยังไงเฉินเฟิงก็ใช้เงินกว่าห้าสิบเอ็ดล้านหยวนซื้อที่ดินรอบๆ กว่าเจ็ดตารางกิโลเมตรพร้อมด้วยโรงแรมห้าดาวที่ใกล้จะล้มละลายเต็มที แถมร้านอาหารมิชลินสามดาวที่มีแนวโน้มขาดทุนในทำนองเดียวกันนี้แล้ว
เป้าหมายหลักของเขายังไงก็ไม่ใช่หากำไรจากธุรกิจโรงแรมหรือร้านอาหารั้แ่ต้นอยู่แล้ว เป้าหมายเขาคือการขายที่ดินเพื่อกำไรจำนวนมากเมื่อดิสนีย์สร้างสวนสนุกแถวๆ นี้ในอนาคต
ลองจินตนาการว่าดิสนีย์จะจ่ายให้เฉินเฟิงหนักขนาดไหนเพื่อทำการรื้อถอนโรงแรมห้าดาวสูงกว่าสามสิบชั้น?
ไม่มีทางต่ำกว่าสามพันสามร้อยล้านแน่ คงจะเป็การหยาบคายด้วยซ้ำถ้าไม่เปิดเจรจาด้วยราคาขนาดนี้
การใช้เงินเพียงแค่ยี่สิบเอ็ดล้านหยวนซื้อโรงแรมห้าดาวและร้านอาหารที่ทำกำไรได้กว่าสามพันสามร้อยล้านหยวนในอนาคต ช่างเป็กำไรจากการลงทุนที่น่าเหลือเชื่อ
อีกสามสิบล้านที่จ่ายเป็ค่าที่ดินกว่าเจ็ดตารางกิโลเมตรรอบๆ หากขายให้ดิสนีย์ไปด้วยก็คงไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านหยวน
ราคานี้หมายถึงในกรณีที่ที่ดินยังอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลโม๋ตูตอนที่ดิสนีย์เข้าซื้อ
รัฐบาลน่าจะให้ข้อเสนอและแรงจูงใจมากมาย ทำให้ราคาที่ดินไม่ดีมากนัก
เฉินเฟิงที่กลับชาติมาเกิดย่อมรู้ดีว่าดิสนีย์จะสร้างสวนสนุกที่นี่
เพื่อการนั้นเขาจึงกัดฟัน แล้วทุ่มเงินจากการถูกลอตเตอรี่กว่าห้าสิบสองล้านหยวนจนเหลือติดตัวเพียงแค่หนึ่งล้านสุดท้ายเท่านั้น
เขา เฉินเฟิงผู้นี้ กำลังกอบโกยเงินจากนายทุนต่างชาติ
ดิสนีย์รวยขนาดไหน?
ก็รวยขนาดที่เป็เ้าของมาร์เวลสตูดิโอ
เฉินเฟิงไม่เพียงแค่้ากอบโกยผลกำไรจากดิสนีย์ผ่านที่ดินเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายจะเจาะกลุ่มตลาดวงการภาพยนตร์และแข่งขันกับมาร์เวลอีกด้วย
หลังจากได้ยินคำสั่งของเฉินเฟิง ผู้จัดการสาวสวยจึงเริ่มรายงานรายละเอียดต่างๆ ให้หลิ่วอีอีทันที
ทุกคนเรียนฝ่ายการเงินกับฝ่ายการบริหารธุรกิจมา หลิ่วอีอีจึงเข้าใจรายงานได้ในพริบตา
เมื่อเห็นหลิ่วอีอีเปลี่ยนโหมดเป็หญิงแกร่งและเริ่มตรวจสอบรายละเอียดของรายงาน เฉินเฟิงก็พูดยิ้มๆ ว่า
“ถ้างั้นจางหลิงเจี๋ยกับหลินชิวหยุน พวกเธอสองคนก็รีบๆ ไปทำความคุ้นเคยกับการจัดการโรงแรมได้แล้วนะ ฉันจะออกไปหาเงินมาอุดค่าใช้ของโรงแรมกับร้านอาหาร”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของเฉินเฟิง หลิ่วอีอีก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อถามเฉินเฟิง
“เงินของฉันสองแสนหยวนและของหัวหน้าชั้นปีอีกแสนหยวนโอนเข้าบัญชีในนามของบริษัทเราแล้ว อีกหนึ่งล้านของนายจะโอนเข้าเมื่อไหร่? พวกเราสนิทกันก็จริง แต่เื่เงินยังไงก็ต้องชัดเจน”
เฉิงเฟิงตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดยิ้มๆ
“ไม่ต้องห่วง ภายในห้าวันฉันจะหาเงินเข้าบริษัทอย่างน้อยห้าสิบล้านหยวน ถึงตอนนั้น นอกจากจะอุดค่าใช้จ่ายของโรงแรมกับร้านอาหารได้แล้ว เรายังมีเงินทุนเพิ่มสำหรับบริษัทเฟิงฮวาเจว๋ต้ายของเราด้วย”
หลิ่วอีอีเข้าใจความยากลำบากของเฉินเฟิงเป็อย่างดี
เธอเข้าใจได้ว่าเขามีโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งขาดทุนต่อกันเป็เวลาสองปี มีร้านอาหารกำลังสนับสนุนที่ไม่เยอะอีกด้วย
ตอนนี้เขายังต้องเลี้ยงเหล่านิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยโม๋ตูไปอีกห้าวัน ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็ต้องหาเงินทุนภายนอกมาชดเชย
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเงินหนึ่งล้านก้อนสุดท้ายที่เฉินเฟิงมี ไม่สามารถโอนเข้าบัญชีในนามบริษัทเฟิงฮวาเจว๋ต้ายได้ในตอนนี้
แต่เฉินเฟิง ในฐานะอัจฉริยะแห่งตลาดหลักทรัพย์ นอกเหนือจากซื้อลอตเตอรี่แล้ว เฉินเฟิงสามารถสร้างผลตอบแทนสูงสุดด้วยเงินทุนอันน้อยนิดในหลายๆ ด้าน
เช่นซื้อหุ้นที่ไม่มีใคร้าใน่หุ้นตก หรือเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกประเมินต่ำกว่าที่ควรจะเป็
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาเลย ไม่ต้องห่วงทางร้านอาหารกับโรงแรม พวกเราสามคนจะจัดให้ดีที่สุดเพื่อนาย”
หลิ่วอีอีมีกลิ่นอายราวกับจักรพรรดินีที่บอกให้เฉินเฟิงวางใจและตั้งใจทำในสิ่งที่เขาจะทำ
“โอเค พวกเธอทั้งสามน่าจะต้องเจองานหนักหน่อยห้าวันต่อจากนี้ โชคดีที่ไม่ค่อยมีเรียนแล้ว ทุกคนเลยไม่ต้องไปเข้ามหาลัยมากนัก”
เฉินเฟิงพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึม จากนั้นจึงเดินออกจากร้านอาหารโดยไม่หันหลังกลับไปมอง
ช่วยไม่ได้ ถ้าเขาไม่ออกไปหาเงินทุนมาอุดภายในห้าวัน เงินล้านสุดท้ายของเขาคงจะหมดไปกับค่าใช้จ่ายของโรงแรมกับร้านอาหาร
การจะเลี้ยงนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยโม๋ตู ให้ทั้งอาหาร ทั้งที่พักฟรีเป็เวลาเจ็ดวันไม่ใช่เื่ง่าย
มีอะไรบ้างที่ไม่ใช้เงิน
แต่เื่ที่เฉินเฟิงไม่รู้คือ หลังจากเขาเดินออกจากร้านอาหาร
จ้าวฉินเสวียกับฮูอวี่ซึ่งซ่อนอยู่ตรงมุมร้านอาหารแอบติดตามเขาออกไปอย่างเงียบๆ
เฉินเฟิงเดินออกจากห้องลอบบี้ของโรงแรมโดยไม่รู้ตัวเลยว่าจ้าวฉินเสวียกำลังเดินตามเขาไปติดๆ
และเมื่อเฉินเฟิงััได้แล้วว่ามีใครบางคนกำลังติดตามเขาอยู่ เขาจึงหันหน้ามองกลับไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
แล้วเขาก็ป๊ะเข้ากับจ้าวฉินเสวียซึ่งปกปิดตัวตนอยู่
แม้ว่าเธอจะสวมแว่นกันแดดและหมวกทรงกลมสีดำปกปิดตัวตน แต่เฉินเฟิงก็จำเธอได้ทันทีจากริมฝีปากสีแดงสดและรูปทรงคางของเธอ
ก่อนที่เฉินเฟิงจะบอกให้จ้าวฉินเสวียหยุดตามเขามาได้แล้ว เขาก็สังเกตเห็นฮูอวี่ซึ่งปกปิดตัวตนเดินตามหลังเธอมาติดๆ ด้วยเช่นกัน
เห็นดังนั้น เฉินเฟิงจึงไม่พูดอะไร เพียงแต่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น จ้าวฉินเสวียเกือบคลาดกับเฉินเฟิง เพราะเฉินเฟิงกำลังขึ้นมอเตอร์ไซค์
เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงกำลังขี่มอเตอร์ไซค์บุโรทั่งเตรียมตัวขับออกไป
จ้าวฉินเสวียจึงรีบถอดอุปกรณ์ปกปิดตัวตนออก วิ่งไปขวางหน้ามอไซค์เพื่อหยุดเขา
“เฉินเฟิงเรากลับมาเป็เหมือนเดิมได้ไหม ฉันรักนายมาตั้งนานแล้ว...”
จ้าวฉินเสวียเสแสร้งทำตัวเหมือนเสียใจ ดึงแขนข้างหนึ่งของเฉินเฟิงแล้วร้องไห้อ้อนวอนขอคืนดีกับเฉินเฟิง
แต่เฉินเฟิงไม่ให้โอกาสเธอแม้แต่น้อย เขาตอบกลับเธออย่างเ็าว่า
“เพื่อนร่วมชั้นจ้าว ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันแบบนี้ ฉันว่าเธอควรกลับนั่งเฟอร์รารี่มือสองของฮูอวี่นะ”
สิ้นคำพูด เฉินเฟิงมองฮูอวี่ที่อยู่ด้านหลังจ้าวฉินเสวียด้วยสายตาดุร้าย
เมื่อทางจ้าวฉินเสวียได้ยินคำพูดเ็านี้ เธอกลับไม่สะทกสะท้าน และพยายามขึ้นไปนั่งมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งอย่างหน้าไม่อาย
เห็นดังนั้น เฉินเฟิงจึงรีบบิดมอเตอร์ไซค์ซิ่งไปด้วยความเร็วเต็มที่ก่อนที่เธอจะทันได้นั่งอย่างมั่นคง ทำให้จ้าวฉินเสวียล้มลงจนบั้นท้ายกระแทกพื้นอย่างแรง และก่อนที่เธอจะหายเจ็บ เธอก็ตระหนักได้ในที่สุดว่ามีคนแอบติดตามเธออยู่
เมื่อจ้าวฉินเสวียหันกลับไปมอง เธอพบกับฮูอวี่ซึ่งกำลังส่งสายตาเ็าให้เธอ
จ้าวฉินเสวียหัวใจเต้นผิดจังหวะ เธอรีบแสดงท่าทางเ็ป
“พี่อวี่ ฟังฉันก่อนนะ ทั้งหมดนี้เป็ความผิดของเฉินเฟิง...”
ทางด้านฮูอวี่ซึ่งได้เห็นการกระทำไม่อายฟ้าดินของเธอไม่สนใจจะฟังคำอธิบายใดๆ
ฮูอวี่ตบหน้าเธออย่างแรง ทิ้งรอยแดงเป็รูปนิ้วมือห้านิ้วบนใบหน้าขาวสวยของจ้าวฉินเสวีย
“ยัยโง่! ฉันดูเหมือนคนตาบอดไหม? ฉันจะให้เวลาเธอสองวัน คืนของทุกชิ้นที่ฉันซื้อให้เธอมา ไม่อย่างนั้น ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้มีอะไรกันที่โรงแรม แต่ฉันยังเก็บรูปเปลือยของเธอไว้ในกล้องอีกเยอะ...”
ฮู่อวี่ข่มขู่ด้วยเสียงดังน่าหวาดหวั่น
เมื่อพูดจบ ฮูอวี่จึงหันหลังเดินจากไป
นับแต่วันนั้น จ้าวฉินเสวียก็ไม่เหลืออะไรเลยอย่างแท้จริง