“สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก”
หนานเวยเอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ใน่เวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความทะเยอทะยานของเสด็จอาสามเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกวัน จนตอนนี้เขาเกือบจะมีอำนาจเหนือราชสำนักแล้ว ไม่ว่าจะเป็แม่ทัพหรือเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็คนของเขาทั้งสิ้น”
เวลานี้ใบหน้างดงามของหนานเวยเอ๋อร์มีเพียงแต่ความเ็าเท่านั้น
แน่นอนว่าพระปิตุลาที่เด็กสาวกำลังกล่าวถึงนั้นก็คือหนานหาว
“เหตุใดจึงเป็เช่นนั้นได้ อาการาเ็ขององค์จักรพรรดิยังไม่ดีขึ้นสักนิดเลยหรือ?”
มู่เฟิงขมวดคิ้วมุ่น
เมื่อหลายปีก่อนในระหว่างที่ทำการฝึกวรยุทธ์จักรพรรดิแห่งหนานหลิงก็เกิดธาตุไฟเข้าแทรก ทำให้พลังสะท้อนกลับจนได้รับาเ็สาหัส หลังจากนั้นเขาก็ปิดด่านเก็บตัวเพื่อพักฟื้นอาการาเ็ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ หนานหาวคงไม่มีทางโหมไฟในราชสำนักให้ลุกโชนขึ้นมาได้
“อาการาเ็ของเสด็จพ่อไม่เพียงแค่ไม่ฟื้นตัวเท่านั้น แต่เหมือนว่ามันจะยิ่งรุนแรงขึ้นอีกด้วย อันที่จริงข้าเองก็สงสัยว่าอาการาเ็ของเสด็จพ่ออาจจะเกี่ยวข้องกับเสด็จอาสาม แต่สงสัยแล้วอย่างไร ข้าจะสามารถทำอะไรได้”
หนานเวยเอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะส่ายหน้า
ในอดีตอาณาจักรหนานหลิงยังมีมู่เทียน แม่ทัพใหญ่ที่ภักดีต่อราชวงศ์ ดังนั้นหนานหาวจึงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งมากนัก แต่หลังจากมู่เทียนต้องจบชีวิตลงเพราะแผนการของเขา ประกอบกับองค์จักรพรรดิที่ยังได้รับาเ็สาหัส ดังนั้นคู่ต่อสู้ของหนานหาวในอาณาจักรหนานหลิงยังจะมีใครอยู่อีก?
เหตุผลหลักที่หนานหาวสามารถเอามือปิดแผ่นฟ้า*ของอาณาจักรหนานหลิงได้ นอกจากอำนาจแล้ว เขายังมีกองกำลังที่แข็งแกร่งและทรงพลังของตัวเองด้วย
(*อาศัยอิทธิพลใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบัง)
“เ้าสุนัขหัวขโมยนั่น สักวันหนึ่งข้าจะสังหารเขาให้ได้!”
มู่เฟิงหรี่ตาลง เผยเจตนาสังหารออกมาโดยไม่ปิดบัง เพราะหนานเวยเอ๋อร์เองก็ทราบดีว่าเขาเกลียดชังหนานหาวมากเพียงใด
นอกจากนี้ มู่เทียนบิดาของมู่เฟิงยังเป็สหายสนิทของจักรพรรดิแห่งหนานหลิงเสด็จพ่อของนางอีกด้วย
“ในอนาคตเ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป? เข้าศึกษาที่สำนักศึกษาราชวงศ์เพื่อไปหาว่านเอ๋อร์หรือ?”
หนานเวยเอ๋อร์ถามขึ้น
“ถูกต้อง แล้วเ้าเล่า?”
“หากไม่มีเื่เหนือความคาดหมายใด ข้าเองก็จะเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์เช่นกัน”
หนานเวยเอ๋อร์ตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของไป๋จื่อเยว่ก็เป็ประกายขึ้นมาทันที เขากล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ดีเลย ดีเลย พวกเราไปด้วยกัน”
“เวยเอ๋อร์ ห้ามเ้าแพร่งพรายเื่ของข้าออกไปเป็อันขาด เอาละ ไว้พวกเราค่อยนัดทานข้าวกันวันหลัง วันนี้ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ข้ายังต้องกลับไปที่จวนก่อน”
หลังมู่เฟิงกล่าวจบ หนานเวยเอ๋อร์ก็พยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็ร่ำลาและแยกย้ายกันไป แต่ไป๋จื่อเยว่ยังคงมองตามหลังหนานเวยเอ๋อร์จนกระทั่งเงาร่างของนางหายไปจากคลองสายตา
“อย่ามัวแต่มองอยู่เลย คนเขาไปไกลแล้ว”
มู่เฟิงตบหน้าผากของไป๋จื่อเยว่ขณะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“แหะๆ พี่เฟิง องค์หญิงผู้นั้นช่างงดงามนัก”
ไป๋จื่อเยว่หันกลับมาส่งยิ้มแห้งๆ
“ชอบหรือไม่ หากเ้าชอบก็ไปเกี้ยวพานางเถอะ”
มู่เฟิงนั่งลง ก่อนจะยกชาขึ้นมาจิบและกล่าวยิ้มๆ
“เอ่อ...นางเป็ถึงองค์หญิง ส่วนข้าเป็เพียงคนธรรมดาเท่านั้นนะขอรับ”
ไป๋จื่อเยว่ลูบจมูกของตัวเองก่อนจะกล่าวอย่างขมขื่น
“องค์หญิงแล้วอย่างไร หากเ้าชอบก็แค่เข้าไปจีบ มีอะไรต้องกลัวกัน อำนาจของราชวงศ์นั้นเป็สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ช่วยวางรากฐานขึ้นมา บรรพบุรุษตระกูลมู่ของข้าก็เคยช่วยเหลือตระกูลหนานวางรากฐานจนเกิดเป็ราชวงศ์หนานขึ้น ไม่กี่ร้อยปีก่อนตระกูลหนานของนางก็เป็เพียงตระกูลสามัญชนเท่านั้น เ้าเคยบอกว่าในอนาคตเ้าไป๋จื่อเยว่จะกลายเป็เซียนกระบี่ไม่ใช่รึ ทว่าตอนนี้แม้แต่องค์หญิงก็ยังไม่กล้าตามจีบแล้ว?”
มู่เฟิงหัวเราะร่า คำพูดของเขาทำให้ไป๋จื่อเยว่รู้สึกว่าเืภายในกายของตนกำลังพลุ่งพล่าน
“จีบก็จีบสิ พี่เฟิง ข้าจะไม่ทำให้ท่านขายหน้าแน่”
ไป๋จื่อเยว่ตื่นเต้นอย่างมาก เขาตบโต๊ะและกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิ แต่ไม่นานเขาก็ต้องเกาหัวอีกครั้งด้วยความเขินอาย
“ว่าแต่ข้าต้องตามจีบอย่างไรอย่างนั้นหรือ?”
“ฮ่าๆ เ้านี่ช่างไม่เข้าใจอะไรเลย หากมีเวลาเ้าก็ชวนนางออกมาพบกันบ้าง จากนั้นก็พูดคุยกันให้มากหน่อย พานางไปทานของดีๆ บ้าง เอาเถอะ เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ สอนเ้าเอง เวยเอ๋อร์น่ะนางชอบ...”
เด็กหนุ่มทั้งสามเดินพูดคุยกันออกมาจากโรงน้ำชา จากนั้นพวกเขาก็ควบขี่สัตว์พาหนะมุ่งหน้ากลับสู่จวนตระกูลมู่
หลังจากมาถึงหน้าประตูจวนตระกูลมู่ เด็กหนุ่มทั้งสามก็ถูกผู้คุ้มกันหน้าประตูขวางเอาไว้ แต่หลังจากที่มู่ขวงนำสัญลักษณ์ประจำตัวของศิษย์ตระกูลมู่ออกมา พวกเขาก็สามารถเข้าไปในจวนตระกูลมู่ได้ทันที
เมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ สิ่งแรกที่มู่เฟิงทำคือการไปคารวะมู่เฉินท่านลุงใหญ่ของเขา
ภายในโถงรับรอง
“เฟิงเอ๋อร์ เหตุใดเ้าไม่เขียนจดหมายมาบอกข้าล่วงหน้าก่อนว่าเ้าจะกลับมา ข้าจะได้ไปรับเ้าด้วยตัวเอง หากเกิดเหตุระหว่างทางจะทำอย่างไร?”
มู่เฉินตำหนิเด็กหนุ่มด้วยความเป็ห่วง
“ท่านลุงใหญ่ ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะขอรับ จริงสิ แล้ว่นี้สถานการณ์ในตระกูลเป็อย่างไรบ้างขอรับ?”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยถามถึงสถานการณ์ของตระกูล แต่ในเื่ความห่วงใยที่ท่านลุงใหญ่มีต่อเขา แน่นอนว่าภายในใจของเด็กหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างยิ่ง
“เฮ้อ นับวันหนานหาวก็ยิ่งกดดันพวกเรามากขึ้น เขากำลังลงมือหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ กิจการหลายอย่างในตระกูลก็ถูกเขาสั่งปิด หากไม่ได้เงินที่เ้าส่งมาเมื่อคราวก่อนช่วยพยุงเอาไว้ เกรงว่าคงประสบปัญหาใหญ่แล้ว”
มู่เฉินถอนหายใจ
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ตอนนี้เขามีเงินไม่มากนัก แต่เขาก็ยังมีหินเทวะอีกจำนวนหนึ่ง แม้ว่าพวกมันจะมีมูลค่าสูงกว่าเงินทอง ทว่ามู่เฟิง้าจะเก็บพวกมันเอาไว้เพื่อใช้ฝึกฝนวรยุทธ์
“ท่านผู้นำตระกูล ปรมาจารย์จางเฉวียนตั้นมาขอพบขอรับ”
ทันใดนั้นผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามากล่าวรายงาน
“อืม รีบเชิญท่านเข้ามา”
เมื่อมู่เฉินได้ยินดังนั้นก็รีบตอบรับอย่างรวดเร็ว
จางไต้ซือ*คือนักสลักลายเส้นขั้นสองที่ทางตระกูลมู่ให้การดูแล ซึ่งเขาเชี่ยวชาญการสลักลายเส้นโอสถ
(*ปรมาจารย์)
มู่เฟิงกลับมาสวมใส่หน้ากากอีกครั้งก่อนจะนั่งลง
เพียงไม่นาน ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำลายปักเพลิงเมฆาก็เดินเข้ามา มู่เฉินลุกขึ้นเพื่อทักทายอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จางไต้ซือ ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ผมของชายวัยกลางคนผู้นี้ค่อนข้างแห้งกรอบ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการหลอมโอสถมาเป็เวลานาน ใบหน้าของเขาติดอมเหลือง ส่วนรูปลักษณ์ก็ธรรมดาทั่วไป
“ผู้นำตระกูลมู่ ข้าต้องขออภัยด้วย ข้ามาพบท่านเพื่อกล่าวลา”
จางไต้ซือกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นอย่างขออภัย
“กล่าวลา ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของมู่เฉินก็พลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที
“หากให้กล่าวกันตามตรง ข้าเห็นว่าบ่อน้ำของตระกูลมู่นั้นตื้นเขินเกินไป ลำพังเพียงตัวเองก็กระหายน้ำแทบตายแล้ว เช่นนี้จะเลี้ยงดูจางไต้ซือของเราได้อย่างไร”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น จากนั้นก็พลันปรากฏลำแสงส่องลงมาจากท้องฟ้าด้านนอก และในชั่วพริบตาเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นภายในโถงรับรอง
สตรีในชุดสีแดงผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องโถง สตรีผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามมาก ดวงตาของนางคมเฉี่ยวเหมือนดวงตาของจิ้งจอกที่กำลังจะล่อลวงผู้คน ส่วนรูปร่างและทรวดทรงสามารถกล่าวได้ว่าไร้ที่ติ ทั้งยังมีเสน่ห์เย้ายวนในแบบผู้ใหญ่
คลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของสตรีผู้นี้ก็ทรงพลังมากเช่นกัน นางคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตาน
“ลู่ชูเสวี่ย เ้าโผล่มาทำอะไรที่จวนตระกูลมู่ของข้า”
เมื่อมู่เฉินเห็นคนผู้นี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที
สตรีผู้นี้มีนามว่าลู่ชูเสวี่ย เป็หนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานที่หนานหาวเลี้ยงดูเอาไว้
“มู่เฉิน ข้าไม่ได้มาหาเ้า ดูท่าทางของเ้าในตอนนี้สิ ข้ามารับตัวจางไต้ซือของพวกข้าต่างหาก”
ลู่ชูเสวี่ยเดินเข้าไปหาจางไต้ซือก่อนจะวางมือไว้บนไหล่ของอีกฝ่ายด้วยท่าทางเย้ายวน
“จางไต้ซือ นี่มันเื่อะไรกัน?”
มู่เฉินจ้องไปทางจางไต้ซือด้วยสายตาเ็า
เมื่อเห็นว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับหยวนตานมารับเขา จางไต้ซือก็มีความมั่นใจขึ้นมาทันใด เขายืดอกก่อนจะกล่าวว่า “ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าตอบรับท่านอ๋องหนานหาวไปแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะกลายเป็คนของจวนเป่ยอ๋อง ดังนั้นนับจากวันนี้ถือว่าข้าได้ออกจากตระกูลมู่อย่างเป็ทางการแล้ว และต่อไปจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลมู่อีก”
แววตาของมู่เฉินกำลังลุกโชนด้วยโทสะ เขากล่าวอย่างเ็าว่า “จางเฉวียนตั้น เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้ามีอย่างทุกวันนี้ได้เพราะใคร? ในตอนที่เ้าเป็เพียงชายหนุ่มที่กำลังตกต่ำ เป็เพราะตระกูลมู่ค้นพบพร์ของเ้าและจ่ายเงินออกไปจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการฝึกฝนของเ้า ทำให้เ้ากลายเป็นักสลักลายเส้นโอสถขั้นสองมิใช่รึ แต่เหตุใดวันนี้เ้าถึงขายศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งเสียเล่า?”
ไม่รู้ว่าทางตระกูลมู่ต้องใช้เงินไปจำนวนมากเท่าไรในการบ่มเพาะนักสลักลายเส้นขั้นสองผู้หนึ่งออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าหลังจากได้รับการฝึกฝนแล้ว อีกฝ่ายกลับ้าออกไปเข้าร่วมกับศัตรูของตระกูลมู่
จางไต้ซือแสดงท่าทางเหยียดหยามออกมา ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เื่ในอดีตไม่มีสิ่งใดให้พูดถึง ข้าจางเฉวียนตั้นทุ่มเทให้กับตระกูลมู่ของพวกเ้าไปไม่น้อย ตอนนี้ตระกูลมู่ของพวกเ้ากำลังจะล้ม แม้แต่จะปกป้องตัวเองยังทำได้ยาก เช่นนี้พวกเ้าจะสามารถเลี้ยงดูข้าได้รึ?”
“เนรคุณ!”
มู่เฉินเดือดดาล เขาพุ่งตัวเข้าไปหาจางไต้ซือ ้าจะสังหารเ้าคนเนรคุณผู้นี้ให้ตายคามือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้