ไป๋เยว่ซินเดินมาตามทางอย่างไม่รีบไม่ร้อน สองข้างทางมีเหล่าชาวบ้านที่ออกมาทำนาให้เห็นเป็ระยะ นางผ่านที่ใดก็แบ่งชาลิ้นจี่ให้พวกเขาได้ลองชิมดู ทุกคนต่างพูดเป็เสียงเดียวกันว่าอร่อยเลิศรสยิ่งนัก ไป๋เยว่ซินยิ้มตาหยี ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปที่แปลงนาทันที
เมื่อมาถึงยังแปลงนา นางก็รีบนำชาลิ้นจี่ไปให้คนตระกูลไป๋ได้ลองชิม ไป๋จงและไป๋ชวนบอกว่าอร่อยมาก นางเกานางหลี่ก็ยังดื่มจนหมด ด้านไป๋เซียง ไป๋ฟานและอาหลิงก็บอกว่ารสชาติเยี่ยมมาก
“น้องเล็ก เ้าไปเรียนรู้การทำชาลิ้นจี่เลิศรสนี่มาจากที่ใดกัน?”
ไป๋ฟานเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยกินชาลิ้นจี่ที่รสชาติดีเช่นนี้มาก่อนเลย อีกอย่างด้วยสถานะทางครอบครัว ทำให้น้อยครั้งนักที่เขาจะได้กินของพวกนี้ ไป๋เยว่ซินยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ยตอบ
“เพราะข้ามีพร์อย่างไรเล่า”
นางเกาสะใภ้ใหญ่เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
“หากทำไปขายคงได้เงินไม่น้อยเลย”
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำแล้ว ไป๋เยว่ซินจึงชวนไป๋เซียงไปที่ตลาดด้วยกัน นางอยากจะไปหาซื้อวัตถุดิบมาไว้ลองทำอาหารตามที่ในตำราลับบอกเอาไว้
ตอนนี้เงินที่ได้มาจากตระกูลหลินยังพอมีเหลืออยู่บ้าง แต่อย่างไรย่อมต้องใช้จ่ายให้ประหยัดเสียหน่อย
ในขณะที่พวกนางกำลังเดินซื้อของที่ตลาดอยู่นั้น ก็พบเข้ากับหลินจวงและโจวซื่อหลางเข้าโดยบังเอิญ หลินจวงแม้จะมองพวกนางอย่างไม่ชอบใจแต่กลับไม่กล้าเข้ามาหาเื่เช่นครั้งก่อน ส่วนโจวซื่อหลางเองก็ลอบมองไป๋เซียงเป็ระยะ แต่เพราะไป๋เซียงตัดใจไปนานแล้วจึงไม่อยากจะให้ค่าผู้ชายเฮงซวยเช่นนั้นอีก
ไป๋เยว่ซินคร้านจะสนใจคนพวกนั้น นางจึงรีบซื้อของและชักชวนพี่สาวกลับบ้านไปเสีย
หลินจวงมองตามสตรีทั้งสองคนไปด้วยแววตาที่เ็า ริมฝีปากบางหยักยกขึ้นคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับโจวซื่อหลาง
“ทำไม หรือว่าท่านยังตัดใจจากไป๋เซียงไม่ได้ โจวซื่อหลาง ท่านจำเอาไว้เลยนะ ข้าไม่มีวันยอมให้ท่านกลับไปหามันเด็ดขาด!”
โจวซื่อหลางไม่เอ่ยอันใดเพียงส่ายหน้าเล็กน้อย ั้แ่เกิดเื่ในวันนั้นความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาก็ย่ำแย่ลงไปไม่น้อย
เื่ที่ไป๋เยว่ซินทำให้คนตระกูลหลินต้องถูกโบย หลินจวงไม่มีทางลืมเด็ดขาด นางรอโอกาสในการเอาคืนอยู่เสมอ
ไป๋เยว่ซินและไป๋เซียงรีบเร่งเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางคนทั้งสองไม่ได้สนทนากันถึงเื่ของหลินจวงกับโจวซื่อหลางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อกลับมาบ้านก็รู้สึกว่าบรรยากาศภายในลานบ้านดูคึกคักชอบกล นางหันไปสบตากับไป๋เซียงคราหนึ่ง พลันรีบเร่งฝีเท้าก้าวเดินเข้าไป
และนางก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดวันนี้บ้านจึงดูคึกคักกว่าทุกวัน นั่นเป็เพราะยามนี้หยางซีกำลังนั่งสนทนาอยู่กับท่านพ่อและท่านลุงใหญ่ของนาง อีกทั้งไป๋ฟานพี่ชายของนางก็ดูจะชื่นชมเขาไม่น้อยเลย
ไป๋เยว่ซินย่นหัวคิ้ว ก่อนหน้านี้นางเคยบอกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องมาที่นี่อีก หรือเขาจะฟังภาษาคนไม่รู้เื่
ไป๋จงที่เห็นว่าบุตรสาวและหลานสาวกลับมาแล้วก็รีบเอ่ยทันที
“เยว่เอ๋อร์ เซียงเอ๋อร์ เ้ามาพอดีเลย ใต้เท้าหยางมาเยี่ยมพวกเรา อีกทั้งยังนำของมามอบให้มากมายด้วย พวกเ้ารีบมาดูสิ”
ไป๋เยว่ซินถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามา นางปรายตามองของกินของใช้ที่หยางซีนำมามอบให้คราหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ
หยางซียิ้มให้นางเล็กน้อย แต่ไป๋เยว่ซินกลับไม่ได้ยิ้มตอบ เพียงบอกว่านางขอตัวไปเข้าครัวก่อนเท่านั้น
เพราะวันนี้มีแขกคนสำคัญมาเยือนถึงบ้าน ป้าสะใภ้จึงบอกว่าให้นางทำอาหารมากสักหน่อย ไหนๆหยางซีก็นำของมาให้ไม่น้อย หากต้อนรับไม่ดีเกรงว่าจะขายหน้าเอาได้ ไป๋เยว่ซินรับคำอย่างส่งๆ ก่อนจะช่วยกันกับไป๋เซียงและอาหลิงทำอาหาร หลังจากทำเสร็จแล้ว นางก็บอกว่าปวดหัว อยากพัก ให้ทุกคนกินอาหารไปก่อนได้เลย ส่วนนางจะแบ่งเอาไปกินในห้องตามลำพัง
คนตระกูลไป๋เกรงว่าหยางซีจะไม่พอใจจึงเอ่ยขอโทษเขาเป็การใหญ่ แต่หยางซีกลับไม่เห็นเป็เื่สำคัญ
นางยังคงทำตัวเหินห่างกับเขาเหมือนตอนยังเป็องค์หญิงใหญ่
หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว หยางซีก็ขอตัวกลับ โดยบอกว่าไม่ต้องให้คนตะกูลไป๋เดินไปส่ง คนตระกูลไป๋ไม่กล้าทัดทานจึงเพียงบอกเขาว่าให้มาบ่อยๆได้เท่าที่้า หยางซียิ้มรับ เมื่อเดินมาจนลับสายตาคนตระกูลไป๋แล้ว เขาจึงเดินมาที่เรือนนอนของไป๋เยว่ซินทันที
หลายวันมานี้เขาตามดูจนรู้ว่านางพักห้องไหน ทำสิ่งใดบ้างในแต่ละวันและใช้ชีวิตเช่นไร
เมื่อเข้ามาในห้องกลับไม่พบตัวคน หยางซีขมวดคิ้วมุ่น ชายหนุ่มเดินหาไป๋เยว่ซินอย่างเงียบๆ ก่อนจะพบว่าตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่ที่ศาลาใต้ต้นไม้ พลางเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยแววตาที่เรียบเฉย
แม้ร่างกายและรูปลักษณ์ภายนอกของนางจะเปลี่ยนไป แต่เขากลับรู้สึกคุ้นชินเป็อย่างยิ่ง
ไป๋เยว่ซินยามนี้กำลังนั่งมองท้องฟ้าอย่างเบื่อหน่าย นางกินข้าวอิ่มแล้วจึงมานั่งรับลมที่นี่
นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับหยางซี แต่ดูเหมือนวาเขาจะมาปรากฏกายใต้ครรลองสายตาของนางอยู่เสมอ นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเขาทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใด
เพราะเอาแต่เหม่อลอย ไป๋เยว่ซินจึงไม่ทันรู้ตัวว่ามีคนเดินเข้ามาในศาลา กว่าจะรู้ว่ามีคนเข้าใกล้ ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเอ่ยกระซิบเบาๆที่ข้างหูของนางเสียแล้ว
“เหตุใดจึงหลบหน้าข้าเล่า?”
ไป๋เยว่ซินหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องสะดุ้งโหยง
“อาซี!”
เพราะความใทำให้นางเผลอเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนม เมื่อรู้ตัวจึงเริ่มปั้นหน้าไม่ถูก หยางซียกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยกับนางอย่างหยอกเย้า
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะสนิทสนมกันมากขึ้นแล้วสินะ เ้าจึงเรียกข้าว่า อาซี เช่นนี้”
ไป๋เยว่ซินหลับตาลงพยายามข่มกลั้นความรู้สึกทั้งหมด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา
“ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ท่านมาที่นี่ ท่านจำไม่ได้หรือ?”
“จำได้ แต่นั่นเป็คำพูดเมื่อหลายวันก่อน วันนี้ข้าไม่นับ”
ไป๋เยว่ซิน”.....”
ั้แ่เมื่อใดกัน ที่เขาเริ่มเ้าเล่ห์กับนางเช่นนี้!
หยางซีเดินเข้ามาใกล้ไป๋เยว่ซิน แต่นางกลับถอยหลังหนีเขา นางถอยหลังจนหลังชนเสาไม้ของศาลา ไร้ทางหลบอีก
“ไป๋เยว่ซิน ข้ารู้สึกเหมือนว่าเ้าจะไม่ชอบข้าเท่าใดนัก ใช่หรือไม่? อีกทั้งยังตอบไม่ตรงคำถาม ถามอย่างตอบอย่างเหมือนไม่อยากจะสนทนากับข้า”
“ท่านรู้ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องมาที่นี่อีก ท่านเป็ขุนนางส่วนข้าเป็ชาวบ้าน อยู่ห่างกันสักหน่อยจะเป็การดีที่สุด หากไม่มีเื่ใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
ไป๋เยว่ซินหาทางบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงเขาอย่างไม่ไว้หน้า ความจริงนางไม่ได้รู้สึกโกธรเคืองเขา และไม่ได้โมโหหรือแค้นเคืองคนตระกูลหยาง ความแค้นไม่เคยส่งผลดีต่อใคร นางเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขราบรื่นก็เท่านั้น
แต่เหมือนว่าหยางซีจะไม่เข้าใจในความ้าของนาง
ในขณะที่นางกำลังจะเดินออกจากศาลาไปนั้น กลับได้ยินเขาเอ่ยพูดกับนางประโยคหนึ่ง
“แต่ว่าข้าชอบเ้า ไม่ได้หรือ”
“หา?”
ไป๋เยว่ซินรู้สึกเหมือนว่าตนเองหูดับ หยางซีเดินเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาหานาง พร้อมเอ่ยกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าบอกว่า ข้าชอบเ้า และข้าเองก็มีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง ยิ่งคนที่ข้าชอบไล่ข้าหนีมากเท่าไหร่ ข้ายิ่งจะมาให้นางเห็นหน้าทุกวัน ทุกเวลา!”
เอ่ยจบเขาก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะเร้นกายหายไปในความมืดทันที ทิ้งให้ไป๋เยว่ซินยืนนิ่งงันอยู่บนศาลาเพียงลำพัง เมื่อตั้งสติได้ นางก็ยกมือขึ้นกุมหนาผากตนคราหนึ่ง
มารดามันเถอะ เขาชอบไป๋เยว่ซินจริงๆหรือนี่ ?
แล้วเหตุใดนางต้องรู้สึกไม่พอใจด้วย ในเมื่อยามนี้นางกับไป๋เยว่ซินก็คือคนๆเดียวกัน
ความคิดในใจของนางนับวันยิ่งจะเหลวไหลเกินไปแล้ว!!