“ท่านพ่อ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ” ชงจ้านหยวนกล่าว
“ไม่รีบร้อน” ชงโหวหู่โบกมือและพูดว่า “แม้หลิวหงหยวนจะเห็นด้วย แต่นางยังคงต่อสู้เพื่อหลัวเลี่ย ถ้าหลัวเลี่ยผ่านสามด่านแรกของการทดสอบ เขาจะยังได้สืบทอดตำแหน่งต่อ การทดสอบจะเริ่มในอีกครึ่งเดือน”
“ชิ!”
ชงจ้านหยวนเย้ยหยัน “หลิวหงเหยียนเ้าเล่ห์จริงๆ ใครๆ ก็รู้ว่าหลัวเลี่ยไม่ฝึกวรยุทธ์ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าสู่วิถีวรยุทธ์เลย ต่อให้จะมีพร์แค่ไหนก็เป็ไปไม่ได้ที่จะถึงระดับหกในครึ่งเดือน ผ่านการทดสอบสามด่าน เห็นได้ชัดว่านางไม่้าแบกรับความอับอายจากการประณามในการเสียสละครั้งนั้น”
ชงโหวหู่ยิ้มกว้างและพูดว่า “นางคงคิดไม่ถึงว่าการทำเช่นนี้จะเป็การช่วยเราสองพ่อลูกมากขึ้น ศักดิ์ศรีของอ๋องหนานหลี่ในกองทัพไม่เคยลดลง หากพวกเขารู้ว่าหลิวหงเหยียนทำเช่นนี้ต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน เ้าไปยั่วยุหลัวเลี่ยอีกครั้ง พยายามทำให้เขาเชื่อว่าหลิวหงเหยียนไม่้าเขา และอยากให้เขาเสียชื่อจากการทดสอบผู้พิชิต ยิ่งเขารู้สึกโกรธและอับอายมากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลต่อคนในกองทัพมากขึ้นเท่านั้น ถึงตอนนั้นเมื่อคนของเรากลายเป็อ๋องหนานหลี่แล้ว จัดการให้คนในกองทัพเป็ของเรา ชักชวนคนที่ภักดีกับอ๋องหนานหลี่ให้มาอยู่กับเรา เช่นนั้นวันที่พ่อจะกลายเป็จักรพรรดิก็จะใกล้เข้ามายิ่งขึ้น”
“ท่านพ่อโปรดวางใจ ลูกสัญญาว่าจะยั่วยุให้หลัวเลี่ยเกลียดหลิวหงเหยียนมากขึ้น” ชงจ้านหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ครั้งแรกที่เขาย่างเท้าเข้าไปในจวนอ๋องหนานหลี่ หลัวเลี่ยรู้สึกตกตะลึงกับความโอ่อ่า
ตึกเก้าชั้นทั้งภายในและภายนอกมีรูปแบบสมมาตรจากเหนือจดใต้ ตรงทางเข้ามีรูปปั้นสิงโตพ่นไฟสูงมากกว่าห้าเมตร นั่นคือรูปปั้นของสัตว์เลี้ยงที่ติดตามอ๋องหนานหลี่ในการทำาทางเหนือและทางใต้ ต่อมาสิงโตเพลิงตายในสนามรบ อ๋องหนานหลี่จึงนำิญญาของมันผนึกไว้ในรูปปั้นหิน และมันยังคงปกป้องจวนของอ๋องหนานหลี่แห่งนี้ด้วย
ในขณะที่ยืนอยู่หน้ารูปปั้นหิน ก็เห็นใครบางคนรอเขาอยู่ในห้องโถง
เมื่อเห็นคนคนนั้น ซูชิวเชิงก็ผงะเล็กน้อย และรีบพูดกับหลัวเลี่ย “ท่านอ๋องน้อย นั่นคือพี่ชายของข้า เขาไม่เข้าใจกฎเท่าไร รบกวนท่านอ๋องน้อยแล้ว”
ไม่รอให้เขาพูดจบ หลัวเลี่ยก็โบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้น”
ซูชิวเชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหลังจากขอบคุณเขา เขาก็กวักมือเรียกพี่ชายให้เข้ามาหา
พี่ชายของเขาคล้ายกับเขาเจ็ดถึงแปดส่วน และข้างๆ กันคือเด็กหญิงตัวเล็กที่มีผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหยกสีชมพู อายุประมาณสิบขวบ ดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่ลงมาจาก์
“ยังไม่ทำความเคารพท่านอ๋องน้อยอีกหรือ” ซูชิวเชิงพูดเสียงทุ้ม
บุคคลนั้นก้มคำนับและทำความเคารพ “ข้าน้อยซูฮูคำนับท่านอ๋องน้อย”
“หา? เ้าชื่ออะไรนะ?” หลัวเลี่ยใ
“ข้าน้อยซูฮู” คนคนนั้นตอบ
ซูฮู!
หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเด็กสาวผิวเนียนละเอียด “นี่คือ?”
ซูฮูเอ่ย “นี่คือลูกสาวของข้าน้อย ซูต้าจี๋ ต้าจี๋ เร็ว มาทำความเคารพท่านอ๋องน้อย”
“ต้าจี๋ทำความเคารพท่านอ๋องน้อย” ซูต้าจี๋โค้งลงอย่างเชื่อฟัง
หลัวเลี่ยตกตะลึง
นี่คือซูต้าจี๋?
สตรีผู้ไร้เทียมทาน ซึ่งถูกกำหนดว่าจะนำภัยพิบัติมาสู่บ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาของนางแล้ว นางอายุแค่ประมาณสิบขวบเท่านั้น และนางก็เป็ที่สะดุดตา โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น นางดูเหมือนจะเกิดมาพร้อมกับเสน่ห์เย้ายวน มีน้ำมีนวล และทำให้ผู้คนหลงใหลได้ง่าย
“เอ่อ ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องสุภาพเกินไป” หลัวเลี่ยเอ่ย “พวกเ้าพ่อลูกมาที่นี่ มีเื่อะไรหรือ”
ซูฮูลังเลที่จะพูด
ซูชิวเชิงพูดเรียบๆ “ท่านอ๋องน้อย พี่ชายของข้ามีความปรารถนา เมื่อไม่กี่วันก่อนจักรพรรดิแห่งอาณาจักรชางประกาศว่า ใครก็ตามที่สามารถนำจักจั่นน้ำแข็งพันปีมาถวายได้ จะมอบตำแหน่งโหวแห่งจี้โจวให้ พี่ชายของข้ามีจักจั่นน้ำแข็งพันปี เขามาบอกลาข้าเพื่อเดินทางไปอาณาจักรชาง ข้าเกลี้ยกล่อมเขาเป็เวลานานแต่ก็ไม่เป็ผล”
ตาของหลัวเลี่ยกระตุก
“เ้ายังยืนยันที่จะไป?” หลัวเลี่ยมองไปที่ซูฮู
“ข้าน้อยตัดสินใจแล้ว” ซูฮูกล่าวอย่างหนักแน่น
หลัวเลี่ยพยักหน้า “ในเมื่อเป็เช่นนั้น หัวหน้าองครักษ์ก็อย่าบังคับให้เขาอยู่ต่อเลย เอาเงินให้ซูฮู แล้วจัดองครักษ์ที่มีฝีมือสองคนพาพวกเขาไปส่งที่อาณาจักรชางเถอะ”
ซูฮูมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนั้น รีบร้อนกล่าวขอบคุณ
ด้วยคำพูดของหลัวเลี่ย ซูชิวเชิงไม่คัดค้านอีกต่อไป และทำตามที่เขาพูด เมื่อพวกเขาเดินออกไปแล้ว สาวน้อยซูต้าจี๋หันกลับไปมองหลัวเลี่ย หลัวเลี่ยส่ายหัวน้อยๆ อีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ เด็กสาวคนนั้นจะนำหายนะมาสู่บ้านเมืองอย่างแน่นอน
หลัวเลี่ยทำหน้าตาน่าเกลียดใส่นาง
ใบหน้าของซูต้าจี๋แดงก่ำ นางแลบลิ้นใส่เขาและะโหนีไป
“นี่จะใช่ซูต้าจี๋ที่สร้างความวุ่นวายด้วยมือของตนเองหรือไม่” หลัวเลี่ยพึมพำกับตัวเอง
เขาส่ายหัวและไม่คิดถึงเื่นี้อีกต่อไป เขาเพิ่งมาถึงดินแดนเหยียนหวง และได้ก้าวเข้าสู่วังวนอำนาจที่ระส่ำระสายของแคว้นเป่ยสุ่ย ดังนั้นเขาจะไม่สนใจสิ่งอื่นแล้ว
หลัวเลี่ยเดินไปรอบๆ วัง แต่ไม่ได้ฝึกฝนร่างกายต่อ เขาเดินไปพักผ่อน
เช้าวันต่อมา เขาตื่นแต่เช้าเพื่อฝึกฝน
เขาอยู่ในจวนหลักที่อ๋องหนานหลี่เคยอาศัยอยู่ ที่นี่มีสนามฝึกซ้อมเล็กๆ อยู่ตรงกลาง และห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาฝึกซ้อม
แม้ว่าหลัวเลี่ยจะไม่ได้ตั้งใจซ่อนพลังการต่อสู้ของเขา แต่เขาก็ไม่้าถูกรบกวนจากผู้อื่น นอกจากนี้อาจเพราะเขามาจากยุคสมัยใหม่ เขาจึงมักจะรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยสบายใจในจวนของท่านอ๋องน้อยตัวจริง จึงให้ทุกคนออกไป
เหลือแค่เขาฝึกซ้อมอยู่คนเดียว
แม้ว่าความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่การจะขึ้นไปถึงระดับสี่นั้นก็ไม่ได้ง่ายดายนัก
ด้วยความที่เคล็ดวิชาั์เป็การฝึกที่แข็งแกร่งที่สุดในการฝึกฝนร่างกาย และเนื่องจากเป็การฝึกที่แข็งแกร่งที่สุด ขีดจำกัดที่พบจึงยากต่อการก้าวข้ามมากกว่าการฝึกอย่างอื่น
โชคดีที่หลัวเลี่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า การฝึกมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางมาเมืองหลวง เขายังถามหลิวหงเหยียนว่า ผู้ที่มีพร์อย่างเจียงจื่อหยาและเหวินจง เมื่อตอนที่ฝึกเคล็ดวิชาั์แล้วล้มเหลวในตอนที่จะขึ้นไประดับที่ห้านั้น กล่าวกันว่าพวกเขาใช้เวลาถึงสิบแปดเดือนในการก้าวจากการฝึกร่างกายระดับที่สามไปสู่การฝึกร่างกายระดับที่สี่ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว นี่แสดงให้เห็นว่าการข้ามเกณฑ์นี้ยากเพียงใด
เมื่อใกล้เที่ยงมีคนมาเยี่ยมและขัดจังหวะบ่มเพาะพลังของหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยเคยได้ยินชื่อผู้คนมากมายจากหลิวหงเหยียน และถามคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของท่านอ๋องน้อยจากหัวหน้าองครักษ์ซูชิวเชิง เขารู้จักคนมากมายรวมทั้งคนตรงหน้า
สองคนที่มาครั้งนี้ เป็ชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน
เมื่อหลัวเลี่ยไปพบ ซูชิวเชิงได้แจ้งเขาด้วยเสียงต่ำ
ผู้ที่มาเยือนคือชงจ้านหยวนและหลานฉายหลิง
หลัวเลี่ยรู้เื่ชงจ้านหยวนมากมาย ไม่ว่าจะเป็จากหลิวหงเหยียนหรือซูชิวเชิง เมื่อพวกเขาพูดถึงลูกชายขุนนางที่มีอำนาจที่สุดในแคว้นเป่ยสุ่ย พวกเขาต่างก็ยกให้เป็ชงจ้านหยวนแม้ว่าจะเกลียดก็ตาม
ว่ากันว่า ชงจ้านหยวนไม่เพียงมีไหวพริบและเฉลียวฉลาดเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น ในแง่ของการต่อสู้ เขาได้รับการยอมรับว่าเป็อัจฉริยะในแคว้นเป่ยสุ่ย และเขาก็เป็อันดับหนึ่งของการแข่งขันรุ่นเยาวชนของแคว้นเป่ยสุ่ยด้วยวัยเพียงสิบหกปี
รุ่นเยาวชนคือเด็กที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี โดยนับรวมคนที่อายุสิบแปดปีด้วย
และเช่นเดียวกัน ชงจ้านหยวนยังสืบทอดความทะเยอทะยานมาจากพ่อของเขาอีกด้วย
สำหรับหลานฉายหลิง นางคืออัญมณีในฝ่ามือของหัวหน้าตระกูลหลาน ซึ่งเป็ตระกูลใหญ่ในแคว้นเป่ยสุ่ย และที่สำคัญกว่านั้นคือนางเป็ผู้หญิงที่ท่านอ๋องน้อยหลัวเลี่ยหลงใหลมากที่สุด
การมาถึงของคนสองคนนี้ เขาควรพิจารณาให้มาก
อย่างไรก็ตาม หลัวเลี่ยคนนี้มาจากศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่หลัวเลี่ยคนก่อนหน้าอีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงมาที่ห้องโถงด้านหน้าเพื่อมาพบอย่างไม่สนใจ
“พี่หลัว ข้าไม่ได้เจอท่านสองสามวันแล้ว สีหน้าของท่านดีขึ้นแล้ว” ชงจ้านหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชงจ้านหยวนนั้นยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน สิ่งเดียวที่ขาดไปคือรูปร่างหน้าตาของเขา เขาอ้วนเล็กน้อย ผิวของเขาคล้ำและหยาบกร้าน บางคนแอบเรียกเขาว่าหมูดำ
ไม่อยากจะพูดว่าหลานฉายหลิงที่ยืนอยู่ข้างชงจ้านหยวนนั้นดีกว่ามาก
หลานฉายหลิงนับว่าเป็สาวงามที่หาได้ยาก หากหลิวหงเหยียนและเสวี่ยปิงหนิงไม่โดดเด่นเกินไป ชื่อเสียงของนางคงจะยิ่งขจรขจายไปมากกว่านี้ แต่ด้วยหลิวและเสวี่ย หญิงสาวสองคนนั้นยังอยู่ นางจึงเป็เหมือนดวงดาวที่อยู่ข้างดวงจันทร์ที่สว่างไสว แม้ว่านางจะสว่างเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดมันก็เป็เพียงแสงเล็กๆ สำหรับดวงจันทร์ที่สว่างไสว
สิ่งนี้ยังทำให้หลัวเลี่ยที่หลังจากมาถึงดินแดนเหยียนหวง แล้วพบหลิวหงเหยียนและเสวี่ยปิงหนิงั้แ่แรก หมดความสนใจในตัวนางโดยอัตโนมัติ และทำเพียงเหลือบมองนางไม่กี่ครั้ง
“ข้าสบายดีมาตลอด แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของพี่ชงจะไม่ค่อยดีนัก อืม ข้าเห็นว่าตราประทับของท่านเป็สีดำ อาจมีเหตุนองเื...เอ่อ ขอโทษ ข้าเข้าใจผิด จริงๆ ท่านดำอยู่แล้ว” หลัวเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม หัวเราะน้อยๆ และนั่งลงบนที่นั่งของเ้าบ้าน
ชงจ้านหยวนเกลียดคนที่พูดว่าเขาดำและน่าเกลียดที่สุด เขาตะคอกด้วยสีหน้าเ็า “ฝีปากของพี่หลัวคมขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าฝีปากของท่านจะคมแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ อีกไม่นานท่านก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับข้าแล้ว”
“เ้า้าฆ่าพ่อของเ้า แล้วยึดตำแหน่งขึ้นเป็อ๋องชวนหลงหรือ?” หลัวเลี่ยถามกลับ
เดิมทีชงจ้านหยวนมาที่นี่พร้อมกับภารกิจยั่วยุหลัวเลี่ย โดยไม่คาดคิดว่าคำพูดของหลัวเลี่ยจะเยาะเย้ยจนเขาเกือบจะวิ่งหนี เขาระงับความโกรธของตนและพูดอย่างเย้ยหยันว่า “เ้าจะสูญเสียสิทธิในการสืบทอดตำแหน่งอ๋องหนานหลี่ในไม่ช้า”
หลัวเลี่ยเลิกคิ้วขึ้น
“ท่านยังไม่รู้หรือ ฝ่าาออกคำสั่งว่าหากท่านไม่ผ่านสามด่านแรกของบททดสอบแห่งผู้พิชิต ท่านจะต้องไปจากจวนอ๋องหนานหลี่ตลอดไป หึๆ ฝ่าานั่นแหละคือผู้ที่ทำให้พ่อของท่านเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องนาง แล้วนางยังคิดใช้ประโยชน์จากเื่นี้เพื่อขึ้นเป็หัวหน้าคณะผู้าุโ ท่านคิดว่าพ่อของท่านเสียชีวิตอย่างไม่ยุติธรรมหรือไม่?” ชงจ้านหยวนยิ้มอย่างมีเลศนัย
แม้ว่าจะไม่รู้ชัดเจนมากนักเกี่ยวกับตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้าุโ หรือสามด่านแรกของบททดสอบผู้พิชิต แต่หลังจากหลัวเลี่ยคิดอยู่พักหนึ่งก็เดาได้ถึงแปดในสิบส่วน
เขาพูดอย่างเฉยเมย “ความภักดีและซื่อสัตย์เป็คำมั่นของบรรพบุรุษแห่งจวนหนานหลี่ และข้าหลัวเลี่ยจะไม่มีวันลืม!”
ความเชื่อที่ดังและทรงพลังในน้ำเสียงเรียบๆ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของชงจ้านหยวนชะงักลง เขาเห็นว่าดวงตาของหลัวเลี่ยนั้นสงบนิ่งจริงๆ ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะยั่วยุหลัวเลี่ย
ชงจ้านหยวนที่เตรียมพร้อมมาเป็เวลานานไม่ท้อแท้ เขาผลักไพ่ตายที่เตรียมไว้ออกไป นั่นก็คือหลานฉายหลิง