เล่มที่ 10 บทที่ 279 โลงศพหินเปิดออก
หลินเฟยมองไปรอบๆ ด้วยความใ...
เพียงวิถีกระบี่ปรากฏออกมา ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้แล้ว หากสำแดงพลังออกมาเต็มที่ละก็ ผนวกรวมกับพลังของปราณกระบี่ทั้งห้าอีก เกรงว่ารอบหน้าคงจะเสียหายหนักกว่านี้เป็แน่...
“ดูท่าสิ่งที่ศิษย์พี่หลินพูดคงไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด...” หลินเฟยพยายามสะกดความตกตะลึงที่เกิดขึ้นเอาไว้ ขณะที่กำลังจะบงการปราณกระบี่ทั้งห้าเพื่อทดลองพลังอีกครั้ง จู่ๆก็พบว่าอักษรภาพที่อยู่ด้านข้างเริ่มสั่นไหวขึ้นมา...
“ไม่หรอกมั้ง...”
หลินเฟยใจกระตุกขึ้นทันที เพราะรู้ว่าการบงการปราณกระบี่เมื่อครู่นี้ จะต้องไปกระตุ้นอักษรภาพเป็แน่...
และก็เป็อย่างที่คิดไว้จริงๆ...
หลังจากที่อักษรภาพสั่นไหวขึ้น ก็มีภาพหนึ่งปรากฏออกมา...
เมื่อกวาดตาสำรวจดู ก็พบว่าท่ามกลางดวงดาวที่ทอดยาวนับหมื่นลี้บนท้องฟ้าอันมืดมิด ได้มีดวงดาวสีดำดวงหนึ่งกำลังสั่นไหวอยู่ เพียงครู่เดียวก็แตกออกเป็เสี่ยงๆ ก่อนจะเกิดเป็ธารลาวาพวยพุ่งและท่วมทะลักออกมา จากนั้นแสงสว่างจากคลื่นความร้อนน่าสะพรึงกลัวก็สาดส่องไปทั่วบริเวณ ไม่นานภาพนิมิตดวงดาวมากมายก็ได้สูญสลายจนหมดสิ้น...
หลังจากดวงดาวได้สลายหายไปแล้ว ท่ามกลางท้องฟ้าดำมืดก็มีสัตว์ประหลาดขนาดั์ลำตัวสีดำสนิท มีสามเนตรแปดกร ขนาดตัวยาวนับหมื่นลี้ปรากฏขึ้นมา และชั่วขณะที่สัตว์ประหลาดั์โผล่ขึ้นมานั้นเอง มันก็มาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลซึ่งสามารถทำลายสรรพสิ่งให้พินาศวอดวายได้เลยทีเดียว และขณะนี้มันก็กำลังกลืนกินเศษซากของดวงดาวที่แตกสลายอย่างบ้าคลั่ง
แม้จะมีแรงกดมหาศาล แต่เ้าสัตว์ประหลาดกลับกลืนกินดวงดาวโดยไม่สะทกสะท้อนแม้แต่น้อย เพียงเขมือบไปไม่กี่คำ ก็กลืนกินซากดวงดาวที่แตกสลายจนหมดแล้ว
หลินเฟยตกตะลึงจนตาค้างเลยทีเดียว เพราะรู้ดีว่าสัตว์ประหลาดเช่นนี้ หากคิดจะทำลายพิภพหลัวฝูละก็ ย่อมทำได้สบาย...
แต่ว่า...
เวลานี้เองก็มีลำแสงกระบี่สาดส่องลงมา ไม่รู้ว่าลำแสงนี้เดินทางมาไกลเพียงใด ทว่าพริบตาถัดมากลับแทงทะลุเ้าสัตว์ประหลาดั์ออกไป...
ทุกที่ที่ลำแสงพาดผ่านล้วนพังพินาศดับสูญไปหมด หลังจากลำแสงหมุนวน ซากสัตว์ประหลาดก็ถูกดูดกลืนเข้าไปพร้อมกับภาพนิมิตท้องฟ้าดำมืดที่กำลังทอดยาว และทุกสิ่งทุกอย่างก็หายวับไปในพริบตา ทั้งภาพนิมิตท้องฟ้าดำมืด ทั้งดวงดาว รวมถึงเ้าสัตว์ประหลาด...
“สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?...” หลังจากภาพตรงหน้าหายวับไป หลินเฟยก็ตกตะลึงเป็หนึ่งก้านธูปเต็มๆ กว่าเ้าตัวจะได้สติคืนกลับมา...
แม้ในชาติที่แล้วหลินเฟยจะไม่เคยบรรลุขั้นย่างชี่มาก่อน แต่ในฐานะศิษย์สายตรงของสำนักเวิ่นเจี้ยน แถมยังอยู่ที่หอกระบี่ถึงยี่สิบปี ไม่ว่าจะเป็สายตาหรือประสบการณ์ก็ล้วนหลักแหลมและกว้างขวางกว่าคนทั่วไปมาก ไม่เช่นนั้นในฐานะคนธรรมดาเช่นนี้ มีหรือที่จะสามารถลอบสังหารเ้าแห่งเหวทมิฬได้...
ทว่า...
ต่อให้มีสายตาหลักแหลมหรือรอบรู้เพียงใด เมื่อเห็นลำแสงนั่น กลับทำได้เพียงตกตะลึงเท่านั้น...
เพราะสิ่งนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน...
หลินเฟยรู้สึกได้ว่าต่อให้เป็อาจารย์ในชาติที่แล้ว ที่เกือบจะมีฉายาว่าเซียนกระบี่ หรือแม้แต่ยอดอัจฉริยะอย่างหลินปั้นหู ก็คงไม่อาจสะบั้นลำกระบี่เช่นนั้นออกมาได้
เพราะนี่คือหนึ่งกระบี่ที่ไปแฝงด้วยร้อยเคล็ดวิชาอย่างแท้จริง!
ถึงจะดูเหมือนลำแสงธรรมดาๆ แต่แท้จริงแล้วกลับแฝงไปด้วยเคล็ดวิชาลับมากมาย จึงสามารถสะบั้นทำลายภาพนิมิตดวงดาวที่ทอดยาวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้...
หลินเฟยตะลึงอยู่นาน ในที่สุดก็ยกยิ้มขึ้นมา บัดนี้เขาก็เข้าใจทุกอย่างเสียที...
“เป็เช่นนี้นี่เอง...”
ในที่สุดหลินเฟยก็เข้าใจทุกอย่าง...
‘นี่ต่างหากล่ะ ที่เป็ยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่...’
“ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าจะเรียนรู้ได้เท่าไหร่...” หลินเฟยถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถอดจิตเข้าไปในอักษรภาพนั้น ทันใดนั้นเองภาพลำแสงกระบี่ที่เจิดจ้าเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง พลังทุกอย่างที่แฝงอยู่ล้วนเกิดจากเคล็ดวิชามากมายที่แทรกซึมเข้ามา บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนอยู่ตรงหน้าหลินเฟยแล้ว...
กระทั่งหนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดหลินเฟยก็ลืมตาขึ้นมา ถึงแม้สีหน้าจะดูอิดโรยลงไป แต่สายตากลับยังจดจ้องอยู่ที่อักษรภาพนั้น เป็เวลานาน จึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง...
เพราะลำแสงกระบี่เมื่อครู่นี้ เต็มไปด้วยปริศนาแสนลึกลับ ต่อให้หลินเฟยมีสายตาหลักแหลมเพียงใดก็ตาม แต่เวลาหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมานี้เอง หลินเฟยกลับเรียนรู้ได้เพียงหนึ่งในหมื่นส่วนเท่านั้น...
จึงถือว่าเรียนรู้ได้แค่เศษเสี้ยวก็ว่าได้...
‘มิน่า…ยอดอัจฉริยะอย่างหลินปั้นหูยังอยากยลโฉมยอดเคล็ดวิชากระบี่นี้สักครั้ง’
เพราะลำแสงเมื่อครู่ เกิดจากอักษรภาพเพียงสิบสองตัวเท่านั้น...
ส่วนอักษรภาพที่สมบูรณ์กลับมีตัวอักษรมากถึงสามร้อยหกสิบห้าตัว...
‘หากรวบรวมครบละก็ จะร้ายกาจขนาดไหนกันนะ?’
ถึงแม้จะเรียนรู้ได้เพียงน้อยนิด แต่หลินเฟยก็กลับรู้สึกได้ว่าหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมาตนเองพัฒนาขึ้นมากราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็สายตาหรือความรู้ ล้วนเพิ่มพูนและหลักแหลมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก...
“ลำแสงกระบี่เมื่อครู่นี้นั้น ถึงแม้จะไม่เหมือนเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่เสียทีเดียว แต่ก็ร้ายกาจและมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเมื่อใด ข้าจะสำเร็จเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ได้ร้ายกาจเช่นนั้นบ้าง...”
หลังจากถอดถอนใจออกมา สีหน้าของหลินเฟยก็กลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆเก็บอักษรภาพเข้ากระเป๋าเฉียนคุนอย่างระมัดระวัง...
และค่ำคืนนั้นเอง หลินเฟยก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว
กระทั่งเช้าวันถัดมา หลินเฟยก็เตรียมออกเดินทางเพื่อมุ่งขึ้นเขาต่อ
ทว่าเมื่อมาถึงบริเวณเชิงเขา เขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่นออกมาจากยอดเขา...
“เกิดอะไรขึ้น?” ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงปริศนานั้นเอง หลินเฟยก็ใจกระตุกขึ้นทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ...
ขณะที่หลินเฟยเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าโลงศพหินที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือยอดเขากำลังเปิดออกช้าๆ!
“แย่แล้ว!”
สิ่งเดียวที่ปรากฏขึ้นมาในหัวตอนนี้ก็คือ...
‘บ้าเอ๊ย นี่มันฝีมือใครกัน?’
ทว่าเวลากลับไม่มีเวลาไปสืบสาวเอาเื่ว่าใครอีกแล้ว เพราะพริบตาถัดมาหลังจากฝาโลงเปิดออก ดวงตะวันที่ร้อนแรงกลางท้องฟ้าก็มีสภาพราวกับดาวตก พุ่งตัวลงมาทันทีพร้อมกับกระแสความร้อนแสนรุนแรง...
แม้จะยังไม่ตกลงมาเสียทีเดียว แต่หลินเฟยก็รู้สึกได้ว่าฟ้าดินกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง...
เพราะยิ่งดวงตะวันใกล้เข้ามาเท่าไร อุณหภูมิรอบด้านก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น ความร้อนที่รุนแรงนี้ก็แผดเผาจนห้วงมิติบิดเบี้ยวลง หากเงยหน้ามองจากที่สูงลงมาละก็ จะพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบิดเบี้ยวไม่เป็รูปร่าง...
ขณะเดียวกันต้นไม้ใบหญ้ารอบด้าน ก็พลันปลิดพลิ้วร่วงหล่น แต่ว่าใบไม้เ่าั้ยังไม่ทันจะร่วงลงสู่พื้น ก็ถูกความร้อนแผดเผาจนแห้งกรอบไปหมด จากนั้นทุกอย่างรอบด้านก็แห้งเหี่ยว ไร้ซึ่งชีวิตชีวาลงทันที
ไม่นานก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นบริเวณยอดเขา เพียงครู่เดียวเปลวไฟนั่น ก็ลุกลามไปหลายร้อยลี้ ลุกท่วมไปทั้งหุบเขาแล้ว...
“บ้าจริง...” หลินเฟยรีบปลดปล่อยปราณกระบี่อิ๋นเหวินออกมาคุ้มกายต่อต้านเปลวไฟที่ลุกโชนทันที แต่หยาดเหงื่อก็ยังไหลโซมกายไม่หยุด ส่วนใบหน้าก็พลันแดงก่ำเพราะถูกความร้อนแผดเผา
หลังจากนั้น หลินเฟยก็มองเห็นดวงตะวันกำลังพุ่งเข้าไปในโลงศพหินกระทั่งเกิดเสียงดังสนั่น...
ทันใดนั้นเองลำแสงสีแดงก็สาดส่องออกมา กระทั่งอาบท้องฟ้าให้กลายเป็สีโลหิตน่าสะพรึงกลัว ราวกับเป็ท้องฟ้าที่แดงฉานไปด้วยเปลวไฟ หรือบ้างก็ดูเหมือนถูกชุบด้วยสีโลหิต...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------