เสียงประทัดดังสนั่น
ผ้าไหมสีแดงห้อยระย้าลงมาจากป้ายจวนตระกูลหลัว
ตัวอักษรคำว่าจวนหลัวเปล่งสีทองอร่าม
ตัวอักษรสองคำนี้เขียนได้มีชีวิตชีวานัก ทั้งยังมีแววอันธพาลอยู่เล็กน้อย
หลัวอู๋เลี่ยงเพียงแรกเห็นก็รู้ว่านายท่านสามเป็คนเขียน
เขามีนามราวกับสตรีว่าหวังหรูอี้
ทว่าความทะเยอทะยานของเขาเพียงแค่มองตัวอักษรที่เขียนก็ย่อมััได้ทันที
ตัวอักษรที่เขาเขียนงดงามนัก ทั้งยังไม่ปิดบังความหิวกระหายแม้แต่น้อย
หลัวอู๋เลี่ยงมองตัวอักษรสองตัวบนป้ายแล้ว ก็บังเกิดความรู้สึกว้าวุ่นใจ
ยามเข้าเมืองมาแล้วนางถึงขั้นมีความคิดหนึ่งว่า นางควรกลับไปหาตระกูลหลัวหรือไม่ หากว่านางกลับไปหาตระกูลหลัวแล้วย่อมส่งผลดีต่อเฉินโย่วมากกว่าหรือไม่
ทว่าความคิดเช่นนั้น ในความเป็จริงนางก็พอจะรู้อยู่ว่าตระกูลหลัวได้ทอดทิ้งนางไปตั้งนานแล้ว สังคมนี้ช่างโหดร้ายกับสตรีนัก นางที่ผ่านเื่ราวเช่นนี้มา หากกลับไปยังตระกูลหลัว คงมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหลัวจบสิ้นเท่านั้น
ทว่าในใจนางก็อดจินตนาการถึงเื่นี้ไม่ได้
ถึงอย่างไรที่นั่นก็คือสถานที่ที่นางเติบโตมา
เพียงแต่ตรงหน้านางยามนี้ ‘จวนหลัว’ สองคำนี้ช่างกระแทกสายตานางนักจนความลังเลในใจพลันมลายสิ้น
นางไม่จำเป็ต้องกลับไปหาตระกูลหลัวอีกแล้ว ยามนี้นางได้สร้างจวนหลัวของตนเองแล้ว
นางไม่จำเป็ต้องพึ่งพาใครอีกแล้ว
นางคือหลัวอู๋เลี่ยง มิใช่หลัวชิงเฉิง หลัวชิงเฉิงได้ตายไปแล้ว
ร่างอรชรหยุดชะงักอยู่หน้าจวนครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปข้างใน
ทว่าความลับไม่มีในเมืองหลวงเชิน
เื่ที่จวนแห่งนี้ถูกขายไป เดิมทีก็ไม่ใช่ความลับอันใดอยู่แล้ว
แต่ป้ายชื่อจวนก็ถูกผ้าคลุมเอาไว้ตลอด จึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็เ้าของจวนแห่งนี้
ในที่สุดวันนี้ก็ถูกประกาศอย่างเป็ทางการแล้ว
ทว่ากลับไม่คาดคิดว่าจวนแห่งนี้จะเป็จวนตระกูลหลัว
เื่นี้ชักเริ่มสนุกเสียแล้ว
เพราะสุดถนนก็มีจวนตระกูลหลัวเช่นกัน
แคว้นเชินให้ความสำคัญกับเื้ัของวงศ์ตระกูลนัก ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจกระทำการใดโดยไม่มีที่มาที่ไปได้ เหล่าบัณฑิตที่จะเป็ขุนนางล้วนต้องระมัดระวังเื่ภูมิหลัง
ต่อให้เป็ญาติห่างๆ ก็ยังต้องระบุความสัมพันธ์ให้ชัดเจน กระทั่งต้องเดินทางไปเยี่ยมเยียนหรือต้องรับมาอยู่ด้วยกันเลยก็มี
ทว่าถนนเส้นนี้อยู่ดีๆ กลับมีจวนหลัวอีกแห่งโผล่มา เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเป็การตบหน้ากันอย่างโจ่งแจ้งหรืออย่างไร
มิรู้ว่าจวนหลัวแห่งนี้ และจวนหลัวแห่งนั้นมีความสัมพันธ์อันใดกัน
……
จวนแห่งนี้ใหญ่โตยิ่ง แม้จะไม่อาจขี่ม้าไปทั่วได้เหมือนยามอยู่บนทุ่งหญ้า ทว่าจวนแห่งนี้กลับประณีตกว่ากระท่อมไม้บนทุ่งหญ้ามากมายนัก
มีศาลา มีระเบียง มีสวนหน้าเรือน มีสวนหลังเรือน มีลำธารสายเล็กและสระน้ำ มีสวนดอกไม้และูเาจำลอง
มองไปทางใดก็มีแต่บรรยากาศสบายตา
แต่สิ่งที่เห็นจะดูโอ้อวดที่สุดคงจะเป็เตียง
นานท่านสามไม่เพียงแต่ซื้อที่นี่อย่างไม่เสียดายเงิน
เขายังซื้อเตียงขนาดมโหฬารอีกสองหลัง
หลังหนึ่งเป็ของอู๋เลี่ยง อีกหลังเป็ของเฉินโย่ว
เฉินโย่วเพียงกลิ้งไปกลิ้งมารู้สึกว่ามันก็พอใช้ได้ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเท่าใดนัก
ทว่าคนอื่นๆ กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
อาลู่ค่อนข้างจะใกับการใช้เงินของนายท่านสาม
จวนในเมืองหลวงเดิมทีก็เป็เช่นนี้
หลังคาหน้าต่างล้วนแต่มีลายสลักงดงาม
นายท่านสามพาทุกคนชมจวนอย่างเบิกบาน ท่าทางเช่นนี้หากว่าถูกคนนอกมาเห็นเข้า ย่อมต้องคิดว่าพวกเขาเป็คนบ้านนอกเข้าเมืองอย่างแน่นอน
ทว่ายามนี้ทุกคนล้วนมีแต่ความยินดี
เมื่อราชครูเห็นท่าทางดีใจของทุกคนก็พลอยรู้สึกดีใจไปด้วย เพราะเขาก็ได้ห้องส่วนตัวเป็ของตัวเองห้องหนึ่ง
มีเพียงแต่เ้าเด็กหน้าหนาและบ่าวชราเท่านั้น ที่ดูจะมีท่าทางแปลกๆ
ก็วังหลวงในแคว้นซีของพวกเขางดงามกว่าที่นี่มาก เรียกได้ว่างดงามกว่าที่นี่หลายเท่าเสียด้วยซ้ำ
เช่นนั้นเด็กชายร่างอวบอ้วนจึงไม่ได้มีท่าทีสนใจเท่าใด
ตลอดทางเด็กชายเอาแต่เกาะติดวีรบุรุษชุดขาวที่เขาเพิ่งกราบเป็อาจารย์ ยามนี้สนิทสนมจนเรียกพี่โย่วได้เต็มปากเต็มคำแล้ว
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเดินชมจวน เฉินโย่วเดินไปที่เรือนด้านหลัง เด็กชายก็ตามติดไปด้วยเช่นกัน
เด็กชายน่าจะอายุมากกว่าเฉินโย่วราวสองปี เพียงแต่ร่างมีแต่จะอวบอ้วนขยายออก ไม่มีสูงขึ้นจึงได้ดูเตี้ยกว่าเฉินโย่วราวคืบหนึ่ง
เขาจึงได้ดูมั่นอกมั่นใจที่จะเป็น้องชายของเฉินโย่วให้ได้
ทว่าขันทีชราไม่ได้รู้สึกสบายอกสบายใจเหมือนเด็กชาย
องค์ชายน้อยไม่ได้เื่สักเื่ มีแต่เื่หน้าหนาที่ไม่เป็รองใคร ครานี้ก็รั้นจะตามติดเข้ามาในบ้านคนอื่นเสียให้ได้
ชายชราแม้จะรู้สึกอับอาย
แต่เมื่อเป็เช่นนี้ถึงอย่างไรก็น่าเชื่อถือกว่าการที่ต้องไปอยู่ข้างนอกกันเพียงลำพัง เมื่อคิดถึงเื่ที่พวกเขาถูกหลอกแล้ว ชายชราก็ปวดใจเสียจนแทบหลั่งน้ำตา
แม้วรยุทธ์เขาจะสูงส่งเพียงใด แต่ก็แทบเอาชีวิตไม่รอดในเจียงหู
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ทำตัวเป็แป้งเปียกเกาะติด แสร้งว่าไม่อาจหยุดยั้งคุณชายน้อย ทำตัวหน้าหนาปักหลักอยู่ที่นี่
ทั้งเขายังเป็เพียงแค่บ่าวคนหนึ่ง จำเป็ต้องไปช่วยจัดการเื่ในเรือน ไม่อาจเล่นสนุกกับคุณชายน้อยได้
เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ทุกคนก็ล้วนแต่วุ่นวายอยู่กับการจัดการเื่ที่พัก
ราชครูก็วุ่นวายใจอยู่กับการปลงให้ตก ยามที่ใกล้จะถึงเมืองหลวง เหล่าโจรที่มาตามหาเขาเพื่อแผนที่ขุมทรัพย์ก็ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีก ทั้งเขายังได้ยินมาว่า ่นี้วังหลังมีเื่เกิดขึ้นมากมาย เช่นนี้ฮองเฮาคงจะไม่อาจมาวุ่นวายกับเขาได้
ทว่าคลาดสายตาเพียงครู่เดียว เฉินโย่วก็หายไปแล้วเช่นกัน
ทุกคนเมื่อเห็นนางหายไปก็คิดว่านางคงจะไปเล่นอยู่ที่เรือนด้านหลัง
นิสัยของเฉินโย่วก็ไม่อาจนั่งนิ่งนานๆ อยู่แล้ว นางยังรู้สึกว่านางคุ้นเคยกับกำแพงวังแห่งนั้นนัก บัดนี้จึงได้ตัดสินใจจะไปดูให้เห็นกับตาเสียหน่อย
ดังนั้นยามที่ทุกคนกำลังวุ่นวาย เฉินโย่วก็ลากเด็กชายร่างอวบอ้วนมุ่งไปทางวังหลวง
วังหลวงอยู่ไม่ไกล พวกเขาจึงไม่ได้ขี่ม้าไป
แสงแดดรำไร เสียงจอแจดังมาเป็ระยะ
เด็กหนุ่มร่างแบบบางในชุดขาว คิ้วงามดวงตาเป็ประกาย
ด้านข้างยังมีเด็กชายร่างอวบอ้วนในชุดขาว ร่างกลมอวบอิ่ม ตาเล็กคิ้วเรียว
เด็กชายทั้งสองยืนมองกำแพงสุดของวังหลวง
เพราะถนนเส้นนี้ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเล่นเท่าใดนัก คนที่อยู่บริเวณนี้ก็ล้วนรู้กันว่าที่นี่มีทหารยามคอยลาดตระเวนตรวจตราอยู่ไม่ขาด
ทว่าเด็กชายทั้งสองยังดูเด็กนัก อาภรณ์บนร่างก็ประณีต เหล่าทหารยามเมื่อเห็นแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าคงจะเป็บุตรชายของท่านอ๋องสักคน
ดังนั้นเด็กทั้งสองจึงได้เดินมาจนถึงตีนกำแพงได้
เสี่ยวซีอยู่ในวังหลวงแคว้นซีมาั้แ่เล็กจึงได้คุ้นชินเสียแล้ว เมื่อเห็นกำแพงวังก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เฉินโย่วเงยหน้ามองหลังคากระเบื้องหลากสีที่สะท้อนแสงอยู่ จากนั้นจึงหันหน้าไปถามเด็กชายข้างกาย “เสี่ยวซี เ้าว่าด้านในมีอะไรกัน ข้าลองปีนขึ้นไปดูได้หรือไม่”
เด็กชายพยักหน้าแรงๆ เขาเคยอยู่ในวังหลวงมาก่อน วันๆ ก็เอาแต่มองกำแพง คิดแต่ว่าจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร เื่การปีนกำแพงเขาจึงนับว่ามีประสบการณ์อยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเขาอ้วนเกินไป จึงไม่อาจทำฝันให้เป็จริงได้ ทว่าพี่โย่วคล่องแคล่วถึงเพียงนี้ ย่อมต้องทำได้แน่นอน
“ท่านสามารถใช้เชือกคล้องกับ้าแล้วปีนขึ้นไปได้”
เฉินโย่วเองก็คิดว่านางทำได้เช่นกัน
นางสงสัยว่าหลังกำแพงวังหลวงจะเป็เช่นไร รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังเรียกร้องหานาง
มือคู่น้อยจึงปลดแส้ที่ผูกเอวลง แส้ของนางก็คือเชือกเส้นที่ท่านอาจารย์มอบให้ เชือกนี้ช่างใช้งานได้ดีนัก สามารถยืดได้ยาวเหลือเกิน
นางเริ่มผูกเงื่อนไว้ด้านหนึ่งของเชือก จากนั้นก็เหวี่ยงเงื่อนขึ้นไปบนหลังคา
เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงกระทบดังขึ้น เงื่อนน่าจะคล้องกับบางสิ่งด้านในได้แล้ว
เฉินโย่วลองกระชากเชือกอีกสองสามครั้งว่ามันแข็งแรงดีหรือยัง
จากนั้นก็รวบชายชุดให้เรียบร้อย แล้วหันมากล่าวกับเด็กชาย “เ้าคอยดูต้นทางให้ข้าด้วย ข้าขอปีนขึ้นไปดูหน่อยว่าด้านในมีอะไร!”
“พี่โย่ว ท่านไปเถิด หากมีคนมาเดี๋ยวข้าจะะโเรียกท่าน ท่านเองว่องไวถึงเพียงนี้ วางใจเถิด” เด็กชายตบอกตนเองแรงๆ เป็การรับประกัน
เฉินโย่วพยักหน้าแล้วจึงจับเชือกค่อยๆ ไต่ขึ้นไป้า
ใบหน้าอวบอ้วนของเด็กชายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น บนหน้าผากก็ยังมีเหงื่อไหลย้อย คิดในใจว่าหากตนเป็ได้เหมือนพี่โย่ว ในอนาคตเมื่อกลับไปแล้วย่อมสามารถไปช่วยท่านพ่อท่านแม่ให้ออกมาได้
ยามนี้เฉินโย่วก็ไม่ได้ดูสุขุมเยือกเย็นเท่าใดนัก ใจนางเต้นระรัวจนได้ยินเสียงตึกตักๆ ราวกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอกอย่างไรอย่างนั้น!
