เดิมทีคังอิงมักกินอาหารรสจืดเป็ประจำ เพราะเธอให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ แต่สือเจียงหย่วนเป็ผู้ชาย เขาจึงออกแรงทำงาน และมีกำลังวังชาอยู่เสมอ ดังนั้นคังอิงเลยทำอาหารรสเค็มตามความชอบของสือเจียงหย่วน เพราะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คือแขก เธอย่อมให้ความสำคัญกับรสชาติที่แขกชอบเป็หลัก
หลังจากที่คังอิงยกอาหารทั้งหมดมาวางบนโต๊ะเรียบร้อย เธอก็ออกไปที่ลานบ้านเพื่อเรียกสือเจียงหย่วนให้มากินอาหาร
สือเจียงหย่วนที่ยืนอยู่ข้างรถจักรยานลุกขึ้น พอเห็นคังอิงเขาก็ยิ้มแล้วบอกเธอ
“ผมซ่อมรถจักรยานให้เรียบร้อยแล้ว โซ่จักรยานที่หย่อนผมขันให้แน่นแล้ว มีน็อตตัวหนึ่ง หมุนมันเข้าไปข้างในก็ปรับความยาวของโซ่จักรยานได้ เดี๋ยวลองปั่นดูนะ ถ้าแน่นเกินไป เดี๋ยวผมจะคลายออกให้ ส่วนข้อต่อจุดอื่นๆ ผมก็หยอดน้ำมันหล่อลื่นให้เรียบร้อย”
คังอิงได้ยินก็ดีใจมาก รีบขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นวนไปรอบๆ ลานบ้าน หลังจากสือเจียงหย่วนซ่อมให้แล้วจักรยานก็ดีขึ้นมากจริงๆ ภายใต้การหล่อลื่นของน้ำมัน อุปกรณ์แต่ละชิ้นก็ไม่เสียดสีกันจนเกิดเสียงดัง ‘เอี๊ยดๆ’ อีกต่อไป ความรู้สึกไร้แรงส่งหลังปั่นตอนโซ่จักรยานหลวมก็หายไปเช่นกัน ตอนนี้พอเธอถีบจักรยานทีหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงแรงส่งอันมั่นคง
คังอิงกล่าวอย่างพึงพอใจ “ดีจังค่ะ ปั่นรอบนี้เหมือนได้ปั่นคันใหม่เลย! ฉันดูไม่ออกจริงๆ ว่าคุณมีความสามารถในการลงมือทำอะไรด้วยตัวเองเก่งขนาดนี้”
สือเจียงหย่วนได้รับคำชมก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ คังอิงบอกว่า
“ล้างมือก่อนแล้วมากินข้าวกันเร็วเข้า เดี๋ยวมันเย็นแล้วจะไม่อร่อย จริงสิ วันนี้แผลของคุณเป็อย่างไรบ้าง? คงต้องไปเปลี่ยนยาแล้วสินะ?”
สือเจียงหย่วนได้ยินแบบนั้นก็ทำสีหน้าราวกับ้าความเห็นใจ แล้วบอกว่า
“ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวานนะ ไม่ค่อยเจ็บแล้ว แต่ว่าถนนเหรินหมิน เลขที่ 25 ที่คุณบอก ผมไม่ค่อยคุ้นเคยแถวนั้นเท่าไหร่ อีกเดี๋ยวคุณไปเปลี่ยนยากับผมได้ไหม?”
คังอิงผงะ แล้วเอ่ยถาม “ทำไมล่ะ? คุณเป็คนอำเภอหลี่ว์ ทำไมถึงไม่คุ้นกับถนนเหรินหมิน?”
ว่าไปแล้วหลังจากที่ิญญาของเธอย้ายข้ามเวลามา เธอก็ได้รับความทรงจำทั้งหมดของเ้าของร่างเดิม เธอยังรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่ต่างๆ ในอำเภอหลี่ว์มาก สือเจียงหย่วนเป็คนที่นี่ ทำไมเขาถึงไม่รู้จักถนนสายหลักอย่างถนนเหรินหมินล่ะ?
สือเจียงหย่วนทำสีหน้าเศร้าสร้อย “ผมไม่ได้เป็คนแถวนี้หรอก ผมมีป้าอยู่ที่นี่ เลยผ่านมาทางนี้พอดี”
คังอิงได้ยินก็พลันเข้าใจ เป็แบบนี้เอง ถึงว่าทำไมเสื้อผ้าและบุคลิกของเขาไม่ค่อยเข้ากับอำเภอหลี่ว์ ดูแล้วไม่เหมือนคนหนุ่มที่เติบโตมาจากอำเภอเล็กๆ แบบนี้เลย
ทว่าเมื่อเธอได้ยินว่าสือเจียงหย่วนแค่ผ่านมาทางนี้ ในใจก็พลันรู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
ที่แท้สือเจียงหย่วนก็ต้องไปจากที่นี่อยู่ดี อาจเป็เพราะสองวันนี้เขาช่วยเหลือเธอไว้มากมาย ทำให้เธอชินกับการที่อีกฝ่ายโผล่มาในชีวิตประจำวันของเธอ
ความรู้สึกที่ต้องพึ่งพาคนอื่นช่างเป็สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ เธอเคยบอกว่าไม่อยากพึ่งพาผู้ชายคนไหน แต่ทำไมสือเจียงหย่วนถึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกได้ขนาดนี้?
คังอิงรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา เธอย้ำเตือนตนเองว่าอย่าอ่อนแอเกินไป ก่อนหันไปพูดกับสือเจียงหย่วน
“ที่แท้คุณก็ไม่ใช่คนอำเภอหลี่ว์จริงๆ นี่เอง ฉันก็รู้สึกว่าบุคลิกของคุณไม่ค่อยเหมือนคนที่นี่เท่าไหร่ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ให้ภรรยาไปด้วยสิ ถ้าไม่ได้จริงๆ หลังจากกินข้าวเสร็จฉันค่อยไปเปลี่ยนยากับคุณก็แล้วกัน”
สือเจียงหย่วนได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มบอกว่า “โธ่ ผมจะมีภรรยาได้ยังไง? ผมไม่มีแม้แต่แฟนด้วยซ้ำ! ผมไม่เหมือนคนอำเภอหลี่ว์ตรงไหนกัน คนที่เจอผมข้างนอกต่างก็บอกว่าผมเป็คนอำเภอหลี่ว์ขนานแท้ ไม่ว่าจะสำเนียงพูดหรือบุคลิก”
“พวกเขาแค่ล้อคุณเล่นเท่านั้นแหละค่ะ คนที่พูดแบบนั้นก็คงเป็คนที่รู้จักคุณไม่ใช่หรือไง? ยกตัวอย่างเช่น สมมติคุณไม่ได้หน้าตาเหมือนปู่เลยสักนิด แต่คนอื่นเอาแต่พูดว่าคุณหน้าตาเหมือนปู่แน่ๆ ยังไงคุณกับคุณปู่ก็คงจะรู้สึกดีใจทั้งคู่อยู่แล้ว”
คังอิงคิดไม่ถึงว่าสือเจียงหย่วนไม่เพียงแต่ยังไม่แต่งงานเท่านั้น แต่เขายังไม่มีแฟนด้วย ในใจของเธอพลันรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หากสือเจียงหย่วนมีแฟนหรือแต่งงานแล้ว การที่เธอไปมาหาสู่กับเขาบ่อยๆ แบบนี้ ก็คงต้องรักษาระยะห่างบ้าง
สือเจียงหย่วนได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มอีกครั้ง “คุยกับคุณแล้วรู้สึกน่าสนใจดีนะ จริงสิ ผมไม่ได้หน้าตาเหมือนคุณปู่จริงๆ นั่นแหละ ฮ่าๆ ผมหน้าตาเหมือนแม่ของผมมากกว่า”
ระหว่างมื้ออาหาร สือเจียงหย่วนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่าอาหารที่คังอิงทำเมื่อวานนั้นออกจะจืดไปหน่อย ไม่นึกว่าวันนี้อาหารที่คังอิงทำ กลับรสชาติถูกปากเขามาก ดูเหมือนว่าเธอจะใส่เกลือมากกว่าเมื่อวาน
สือเจียงหย่วนมองคังอิงที่กำลังกินอาหารอย่างเงียบๆ เห็นว่าเธอกินกับข้าวไม่มาก แต่กลับกินข้าวเยอะมาก ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ ว่าคังอิงรู้ว่าเขาชอบอาหารรสเค็ม เธอถึงได้ปรุงอาหารรสเค็มเพื่อเอาใจเขา
ส่วนตัวเธอเองน่าจะชอบรสอ่อนๆ มากกว่า ดังนั้นเธอเลยทำได้เพียงกินข้าวให้มากหน่อย แล้วกินกับข้าวน้อยๆ เท่านั้น
สือเจียงหย่วนบอกคังอิงว่า “คราวหน้าทำอาหารไม่ต้องใส่เกลือเยอะขนาดนี้ก็ได้ แม่ของผมเป็หมอ เธอมักจะคอยเตือนพวกเราว่าการกินอาหารรสเค็มมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ อนาคตจะทำให้เป็โรคหัวใจและหลอดเืได้ง่าย
แต่พออยู่ที่บ้านผมก็กินอาหารจืดมากๆ ไม่ได้ คุณปู่ที่บ้านไม่ยินยอม ท่านเอาแต่พูดว่ากินได้นับว่ามีบุญวาสนา ใน่ก่อนที่ประเทศประสบปัญหามากมาย พวกเขาอยากกินอะไรก็ไม่มีให้กิน ปู่บอกแม่ของผมว่าอย่าห้ามเขา สุดท้ายแม่ผมก็ได้แต่ยอมแพ้”
ตอนที่สือเจียงหย่วนพูดถึงเื่ครอบครัวตัวเอง เขามีท่าทีผ่อนคลายและติดตลก ซึ่งััได้โดยพลันว่า ครอบครัวของสือเจียงหย่วนต้องเป็ครอบครัวที่ทั้งอบอุ่นและกลมเกลียวกันอย่างแน่นอน
ไม่แปลกเลยที่ภายใต้บุคลิกดื้อรั้นของสือเจียงหย่วนยังคงมีความใจกว้างอยู่ ครอบครัวดั้งเดิมมีความสำคัญต่อการเติบโตของคนเรามาก เด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ก็จะเป็เหมือนกับสือเจียงหย่วนที่ดูร่าเริงสดใส
ส่วนครอบครัวของฟู่ซินหลาง เป็เพราะเขาขาดพ่อ แม่จึงเลี้ยงดูเขาด้วยความรักและผูกพันมากเกินไปจนทำให้เขามีบุคลิกบิดเบี้ยว
ฟู่ซินหลางมักจะทำตัวดีกับคนนอก พูดจาด้วยรอยยิ้มเสมอ แต่แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจของเขารู้สึกต่ำต้อย ขาดความมั่นใจ คิดแต่จะคำนวณผลประโยชน์ตลอดเวลา การที่เขาเป็เช่นนั้นก็ล้วนมาจากการที่ขาดความรักจากพ่อ และการเลี้ยงดูผิดๆ จากแม่
คังอิงรู้สึกว่าการพูดคุยกับสือเจียงหย่วนทำให้เธอผ่อนคลายสบายใจ เธอยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็ไรค่ะ ฉันกินให้น้อยลงหน่อย ก็ถือว่าเป็การลดน้ำหนักไปด้วย”
แน่นอนว่าคังอิงแค่พูดเล่นๆ ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ในโลกก่อน เธอเป็คนที่ควบคุมและลดน้ำหนักอย่างจริงจัง แต่เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญในร่างกายก็เริ่มถดถอย ต่อให้เธอกินอาหารเหมือนเดิม แต่ร่างกายก็ยังอ้วนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ คังอิงทำได้เพียงออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดเพื่อรักษารูปร่าง
ร่างกายนี้ทำงานหนักมาโดยตลอด จึงไม่มีไขมันส่วนเกิน ที่แขน เอว หน้าท้อง และขาของเธอกลับมีกล้ามเนื้อบางๆ ซึ่งทำให้รูปร่างดูเหมือนกับได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
อาจกล่าวได้ว่าหลังจากิญญาของเ้าของร่างเดิมจากไป คังอิงก็ได้รับมรดกดีๆ จากเ้าของร่างเดิมทั้งหมด แค่นี้เธอก็รู้สึกขอบคุณเ้าของร่างเดิมมากแล้ว
“คุณผอมขนาดนี้ ยังจะลดน้ำหนักอะไรอีก?” สือเจียงหย่วนทำท่าทางไม่พอใจพลางกล่าวว่า “ลูกพี่ลูกน้องของผมยังอ้วนกว่าคุณอีก อ้วนกว่าคุณอย่างน้อยๆ ก็สิบโลได้ แต่เธอก็ยังกินๆๆ อยู่ได้ทั้งวัน ไม่เห็นคิดจะลดน้ำหนักเลยสักนิด”
คังอิงได้ฟังก็พลันรู้สึกว่าตระกูลของสือเจียงหย่วนมีนิสัยร่าเริงกันทั้งบ้าน ผู้คนมักกล่าวว่า ใจกว้างร่างอ้วนพี [1] ลูกพี่ลูกน้องของสือเจียงหย่วนยังเด็กมาก แต่กลับอ้วนตุ้ยนุ้ยเช่นนั้น ก็คงเป็เพราะใช้ชีวิตอย่างสบายใจไร้กังวลสินะ?
“คุณไม่ใช่คนอำเภอหลี่ว์ แล้วคุณเป็คนที่ไหนคะ?” คังอิงถาม
“แม่ของผมเป็คนอำเภอหลี่ว์ พ่อของผมได้พบกับแม่ตอนเป็ยุวชนขึ้นเขาไปทำงานในชนบท [2] หลังพวกเขาแต่งงานกัน คุณปู่ของผมได้รับการกลับคำพิพากษา แม่ของผมเลยย้ายตามพ่อไปที่บ้านเกิดของเขา
บ้านของพวกเราอยู่ที่ปักกิ่ง แต่เพราะแม่ของผมเป็คนอำเภอหลี่ว์ ั้แ่เด็กผมก็เลยไปๆ มาๆ ระหว่างสองเมืองนี้ ผมนับว่าเป็คนอำเภอหลี่ว์ครึ่งหนึ่งเลยล่ะ”
สือเจียงหย่วนที่ไม่ได้ปกปิดอะไรพูดถึงภูมิหลังของตัวเอง
ส่วนเื่ชื่อเสียงของปู่เขานั้น ชายหนุ่มไม่ได้พูดถึง เพราะชื่อของปู่นั้นทรงพลังอย่างมาก หากเขาเอ่ยออกไป เกรงว่าคนอื่นจะกดดันมากเกินไป
อีกทั้งการพูดชื่อของคุณปู่ต่อหน้าคังอิง ทำให้สือเจียงหย่วนรู้สึกว่าตนเองกำลังอวดเบ่ง และเขาไม่ชอบการโอ้อวดแบบนี้มากที่สุด
เชิงอรรถ
[1] หมายถึงบุคคลที่มีจิตใจกว้างขวางและมีท่าทางสบายอกสบายใจ ต่อมาใช้แทนคนที่มีความสุขไร้กังวล
[2] หนึ่งในนโยบายผู้นำสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน คือการเกณฑ์แรงงานเยาวชนไปทำงานตามชนบท
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้