“ปีนี้ท่านเคยป่วยหนัก หลังจากป่วยแล้วก็ไม่ได้รักษาจนหายดี อีกทั้งยังต้องเดินทางไกล ทำให้าเ็ถึงแก่น ต่อให้รักษาตัวอย่างดีก็ฟื้นตัวได้ช้า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็เพราะท่านคิดมากเกินไป”
ลุงฝูอดกล่าวไม่ได้ว่า “หมอเทวดากล่าวได้ถูกต้องจริงๆ” เมื่อมองไปยังแขนอันซูบผอมของนายท่าน เขาก็รู้สึกเ็ปและสงสารจับใจ เหตุใด์จึงทำให้นายท่านต้องมาพบกับความเ็ปทรมานมากเพียงนี้ด้วย
เจียงชิงอวิ๋นหลุบตาลงแล้วกล่าวว่า “เ้ากล่าวถูกต้องทั้งหมด ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเ้าอาจเคยสืบข่าวข้ามาก่อน”
หลี่หรูอี้ส่ายหน้า “ท่านไม่ใช่คนในครอบครัวพวกเรา ข้าจะสืบเื่ท่านไปทำไมกันเ้าคะ”
แววตาของเจียงชิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความจริงใจ “ใช่แล้ว เ้าทำได้เพียงอาศัยการจับชีพจรและเ้าก็วินิจฉัยออกมาได้มากมายเพียงนี้ วิชาแพทย์ของเ้าสูงส่งจริงๆ”
“นายท่านเจียงชมน้องสาวข้าแล้ว”
“อาการป่วยที่หมอชาวบ้านในตำบลรักษาไม่หาย แต่น้องสาวข้ารักษาหาย วิชาแพทย์ของน้องสาวต้องยอดเยี่ยมแน่นอน”
“มิน่าเล่านายท่านเจียงจึงได้ผอมเพียงนี้ ที่แท้ปีนี้ก็เคยป่วยหนักนี่เอง”
คนครอบครัวหลี่ที่อยู่ข้างๆ พากันส่งเสียงสนทนาอย่างสนอกสนใจ
“พูดถึงอาการของท่านสักหน่อยดีกว่า” หลี่หรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “เื่ที่ผ่านไปแล้วก็เป็เพียงอดีต ท่านจะคิดเื่พวกนั้นทำไมกัน”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างหดหู่ “ลืมอดีต พูดง่ายแต่ทำยาก”
หลี่หรูอี้ไม่ทราบว่าเจียงชิงอวิ๋นพบเื่ร้ายแรงอันใดมา รู้เพียงว่าบนโลกใบนี้มีคนที่ไม่สมปรารถนายิ่งกว่าเขาอยู่มากมาย
ทันใดนั้นนางจึงกล่าวต่อไป “หลายปีก่อนหน้านี้ ผู้ที่อยู่ในหมู่บ้านหลี่ล้วนเป็คนตระกูลหวัง จนกระทั่งสิบกว่าปีก่อน ทางเหนือเกิดภัยโรคระบาด มีหลายสิบครอบครัวที่หนีภัยมาจากพื้นที่โรคระบาดและมาตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่ บิดามารดาข้าก็เป็ผู้ที่ลี้ภัยมาถึงที่นี่เช่นกัน คนในหมู่บ้านที่เป็บ้านเดิมของท่านพ่อและท่านอารองของข้าตายเพราะภัยโรคระบาดจนหมด ญาติของมารดาข้าก็เช่นเดียวกัน พวกเขาร่อนเร่พเนจรมาถึงที่นี่ สุดท้ายแม้กระทั่งทะเบียนบ้านก็ยังต้องจดใหม่”
ลุงฝูรู้สึกะเืใจ หันไปกล่าวกับหลี่ซานว่า “ที่แท้พวกเ้าก็เป็ผู้รอดชีวิตจากภัยโรคระบาดทางภาคเหนือนี่เอง”
หลี่หรูอี้เห็นดวงตาของเจียงชิงอวิ๋นเริ่มมีประกายแห่งชีวิต เห็นได้ชัดว่าเขายังรับฟังจึงกล่าวต่อไป “ตอนนั้นท่านอารองของข้าอายุเพียงห้าขวบ ท่านพ่อข้าอายุเท่ากับท่าน พวกเขาไม่มีเงินติดตัวเลย ส่วนท่านแม่ข้าพอมีเงินอยู่บ้าง เพียงแต่นางเป็สตรีอ่อนแอซึ่งอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ขณะนั้นพวกเขาสามคนนับว่าอยู่บนความสิ้นหวังแล้ว แต่ก็ยังมีชีวิตรอดมาได้ ท่านคิดว่าหากเทียบโชคชะตาของตนเองกับพวกเขาแล้วเป็อย่างไร”
บนใบหน้าของหลี่ซานประดับไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เขาปรายตามองจ้าวซื่อครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราสองสามีภรรยามีบุตรชายบุตรสาวแล้ว”
จ้าวซื่อกล่าวขึ้นบ้าง “นายท่านเจียง ชีวิตคนเราจะต้องมองไปข้างหน้า อนาคตจะต้องดีขึ้นแน่นอน”
“แสงอาทิตย์จะปรากฏหลังลมฝนเสมอ ข้าไม่รู้ว่าท่านผ่านลมฝนเช่นไรมา แต่ข้าขอให้ท่านคิดเพื่อตนเองและเพื่อคนที่ใส่ใจท่านบ้าง ลืมลมฝนแล้วเดินเข้าหาแสงอาทิตย์เถิด” เมื่อหลี่หรูอี้กล่าวจบก็เดินไปยังห้องหนังสือเพื่อเขียนตำราอาหารสองฉบับ จากนั้นจึงมอบให้เจียงชิงอวิ๋นและลุงโจว พร้อมทั้งกำชับรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากจะเขียนตำราอาหารให้เจียงชิงอวิ๋นแล้ว ยังบอกให้เขาเดินช้าๆ ทุกวัน วันละครึ่งชั่วยามขึ้นไปอีกด้วย สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้คงทำได้เพียงเดินช้าๆ เพื่อออกกำลังกาย
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว คนจวนเจียงจึงขอบคุณแล้วจากไป
หลี่ซาน หลี่สือ และหลี่เจี้ยนอันไปส่งคนจวนเจียงถึงปากทางหมู่บ้านแล้วกลับมา จ้าวซื่อเข้านอนแล้ว ส่วนหลี่หรูอี้ หลี่ฝูคัง หลี่อิงฮว๋า และหลี่ิ่หานรอพวกเขาอยู่
หลี่หรูอี้ถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าเจียงจวี่เหรินเป็อย่างไร”
หลี่เจี้ยนอันครุ่นคิด ในหมู่คนที่เขาเคยพบเจอ ผู้ที่สวมอาภรณ์ดีที่สุดและมีกิริยามารยาทดีที่สุดก็คือ เจียงชิงอวิ๋น จวี่เหรินผู้นี้ จึงตอบไปว่า “บุคลิกลักษณะสูงศักดิ์เป็คนมีวาสนา”
หลี่หรูอี้ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าหมายถึงนิสัยของเขา”
หลี่เจี้ยนอันลูบศีรษะตนเอง “ข้าไม่ได้คุยกับเขา ไม่รู้ว่าเขามีนิสัยอย่างไร”
หลี่ซานกล่าวด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “พวกเ้าอย่าได้วิพากษ์วิจารณ์นายท่านเจียงอีกเลย เขาเป็ถึงจวี่เหรินที่มีชื่อเสียงเชียว”
“พวกเราไม่ได้กล่าวว่าร้ายเขาสักหน่อย” หลี่หรูอี้ลากพี่ชายทั้งสี่ไปยังห้องข้างๆ แล้วกล่าวกระซิบว่า “เจียงจวี่เหริน ขี้สงสัยมาก ััเฉียบคม เงียบขรึม แต่พูดกันง่าย”
หลี่อิงฮว๋าย้อนถาม “เขาพูดง่ายหรือ” เขาไม่คิดจริงๆ ว่าชายหนุ่มที่ไม่ยิ้มเลยั้แ่มาถึงจนกลับจะเป็คนพูดด้วยง่าย
“ข้าขอหนังสือจากเขา เขาก็ตกลงโดยไม่พูดพร่ำอะไรสักคำ” หลี่หรูอี้กล่าวเสียงแ่ “เขาไม่สนใจหนังสือเช่นนี้ หรือว่าเขาจะไม่ชอบอ่านหนังสือ?”
หลี่เจี้ยนอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ นั่นเป็เพราะเ้าช่วยบ่าวเฒ่าที่เขาเห็นเป็ดั่งญาติต่างหาก”
หลี่หรูอี้หลุบตาลง “ไม่รู้ว่าเขามีความสามารถจริงหรือไม่”
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว”
“น้องสาว นายท่านเจียงเป็จวี่เหริน หากไม่มีความสามารถจะสอบเป็จวี่เหรินได้หรือ”
คราวนี้พี่ชายทั้งสี่ต่างพูดเพื่อเจียงชิงอวิ๋น
หลี่หรูอี้เงยหน้าขึ้นมองไปยังพี่ชายทั้งสี่แล้วกล่าวอย่างเนิบช้า “ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปสืบ หากเขามีความสามารถจริงๆ ข้าจะคิดหาวิธีให้พวกท่านคารวะเขาเป็อาจารย์ เช่นนี้ก็จะมั่นใจเื่สอบซิ่วไฉแล้ว”
“จริงหรือ”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง”
“พวกเราเพิ่งจะรู้จักตัวอักษรไม่กี่ตัว เจียงจวี่เหรินจะถูกใจพวกเราได้อย่างไร”
“น้องสาว มิน่าเล่าเ้าจึงเสนอว่าจะเขียนตำราอาหารและจับชีพจรให้เขาด้วยตนเอง ที่แท้เ้าก็ทำเพราะวางแผนให้พวกเราได้อาจารย์ดีๆ เช่นเขานี่เอง”
นี่เป็เื่ที่เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นหาใดเปรียบ สายตาที่มองไปทางหลี่หรูอี้เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
“แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า” ที่หลี่หรูอี้ขอหนังสือจากเจียงชิงอวิ๋นเมื่อครู่นี้เป็การทดสอบ ดูว่าเขาคุยด้วยง่ายหรือไม่
ทันใดนั้นหลี่อิงฮว๋าก็กล่าวอย่างหดหู่ว่า “น้องสาว เจียงจวี่เหรินยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์”
หลี่หรูอี้พูดยิ้มๆ “ในราชวงศ์นี้มีกฎหมายข้อใดระบุไว้บ้างว่า ห้ามเป็อาจารย์สั่งสอนศิษย์ในยามที่ไว้ทุกข์ การไว้ทุกข์กับการเป็อาจารย์มิได้กระทบกัน”
หลี่ฝูคังมองไปทางพี่ชายน้องชายทั้งสาม สุดท้ายก็มองมาที่น้องสาว แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจียงจวี่เหรินสุขภาพอ่อนแอเช่นนั้นจะมีสมาธิมาสั่งสอนพวกเราหรือ”
“ข้าเขียนตำราอาหารให้เขาแล้ว ทั้งยังแนะนำให้เขาเดินออกกำลังช้าๆ อีกด้วย ขอเพียงเขาทำตามที่ข้าพูด สุขภาพของเขาจะค่อยๆ ฟื้นตัว” เมื่อหลี่หรูอี้เห็นพี่ชายทั้งสี่มีใบหน้ายับย่นก็นึกในใจว่า พวกท่านช่างจิตใจดีจริงๆ ยังไม่ทันเป็ลูกศิษย์ของเจียงจวี่เหรินก็เริ่มเป็ห่วงสุขภาพของเขาแล้ว
เด็กชายทั้งสี่รอจนกระทั่งหลี่หรูอี้เดินออกไปค่อยพากันแสดงสีหน้ายินดีออกมา รีบถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงเตา
“ความสามารถของเจียงจวี่เหรินเป็ได้กระทั่งอาจารย์ของพวกเราเลย”
“คุณธรรมและความสามารถของพวกเราอยู่ระดับใด หากคารวะเจียงจวี่เหรินเป็อาจารย์ได้ เื่การร่วมสอบ เคอจวี่คงง่ายขึ้น”
“น้องสาวคิดวางแผนเพื่อพวกเราเช่นนี้ ทั้งยังทำงานในบ้านของท่านพ่อท่านแม่และท่านอารองด้วย ให้พวกเราตั้งใจเรียนอย่างเดียว พวกเราจะต้องขยันให้มาก”
“ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป แม้ข้าจะอยู่บ้านก็จะทำเหมือนอยู่สำนักศึกษา จะอ่านหนังสือทุกวัน วันหนึ่งไม่ต่ำกว่าสี่ชั่วยาม”
กลางดึก เด็กชายทั้งสี่ไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย ยังคงพูดคุยกันถึงอนาคตอย่างขยันขันแข็ง
สองพ่อลูกสกุลอู่ที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็กำลังนอนคุยกันอยู่บนเตียงเตา
“ผู้ติดตามของเจียงจวี่เหรินสวมใส่อาภรณ์ดีกว่านายท่านของพวกเราเสียอีก”
“บนข้อมือของคนที่ชื่อนางหลิวสวมกำไลหยกด้วย ข้าดูแล้วเป็กำไลหยกน้ำงามยิ่งกว่าที่อนุภรรยาของท่านอาจารย์สวมเสียอีก”
“คุณหนูของพวกเราไม่ใช่คนธรรมดา”
“คุณหนูมีวิชาแพทย์สูงส่ง สามารถอาศัยการรักษาผู้ป่วยไปรู้จักกับขุนนางและผู้สูงศักดิ์ได้”
“หากเ้านายได้ดี พวกเราก็จะได้ดีตามไปด้วย หากคุณชายทั้งสี่สอบได้ซิ่วไฉ จวี่เหริน จิ้นซื่อ พวกเราก็จะได้สวมชุดดีๆ มีหน้ามีตาเช่นเดียวกับผู้ติดตามข้างกายเจียงจวี่เหรินวันนี้”
คืนนี้ทั้งเ้านายและบ่าวไพร่ของบ้านหลี่ต่างหลับไม่สนิท
คนจวนเจียงฝ่าความมืดกลับจากหมู่บ้านหลี่มายังจวนเจียง เจียงชิงอวิ๋นสุขภาพไม่ดีทั้งยังต้องทนความยากลำบากมาทั้งวัน ยามนี้แม้จะนั่งอยู่บนรถม้าที่ทั้งโคลงเคลงและหนาวเย็นก็ยังง่วงจนหลับไป
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้