ยามได้ยินเสียงที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้น เขาก็พอจะจำได้ว่านั่นคือเสียงพี่สะใภ้ของจางเฉาิ หลังจากเื่นั้นเขาก็ได้ยินมาว่าซูฉีเฉียวสลบไม่ยอมฟื้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ยินข่าวดี ซึ่งเขาได้ยินมาว่าวันนี้นางไปตลาด เขาก็มารออยู่ที่นี่ั้แ่เช้า ตั้งใจอยากจะพูดคุยกับนาง และอยากใช้โอกาสนี้กอบโกยผลประโยชน์ น่าเสียดายที่ซูฉีเฉียวกลับสกัดขาเขาจนหน้าทิ่ม
ยิ่งคิดชิวสุ่ยก็ยิ่งไม่พอใจ แต่เื่เช่นนี้เขาก็ไม่ควรที่จะเอะอะโวยวาย
เมื่อกลับถึงเรือนของมารดาผู้ขึ้นชื่อเื่ความดุร้าย นางจ้องมาที่เขาเขม็ง “ไปหานางเด็กนั่นมาอีกแล้วหรือ ลูกแม่ ไม่ใช่ว่าแม่อยากจะต่อว่าเ้า แต่สตรีน่ะหายากนักหรือ เหตุใดจึง้าแต่นางเด็กซูฉีเฉียว ข้าจะจัดการเื่นี้ให้เ้าวันนี้แหละ ป้าหมาที่อยู่หมู่บ้านก่อน แม้ว่าหน้าตาของนางอาจจะไม่ได้ดีเท่าซูฉีเฉียว แต่นางเป็คนมีความสามารถ และยังมีสินสอดที่ดีมากอีกด้วย สินสอดนี้ก็มาได้ถูกเวลาเลยเชียว เ้าไม่สามารถออกไปหางานทำได้ ก็ให้นางช่วยเหลือบ้านของพวกเราเถิด แม่เองก็แก่แล้ว ขอแค่ได้อุ้มหลานก็พอ หากลูกยังคิดถึงเด็กคนนั้นอยู่ ก็อย่ามาโกรธเคืองแม่หากแม่จะไม่ไว้หน้าเ้า เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไล่เ้าไปเสียและให้ใช้ชีวิตอยู่ผู้เดียว”
เพียงได้ยินผู้เป็มารดาเอ่ยเช่นนั้น ชิวสุ่ยก็เริ่มร้อนใจ
เขาใช้ชีวิตกินอิ่มและเกียจคร้านมาตลอด หลังจากที่บิดาเสียชีวิต เขาก็ได้แต่ใช้ชีวิตโดยการพึ่งมารดา เมื่อได้ยินว่านางจะให้ตนเองแยกไปใช้ชีวิตเพียงลำพัง เขา…จะใช้ชีวิตคนเดียวได้อย่างไรกัน หลังจากนั้นเขาจึงแสดงความเห็นออกไปทันที “ท่านแม่ ข้าเชื่อฟังท่าน แต่ว่าข้ากับเสี่ยวฉีมีความรู้สึกต่อกันจริงๆ นะ”
เมื่อนางสวีได้ยินก็ถลึงตาทันที “มีความรู้สึกต่อกันทำให้กินอิ่มได้หรือ ข้าจะบอกอะไรเ้านะ เหลือเวลาอีกแค่สิบกว่าวันก็จะหมด่ไว้ทุกข์แล้ว เ้าเก็บความรู้สึกนั้นไว้เสีย หลังจบ่ไว้ทุกข์เ้าจะต้องไปนัดพบนาง ครั้งนี้ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะหน้าตาอย่างไรเ้าก็ต้องตอบตกลง”
ชิวสุ่ยคุ้นเคยกับการพึ่งพานางสวี ยามนี้เขาจึงเชื่อฟังคำสั่งของนางอย่างแข็งขัน เขาทำได้เพียงแค่เก็บความรู้สึกที่มีต่อซูฉีเฉียวเอาไว้ในใจ
แม้ว่าจะไม่พอใจ แต่ตัวเขาในเวลานี้ก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างไร้หนทาง
เมื่อนางสวีจัดการกับบุตรชายได้แล้วก็รู้สึกโล่งใจ จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษตาเฒ่าที่ดันเสียชีวิตไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่อย่างนั้นตอนนี้บุตรชายคนนี้ก็คงจะสู่ขอภรรยาได้แล้ว
อันที่จริงก่อนหน้านี้นางเองก็ชื่นชอบซูฉีเฉียว น่าเสียดายที่เมื่อสามีเสียชีวิต บุตรสาวตระกูลเฉินก็ต้องแต่งงาน ยามนั้นตระกูลเฉินก็คัดค้านชิวสุ่ย การแต่งงานครั้งนั้นจึงถูกขัดขวาง ซูฉีเฉียวในตอนนี้ก็ออกเรือนไปแล้ว บุตรชายก็หมด่ไว้ทุกข์แล้ว นางจะปล่อยให้บุตรชายไปยุ่งกับหญิงสาวคนนั้นอีกไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็คนที่เคยออกเรือนไปกับคนอื่นแล้ว ต่อให้หน้าตาสะสวยมีคุณธรรม แต่นางก็จะเป็คนที่แต่งงานมาแล้ว
แม้ว่าตระกูลชิวของนางจะยากจน แต่ก็ไม่้าหญิงที่ผ่านการแต่งงานแล้ว
เพราะความคิดนี้ นางสวีจึงรีบไปสู่ขอหญิงสาวให้กับชิวสุ่ย
ระหว่างที่ซูฉีเฉียวเดินทางกลับมาบ้าน นางก็มองเห็นต้านิวที่กำลังยืนชะเง้อมองนางจากไกลๆ เมื่อเห็นว่านางแบกของกลับมาก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมเอ่ยร้องเรียกท่านแม่เสียงหวาน
ใบหน้าเล็กนั้นเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ดวงตากลมโตคู่นั้นแฝงไปด้วยความคาดหวัง ทำเอาซูฉีเฉียวที่มองไปถึงกับหัวใจอ่อนยวบ
นางยื่นมือไปยีศีรษะของต้านิวและหยิบถุงน้ำตาลก้อนถุงเล็กออกมาจากในอ้อมแขน
“ดียิ่งนัก ข้ามีน้ำตาลก้อนแล้ว” เมื่อได้เห็นน้ำตาลก้อน ต้านิวก็ตื่นเต้นจนใบหน้าแดงระเรื่อ
“ท่านแม่ กินสิเ้าคะ” ซูฉีเฉียวรู้สึกปลื้มใจเมื่อเห็นต้านิวแกะถุงน้ำตาลก้อนและนำมันใส่เข้าปาก
เมื่อมารดามีของอร่อยๆ มาให้ ก็้าป้อนให้นางก่อน ดังนั้นเมื่อต้านิวมีของอร่อยๆ ก็อยากให้มารดาของตนได้กินก่อนเช่นกัน
ดมกลิ่นหอมหวน ซูฉีเฉียวก็ส่ายหน้า “ต้านิวกินเถิด แม่เป็ผู้ใหญ่แล้ว ไม่ชอบกินน้ำตาลก้อน”
ต้านิวมองนางด้วยความตั้งใจ เมื่อรับรู้ได้ว่าสิ่งที่นางเอ่ยออกมานั้นเป็ความจริง จึงได้เลียน้ำตาลก้อนนั้น
ท่าทีระมัดระวังนั้นทำให้ซูฉีเฉียวที่มองอยู่รู้สึกเคืองที่จมูก ความยากจนนี่…
ค่ำคืนนั้นครอบครัวของนางก็ได้กินของอร่อย
เครื่องในหมูเ่าั้ถูกซูฉีเฉียวนำมาล้างจนสะอาด ไส้หมูก็ใช้มันแกวที่ขุดมาได้จากบนเขานำมาย่างก่อนจะทำเป็ไส้ผัดน้ำแดง
ตับหมูนำมาผัดรวมกับผักป่า ที่เหลืออยู่ก็มีปอดและตับบางส่วนที่นำมาตุ๋นกิน
เพราะฐานะมีข้อจำกัด หากมีเครื่องเทศก็คงทำอาหารอย่างอื่นได้ ซูฉีเฉียวอยากนำตับหมูมาทำตับคลุกยิ่งนัก
ไส้หมูผัดน้ำแดงที่เติมพริกลงไป รสชาติเผ็ดหน่อยๆ แต่กลับส่งกลิ่นหอมหวนจนน้ำลายสอ
แมวตะกละอย่างต้านิวได้กินก็เผ็ดจนน้ำตาไหล แต่เมื่อได้ซดน้ำแกงเข้าไปก็รีบคีบไส้กินต่อ
ท่าทีเช่นนั้นทำให้ซูฉีเฉียวและจางเฉาิที่มองอยู่ต่างก็หยุดหัวเราะไม่ได้ ทว่าหลังจากที่หัวเราะกันอย่างมีความสุขแล้ว ก็มีเื่ให้ปวดใจมากมาย
วันนี้จางเฉาิมีความสุขจนกินข้าวไปถึงสองถ้วยใหญ่ๆ
อันที่จริงเขาก็อยากที่จะประหยัดเื่อาหารการกิน แต่เขากลับถูกซูฉีเฉียวจ้องเขม็ง “ไม่กินหรือ ไม่กินแล้วเมื่อไรร่างกายของเ้าจะหายดี กินเสีย กินเยอะๆ พวกเราแม่ลูกยังรอให้เ้ามาเลี้ยงดูอยู่นะ”
นางเอ่ยคำพูดเ่าั้พร้อมจ้องมองเขา รูปร่างที่สูงใหญ่อยู่แล้วนั่งตัวตรง ยิ่งอยู่ท่ามกลางแสงสลัวก็ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้น จางเฉาิหัวเราะเสียงแ่ด้วยท่าทีอันโง่เขลา และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขากินข้าวไปถึงสองถ้วยใหญ่ อีกทั้งยังส่งไส้หมูจานใหญ่ลงกระเพาะไปอีก
“นี่ภรรยา เมื่อก่อนข้าก็เคยกินไส้หมูที่ผู้อื่นทำ แต่ไม่มีใครทำได้อร่อยเท่าที่เ้าทำเลย ตอนนั้นที่ข้ากินก็รู้สึกถึงกลิ่นคาวด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะทำได้อร่อยขนาดนี้ นอกจากจะไม่มีกลิ่นคาวแล้วก็มีความเผ็ดจนอยากที่จะกินคำที่สองเข้าปากเร็วๆ อร่อยกว่าในร้านอาหารเสียอีก”
“เ้าเคยไปร้านอาหารหรือ” ซูฉีเฉียวรู้สึกประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าสามีผู้จริงใจของนางจะเคยไปร้านอาหาร ซึ่งเป็สถานที่ระดับสูงเช่นนั้นด้วย จุ๊ๆ…จริงๆ เลยเชียว…ช่างเป็เื่ที่คาดไม่ถึงจริงๆ
“แหะๆ เื่นั้น ข้าเคยไปครั้งหนึ่งตอนที่ข้าออกไปล่าสัตว์ มีชายหญิงที่ไปมาหาสู่กันต้องไปเข้าร่วมกับกองทัพ ข้าจึงร่วมลงเงินเพื่อเลี้ยงอาหารเขาที่ร้านอาหารมื้อหนึ่ง ร้านแห่งนั้นแพงมาก สั่งอาหารแค่สองสามอย่างต้องจ่ายเงินไปถึงห้าร้อยเชียว เงินครึ่งตำลึงเงินเชียวนะ ข้าเก็บมาตั้งนาน…”
ซูฉีเฉียวหลุดขำออกมา “เหล่าร้านอาหารก็ต้องทำเงินอยู่แล้ว ภาพลักษณ์ของร้าน ไหนจะผู้ที่ร่วมกิจการอีกเล่า ราคาเครื่องปรุงต่างๆ มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน แต่เ้าคิดว่าฝีมือของข้าดีกว่าร้านอาหารจริงๆ หรือ”
เมื่อถูกแววตาเป็ประกายของนางจับจ้องมา จางเฉาิก็ไม่กล้าสบตานาง แต่ก็พยักหน้าเพื่อยืนยัน “อืม อร่อยจริงๆ ข้าคิดว่านี่คืออาหารที่เลิศรสที่สุดในใต้หล้านี้ ภรรยา เ้าไม่เคยทำอาหาร ไม่คิดเลยว่ายามเ้าทำอาหารจะอร่อยเช่นนี้”
ซูฉีเฉียวดีใจ ยามที่ล้างจานและคว่ำเอาไว้ให้สะเด็ดน้ำ ในใจของนางก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงมาตรฐานของร้านอาหารที่นี่ หากมีฐานะที่ดีขึ้นไม่แน่นางอาจจะเปิดร้านอาหารก็เป็ได้
เมื่อจัดการเื่อาหารไปแล้ว ซูฉีเฉียวก็คิดถึงเื่การปลูกผักตามฤดูกาล
ยามนี้เป็่ต้นฤดูหนาว ฤดูนี้ทำให้ผักหลายๆ ชนิดไม่ค่อยมีแล้ว นั่นเป็เพราะอุณหภูมิที่ต่ำเกินไป
ในยุคปัจจุบันมีเรือนกระจกสำหรับทำการปลูกผัก แต่วัสดุแผ่นฟิล์มบางๆ เช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำออกมาได้ง่ายๆ หรือหากว่าใช้ของที่เป็วัสดุจำพวกพรมมาใช้คลุมเอาไว้ เงินที่จะใช้ซื้อก็คงไม่เพียงพอ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถปลูกผักในเรือนกระจกได้
ทำเรือนกระจกไม่ได้ แต่ความคิดในการปลูกผักนั้นยังสามารถทำได้ เช่น การปลูกผักนอกฤดูในห้องเพาะเลี้ยง
เพียงแต่ว่าควรจะปลูกอะไรจึงจะคุ้มค่า
ซูฉีเฉียวครุ่นคิดอย่างหนักอยู่นาน แล้วนางก็นึกถึงต้นอ่อนถั่วลันเตาที่มักเห็นในร้านหม้อไฟจากชาติก่อน
ยุคนี้ก็มีต้นอ่อนถั่วลันเตาเช่นกัน ทว่าต้นอ่อนถั่วลันเตานั้นแม้แต่ในยุคปัจจุบันก็เป็ผักที่ในร้านใหญ่ๆ จำเป็ต้องใช้
ต้นอ่อนถั่วลันเตาสีเขียวที่ถูกวางอยู่บนจานอาหาร ผนวกกับบรรยากาศหรูหราในร้านอาหาร ผักเ่าั้คือผักที่ผู้คนต่างชอบรับประทาน
ไม่รู้ว่าที่นี่มีหม้อไฟหรือไม่ หากไม่มี หลังจากขายต้นอ่อนถั่วลันเตาแล้วนางยังสามารถพิจารณาเื่การทำกิจการหม้อไฟได้
เมื่อไตร่ตรองดีแล้ว ซูฉีเฉียวก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้นางจะไปซื้อถั่วราคาถูกมาสักถ้วย
ตอนที่เดินอยู่ในตลาด นางได้เอ่ยถามราคาถั่วแล้ว พวกถั่วเหลืองที่นำมาใช้ทำเต้าหู้จะมีราคาสูงหน่อย
แต่ถั่วสำหรับปลูกถั่วงอก ราคาก็จะถูกลงมาก
นางคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ นางซื้อเมล็ดถั่วมาสิบจิน[1] สามารถปลูกต้นอ่อนถั่วลันเตาออกมาได้ยี่สิบห้าจิน
ในฤดูหนาวที่ขาดแคลนผัก หากมีต้นอ่อนถั่วลันเตา สำหรับเหล่าคนที่ร่ำรวยผักชนิดนี้จะต้องเป็สิ่งสดใหม่
ครอบครัวที่ร่ำรวยก็เหมือนคนรวยในยุคปัจจุบัน ชื่นชอบความครื้นเครงและกินอาหารสดใหม่
เมื่อคิดดีแล้ว วันต่อมาซูฉีเฉียวก็คว้าเงินห้าร้อยไปซื้อเมล็ดถั่ว
ออกจากบ้านเพียงไม่นาน นางก็ได้พบกับหญิงคนหนึ่งที่กำลังไปเก็บหญ้าให้สัตว์
จากความทรงจำจึงทำให้ซูฉีเฉียวรู้ว่าหญิงที่อยู่เบื้องหน้าของนางคือสะใภ้สามของตระกูลหวัง ทั้งคู่ทักทายกัน สายตาของสะใภ้สามยังคงมองมายังร่างของนางไม่หยุด
ซูฉีเฉียวไม่ได้เห็นนางเป็คนนอก ก่อนจะยิ้มให้นางและเอ่ยปากถามว่านางมีเมล็ดถั่วขายหรือไม่
“เมล็ดถั่วหรือ มีสิ เ้าอยากจะทำบะหมี่ผัดถั่วกินหรือ” สะใภ้สามเอ่ยถามด้วยความฉงน
ซูฉีเฉียวส่ายหน้าและบอกว่าตนจะเอาไปทำอย่างอื่น จึงจำเป็จะต้องซื้อสักหน่อย ซื้อขายตามราคาในตลาด เมื่อสะใภ้สามได้ยินนางก็ดีใจเป็อย่างมาก
การที่จะต้องแบกเมล็ดถั่วไปขายนั้นจะต้องใช้เวลาเดินไปครึ่งค่อนวันและจำนวนคนซื้อก็มีไม่มาก ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ไม่ใช่ว่าจะขายได้ราคาดี ยามนี้มีซูฉีเฉียว้าซื้อถั่ว แน่นอนว่านางก็ต้องรีบตอบรับด้วยความดีใจว่าร้านของตนมีขาย
ก่อนที่จะคิดเงิน สะใภ้สามของตระกูลหวังคนนี้ปฏิเสธที่จะขายให้ถูกกว่าราคาตลาด
เมล็ดถั่วหนึ่งจินมีราคาเก้าเหวิน ซูฉีเฉียว้าซื้อถึงยี่สิบห้าจิน ครั้งนี้เป็เพียงการทดลองเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากประสบความสำเร็จ นางก็จะทำการซื้อเมล็ดถั่วจากทุกคนในหมู่บ้าน
การปลูกต้นอ่อนถั่วลันเตานั้นเป็เื่ง่าย เพียง้าแค่ถาดที่สามารถกรองน้ำได้ และใส่เมล็ดถั่วลงไป ้าวางกระดาษชุบน้ำเอาไว้ก็พอแล้ว
ในยุคปัจจุบัน ซูฉีเฉียวเคยปลูกต้นอ่อนถั่วลันเตาเอาไว้กินเอง ปลูกออกมาในระบบนิเวศน์ธรรมชาติ รสชาติดีและเพิ่มปริมาณได้ด้วย
บำรุงร่างกาย ช่วยเื่ระบบขับถ่าย ลดอาการท้องเสีย แก้อาการบวม แก้ปวดและช่วยเื่ระบบย่อยอาหาร ต้นอ่อนถั่วลันเตาสามารถรักษาอาการผิวคล้ำแดดได้ ทำให้ผิวสดชื่นและไม่มันเยิ้ม ต้นอ่อนถั่วลันเตามีสารอาหาร เช่น แคโรทีน กรดแอสคอร์บิก ไรโบฟลาวิน และสารอาหารอื่นๆ
และหากใช้ถั่วดำเพื่อนำมาปลูกเป็ต้นอ่อน ก็จะมีประสิทธิภาพที่ทรงพลังกับผู้เป็ชายอีกด้วย แน่นอนว่าถั่วดำมีราคาสูง ทำให้ตอนนี้นางเลือกที่จะนำเมล็ดถั่วธรรมดามาใช้ปลูกก่อน
ซูฉีเฉียวให้จางเฉาิสานถาดสำหรับเก็บถั่ว และซูฉีเฉียวก็จะนำมาใช้ปลูกต้นอ่อนถั่วด้วย
หากใช้กระดาษก็คงจะมีราคาแพงไป ถ้าเช่นนั้นก็ใช้ใบบัวพรมน้ำแทน
ต้านิวเห็นนางนำถั่วมาใส่เอาไว้ในถาดและพรมน้ำ เด็กๆ มีนิสัยชอบเล่นเป็ธรรมชาติอยู่แล้ว ทำให้นางยื่นศีรษะเพื่อเข้าไปดู
“ท่านแม่ ถั่วน่าสนุกจังเ้าค่ะ ต้านิวอยากเล่นด้วย”
เด็กน้อยคิดว่าสิ่งนี้คือของเล่น ซูฉีเฉียวจึงส่งไปให้นางหนึ่งถาด
เด็กสาวตัวน้อยหยิบถั่วขึ้นมาหนึ่งกำมือด้วยความสนุกสนานก่อนจะนำมันใส่เข้าไปในถาด แล้วกระจายมันออกอย่างระมัดระวังจนเต็มถาด นางเรียนรู้จากซูฉีเฉียวก่อนนำใบบัวขึ้นมาวางและพรมน้ำลงไป
หลังจากทำเสร็จหนึ่งถาดด้วยความตั้งใจ ต้านิวจึงเงยหน้ามองนางด้วยความกระตือรือร้น “ท่านแม่ ต้านิวก็มีสิ่งที่ทำเพื่อท่านแม่ได้นะเ้าคะ หลังจากนี้ต้านิวจะหาเงินมาซื้อน้ำตาลให้ท่านและตัดชุดใหม่ให้ท่านแม่นะเ้าคะ”
จางเฉาิที่อยู่อีกฝั่งก็หัวเราะอย่างมีความสุข มือของเขาก็ยิ่งสานได้เร็วขึ้น
เขาสานไปสักพักหนึ่ง บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองซูฉีเฉียวที่กำลังขะมักเขม้น ใบหน้าของผู้เป็ภรรยาดูดีมากจริงๆ
มือคู่นั้นคล่องแคล่วมาก หลายวันมานี้ได้กินอาหารดีๆ ใบหน้าที่ซีดเซียวก็ดูแข็งแรงและมีเืฝาดขึ้นมาก ทำให้นางดูดีมากเป็พิเศษ เห็นได้ชัดว่าภรรยาของเขางดงามและยิ่งน่าประทับใจมากขึ้น
—-------------------------------------------------------------
[1] จิน หมายถึง มาตราชั่งน้ำหนักของจีน 1 จิน = ครึ่งกิโลกรัมหรือ 500 กรัม