“บุตรชายคนโตบ้านเ้าเป็แฝดกับฝูคัง และเขาก็หมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว ฝูคังก็น่าจะหมั้นหมายได้แล้ว” ตาเฒ่าจางให้ความสนิทสนมจนเรียกแค่ชื่อว่า ฝูคัง ไปเรียบร้อยแล้ว
หลี่ซานเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นั่นก็จริงอยู่ แต่ว่า… เื่แต่งงานของฝูคังนั้นใช่ว่าข้าจะตัดสินใจแต่ผู้เดียวได้ ข้าต้องหารือกับภรรยาก่อน”
ตาเฒ่าจางตบไหล่หลี่ซานเบาๆ ด้วยท่าทีที่ผู้าุโปฏิบัติต่อผู้อ่อนวัยกว่า “ข้าจะกลับไปรอฟังคำตอบของเ้าที่เรือน จะตกลงหรือไม่ก็ต้องให้คำตอบด้วยเล่า”
หลี่ซานตอบว่า “ขอรับ”
หลังจากคนบ้านจางกลับไปแล้ว หลี่ซานก็รีบเรียกจ้าวซื่อเข้าไปบอกเื่นี้ภายในห้อง
จ้าวซื่อเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “บ้านเราฐานะดีขึ้น แม่นางน้อยๆ ในตำบลล้วนอยากแต่งเข้าบ้านเรากันทั้งนั้น”
โบราณว่าไว้ ไร้ต้นอู๋ถง[1]ดึงดูดหงส์เพลิง[2]ทองมาไม่ได้
ก่อนนี้ ตระกูลหลี่ยากจนจนมีเสียงตะเกียบเคาะถ้วยดังติงตัง[3] ซ้ำแล้วยังมีคนในครอบครัวจำนวนมาก จึงไม่เคยมีคนมาทาบทามเื่แต่งงานกับเด็กหนุ่มสกุลหลี่มาก่อน ยามนี้สกุลหลี่มั่งมีขึ้นมา กระทั่งแม่นางน้อยแห่งตำบลจินจีก็ยังอยากแต่งเข้าเรือน
หลี่ซานหัวเราะกล่าวว่า “เ้าว่าเื่แต่งงานนี้เป็อย่างไร”
จ้าวซื่อนั่งลงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “คนในสกุลจางมีไม่มาก มีเพียงท่านอาจาง พี่จางนิสัยดี หลิวซื่อ ดูไปแล้วก็เป็คนที่รู้จักใช้เงินใช้ทอง จางจินไห่กำลังเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาชิงซง นับว่ามีอนาคตยาวไกล คนเรือนนี้ไม่เลวเลย”
หลี่ซานเสริมว่า “คนบ้านจางจริงจังกับเื่แต่งงานครานี้อย่างยิ่ง”
“ใช่ ข้ารู้แล้ว” จ้าวซื่อแย้มยิ้มเฉกเช่นผู้มีชัย ที่สุดก็เอ่ยเข้าประเด็นหลักทันที “ข้าเห็นว่าจางอิ๋นฟางสดใสอารมณ์ดี เป็คนที่คบหาได้ง่าย”
หลี่ซานอดถามไม่ได้ว่า “เ้าเห็นด้วยแล้วรึ”
จ้าวซื่อเอ่ยเบาๆ ว่า “ยังต้องสอบถามดูอีกสักหน่อยเป็ดี”
“พวกเราจะไปสอบถามเื่สกุลจาง ทำเช่นนี้เหมาะควรหรือ”
“จะไม่เหมาะอย่างไรกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบ้านสกุลจางจะไม่เคยสอบถามเื่บ้านเรา”
“แล้วจะให้ผู้ใดไปสืบ?”
จ้าวซื่อพูดเบาๆ ว่า “ข้าจะไปบอกพี่เฟิงสักคำ ให้พี่หวังหาคนสืบดู”
หวังไห่มีสหายหลายคนอยู่ที่ตำบลจินจี จึงไปสืบข่าวได้สะดวกนัก
“อย่างนั้นก็ให้รีบหน่อย เพราะข้าบอกกับท่านอาจางไปแล้วว่า จะให้คำตอบเขาโดยไว”
“ข้ารู้แล้ว พวกเรากินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็ไปไหว้ปีใหม่พี่เฟิงจะได้ถามเื่นี้ไปพร้อมกัน”
ตอนอาหารเที่ยง ด้วยความดีใจหลี่ซานจึงดื่มสุราไปอีกสองจอก หลังจากกินอาหารเสร็จก็ตบไหล่หลี่ฝูคัง พลางทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ
หลี่ฝูคังเป็คนซื่อๆ จึงไม่ได้คิดสิ่งใดมากมาย
หลี่อิงฮว๋ากระซิบเบาๆ กับหลี่หรูอี้ว่า เมื่อครู่ตอนกินข้าวท่านพ่อท่านแม่มองพี่รองตั้งหลายครั้ง”
“ท่านพ่อท่านแม่ก็มองพี่ด้วยนี่เ้าคะ”
“ไม่เหมือนกัน สายตาที่ท่านพ่อท่านแม่มองพี่รองนั้นมีนัยยะอยู่ภายใน”
หลี่หรูอี้เฝ้ามองด้วยความใคร่รู้ ว่าแล้วจึงเข้าไปถามจ้าวซื่อในห้องนอน “ท่านแม่เ้าคะ พี่รองมีเื่อันใดหรือ ตอนกินข้าวเที่ยงท่านแม่กับท่านพ่อจึงได้เอาแต่จ้องมองเขา?”
“เื่มงคลของพี่รองของเ้ากำลังจะมาถึงแล้ว” จ้าวซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ “เ้าจางคนขายเนื้อที่ตำบลจินจีอยากยกลูกสาวให้พี่รองของเ้า”
เมื่อนั้นหลี่หรูอี้จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง “อ้อ... มิน่าเล่าข้าว่าแล้วเหตุใดท่านปู่จางจึงได้มาที่เรือนเราด้วยตนเอง ซ้ำแล้วภรรยาของท่านลุงจางก็มาด้วย ที่แท้มาเพราะเื่ของพี่รองนี่เอง”
จ้าวซื่อรู้ว่าบุตรีสุดที่รักฉลาดมีความคิดดี จึงถามไปว่า “เ้าว่าเื่แต่งงานครานี้เป็อย่างไร”
“ข้าไม่มีความเห็น ท่านแม่กับท่านพ่อต่างก็เห็นด้วยแล้วหรือเ้าคะ”
“จวนแล้ว รอแค่ไปสืบเื่ของสกุลจางมาก็จะตัดสินใจได้แล้ว”
หลี่หรูอี้เอ่ยเตือนว่า “ไม่รู้ว่าพี่รองจะเต็มใจหรือไม่นะเ้าคะ”
“พี่รองเ้าได้แต่งกับสตรีในตำบลจินจี ยังจะมีสิ่งใดให้ไม่เต็มใจอีก”
“ก็จริงอยู่เ้าค่ะ แต่… ข้าก็คิดว่า ท่านแม่ก็น่าจะถามพี่รองดูสักหน่อยนะเ้าคะ” หลี่หรูอี้หยุดไปครู่หนึ่ง “แต่แรกที่ท่านแม่กับท่านพ่อหมั้นหมายให้พี่ใหญ่ ก็ยังสอบถามพี่ใหญ่ก่อนนี่เ้าค่ะ”
จ้าวซื่อคิดอยู่สักพัก หากบุตรชายคนรองไม่เห็นด้วย แต่สกุลหลี่ยังส่งคนไปสืบถามเื่สกุลจาง ก็จะไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงของเด็กสาวสกุลจาง จึงให้บุตรีสุดที่รักไปเรียกบุตรชายคนรองเข้ามา
“แขกที่มาในวันนี้ เ้าว่าน้องสาวของจางจินไห่เป็อย่างไร”
หลี่ฝูคังลูบหัว เอ่ยตรงๆ ว่า “ลูกไม่ได้สังเกตนางขอรับ”
จ้าวซื่อแอบคิดในใจว่า บุตรชายคนรองเป็คนซื่อนัก จึงถามว่า “นางมาเรือนเราสองหนแล้ว เ้าก็ไม่ได้สังเกตนางเลยรึ”
หลี่ฝูคังส่ายหน้า “ไม่ขอรับ”
หลี่หรูอี้กลั้นหัวเราะ ถามว่า “ให้จางอิ๋นฟางเป็พี่สะใภ้รองของข้าได้หรือไม่”
“หา...!? เื่นี้ ข้ากับนาง เื่นั้น…” สองข้างแก้มของหลี่ฝูคังแดงก่ำขึ้นมาทันใด ไม่กล้าสบตามารดากับน้องสาวอีก
หลี่หรูอี้เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่รอง พี่อย่าเอาแต่พูดเื่นี้เื่นั้นอยู่สิ ถ้าตกลงพี่ก็พยักหน้า”
จ้าวซื่อยิ้มน้อยๆ “นั่นสิ เ้าอย่ามัวให้พวกเราเดาสิ”
ภาพของเด็กสาวนางหนึ่งแล่นเข้ามาในสมองของหลี่ฝูคัง เขาก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาเป็ที่สุดว่า “ข้าเป็คนสดใสร่าเริงและนางก็เป็เช่นนั้นด้วย ไม่เหมาะสมกันขอรับ”
หลี่หรูอี้จึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ ดูสิเ้าคะ พี่รองไม่เห็นด้วยเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อหุบยิ้มโดยพลันเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “นางเป็เด็กสาวที่ตำบลจินจี มีความคิดอ่านกว้างไกลกว่าเด็กสาวในหมู่บ้านเรามากนัก พี่ชายของนางก็กำลังเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาด้วย”
หลี่ฝูคังนิ่งเงียบ
หลี่หรูอี้ถามว่า “พี่รองมีใครอยู่ในใจแล้วหรือไม่เ้าคะ”
จ้าวซื่อใจหายวาบ ถามว่า “เ้าหมายตาใครในหมู่บ้านไว้หรือ”
ตอนนี้สกุลหลี่เป็ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านหลี่แล้ว เด็กหนุ่มสกุลหลี่จึงเนื้อหอมขึ้นมาทันใด เด็กสาวในหมู่บ้านล้วนอยากแต่งเข้ากันทั้งนั้น
จ้าวซื่อจึงเป็ห่วงว่า หลี่ฝูคังเป็คนซื่อจะถูกสตรีหลอกเอา
“ไม่มีขอรับ” หลี่ฝูคังแอบคิดในใจว่า คนที่ข้าชอบก็อยู่ในตำบล เพียงแต่เขาไม่มีแม้ตำแหน่งขุนนางใด ไม่คู่ควรกับนาง
หลี่หรูอี้จึงพูดขึ้นว่า “ท่านแม่เ้าคะ พี่รองยังไม่ได้คิดดูให้ดีเลย เอาเช่นนี้ ผ่านไปสักวันสองวันค่อยมาหารือกันใหม่ดีหรือไม่เ้าคะ”
จ้าวซื่อกลับไม่ได้ปิดบัง พูดตรงๆ ไปว่า “ทางสกุลจางกำลังรอคำตอบ ท่านพ่อเ้าก็อยากจัดการเื่นี้ให้เรียบร้อยโดยไว”
หลี่ฝูคังเงยหน้าขึ้นถามด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อว่า “ท่านแม่ขอรับ สกุลจางเอ่ยเื่หมั้นหมายกับบ้านเราแล้วหรือขอรับ”
จ้าวซื่อเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ใช่ ท่านปู่จางเอ่ยปากกับท่านพ่อเ้าเอง และสกุลจางมีความจริงใจอย่างยิ่ง”
หลี่หรูอี้เห็นว่าั์ตาของหลี่ฝูคังมีความกังวลปรากฏขึ้นมา กลัวว่าเขาจะตัดสินใจผิดพลาด จึงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “พี่รอง นี่เป็เื่ใหญ่ในชีวิตของพี่ พี่ต้องคิดให้ดีๆ นะเ้าคะ”
หลี่ฝูคังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังคงไม่อยากแต่งกับจางอิ๋นฟางไปตามน้ำ แต่ก็ไม่อาจประวิงเวลา เพราะทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้จางอิ๋นฟางเข้าใจผิด จึงก้มหน้าลงบอกว่า “ท่านแม่ขอรับ น้องสาว ข้ามีคนในใจแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้สอบจนได้ตำแหน่งขุนนาง จึงไม่คู่ควรกับนาง”
จ้าวซื่อกับหลี่หรูอี้หันมาสบตากัน นึกไม่ถึงว่าคนซื่อๆ อย่างหลี่ฝูคังจะมีคนในใจแล้ว
“พี่รองของข้า ท่านมีคนในใจแล้ว นางเป็ผู้ใดหรือเ้าคะ?”
“ลูกชายข้า เ้าหมายตาลูกสาวบ้านใด บอกให้แม่ฟังซิ”
หลี่ฝูคังก้มหน้า เอ่ยว่า “นางเป็บุตรีของท่านอาจารย์ขอรับ”
หลี่หรูอี้เอ่ยเบาๆ ว่า “ที่แท้เป็จางอวิ๋น”
จ้าวซื่อสังเกตบุตรชายรองด้วยสายตาสืบเสาะครึ่งเค่อ จึงเอ่ยว่า “เ้ากลับมีสายตาเฉียบคมยิ่งนัก”
จางอวิ๋นเป็บุตรีของซิ่วไฉ จึงสามารถแต่งกับบุตรชายของครอบครัวที่เป็ซิ่วไฉและจวี่เหรินได้ทั้งสิ้น
คนที่จ้าวซื่อเคยหมั้นหมายด้วยเมื่อครั้งเป็สาวก็คือ บุตรชายของจวี้เหริน หากมิใช่เพราะเกิดโรคระบาด ไฉนเลยนางจะมาแต่งกับเกษตรกรเช่นหลี่ซานได้
หลี่หรูอี้รู้สึกดีกับจางอวิ๋นไม่น้อยเลย หากได้เด็กสาวเช่นนี้มาเป็พี่สะใภ้รองต้องดีเป็ที่สุด จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถูกต้องเ้าค่ะ สายตาพี่รองของข้าต้องดีอยู่แล้ว”
หลี่ฝูคังอายจนหูแดงไปหมด พูดเบาๆ ว่า “นี่เป็เพียงความคิดของข้าฝ่ายเดียว”
จ้าวซื่อถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง หากในครอบครัวมีซิ่วไฉสักคน เื่แต่งงานของบุตรชายคนรองกับจางอวิ๋นก็คงง่ายขึ้น แต่ตอนนี้กลับยังไม่มี ทั้งลำดับชั้นสกุลก็ต่ำต้อยเกินไป สตรีมีแต่จะแต่งกับสกุลสูงชั้นกว่า หนำซ้ำจางซิ่วไฉสามีภรรยาก็มิได้ขาดแคลนเงินทอง แล้วจะยอมยกจางอวิ๋นให้แต่งกับสกุลที่ต่ำศักดิ์กว่าได้อย่างไร
หลี่หรูอี้เอ่ยขึ้นว่า “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็ดังนั้นนะเ้าคะ”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ต้นอู๋ถง คือ ต้นไม้มงคลของจีน ตำนานเล่าว่า หงส์เพลิงซึ่งเป็สัตว์ชั้นสูงจะเลือกเกาะบนต้นอู๋ถงเท่านั้น
[2] หงส์เพลิง คือ นกฟีนิกซ์ เป็สัญลักษณ์ของสตรีสูงศักดิ์
[3] เสียงตะเกียบเคาะถ้วยดังติงตัง หมายถึง ในถ้วยข้าวแทบไม่มีข้าวอยู่จนได้ยินแต่เสียงตะเกียบเคาะก้นถ้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้