ส่วนยอดของต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกในยามเช้า ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็น แต่บริเวณทางขึ้นไปยังนิกายหยุนไห่กลับเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากสัญจรไปมา ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังนิกายหยุนไห่ และมีผู้คนส่วนน้อยที่ลงมาจากูเาเพื่อจากไป
ในขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มและหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง เดินมาถึงบริเวณทางเข้าของนิกายหยุนไห่ พวกเขาเงยหน้ามองไปที่ประตูนิกาย ในดวงตาของพวกเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้มยินดีหากแต่ไร้ซึ่งความเคารพ
“ศิษย์น้อง ที่นี่แหละคือนิกายหยุนไห่ที่อ๋องต้วนเทียนหลางทำลายอย่างราบคาบภายใน 1 วัน ตอนนี้ชื่อเสียงของอ๋องเทียนหลางโด่งดังไปทั่วอาณาจักรเสวี่ยเยว่ นับจากนี้คงไม่มีใครกล้าดูเบาท่านอ๋องคนนี้อีกแล้ว อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่เทพลูกศรหลิ่วชั่งหลันได้ทราบข่าวนี้ เขาถึงกับกระอักเืออกมาและล้มป่วยลงทันที”
ชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหราพูดคุยเื่นี้กับหญิงงามที่อยู่ข้างๆ หลังจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน
“อีกอย่าง ั้แ่ไม่มีนิกายหยุนไห่ นิกายชิงอีของพวกเราก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยนิกายที่อยู่แถวนี้ก็ไม่มีใครกล้าต่อกรกับพวกเรา”
“อืม นอกจากนิกายใหญ่ๆ อย่างอดีตนิกายหยุนไห่แล้ว นิกายแถวนี้ล้วนไม่ใช่คู่มือของนิกายชิงอี”
หญิงสาวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ก็ด้อยลงทุกปีๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกท่านอ๋องเทียนหลางฆ่าล้างบางไปเกือบหมดหรอก และต่อให้ไม่มีเื่นี้เกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็วนิกายหยุนไห่ก็ต้องสูญสิ้นอยู่ดี ข้าว่าด้วยพร์ของศิษย์พี่ คงเทียบได้กับศิษย์หลักของนิกายหยุนไห่ กระทั่งศิษย์สายในก็ไม่มีค่าพอให้ศิษย์พี่ต้องลงมือ ตอนนี้ศิษย์พี่เพิ่งจะอายุแค่ 17 ปีเอง อนาคตของท่านจะต้องยาวไกลอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้อง เ้าเอาอัจฉริยะของนิกายเราไปเทียบกับนิกายหยุนไห่ได้อย่างไร?! นิกายหยุนไห่ก็แค่โชคดีที่มีเคล็ดวิชาดีๆ มากมาย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับสวะกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากวันนี้พวกเราได้รับเคล็ดวิชาดีๆ สักเล่มล่ะก็ พลังของพวกเราก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!!!”
เมื่อชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหราได้ยินสาวน้อยพูดชมตัวเอง เขาก็เผยรอยยิ้มอันไร้ยางอายออกมา
“อย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงเ็าดังขึ้น เมื่อพวกเขาทั้งสองคนหันกลับไปมองก็สังเกตเห็นเงาร่างของคนคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามา
แต่สายตาของพวกเขากลับจ้องเขม็งไปเงาร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์
งดงามเหลือเกิน
พวกเขาตกตะลึงจนยืนนิ่งอยู่กับที่ ความงามของนางทำให้โลกดูขาดสีสัน ประหนึ่งสีสันของโลกได้มารวมตัวอยู่ที่นาง เสื้อผ้าสีขาวที่สวมบนร่างยิ่งเสริมให้นางดูงดงามบริสุทธิ์ราวกับเทพธิดา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสั่นสะท้านก็คือใบหน้าที่สวยงามนั้น
ชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหราและสหายของเขาต่างพากันหัวใจเต้นรัว ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้เลย
ในโลกนี้ยังมีหญิงงามแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
หลินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกเมินจากคนกลุ่มนั้น
เป็อย่างที่นางพูด นางรู้จักหุบเขาเฮยเฟิงราวกับเป็สวนหลังบ้านของนาง ด้วยเหตุนี้จึงสามารถพาเขาออกมาจากหุบเขาเฮยเฟิงได้ และที่ทำให้หลินเฟิงใไปยิ่งกว่านั้นก็คือตลอดทางที่พวกเขาออกมา พวกเขาไม่ได้พบสัตว์อสูรปีศาจแม้แต่ตัวเดียว!
หลินเฟิงเริ่มคิดว่าหุบเขาเฮยเฟิงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ลือกันไว้ มันยังมีเส้นทางบางเส้นที่มีความปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ และน้อยคนนักที่จะรู้จักเส้นทางนี้
“แน่นอน นิกายหยุนไห่ก็แค่กลุ่มสวะมารวมตัวกันเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะถูกทำลายลงในวันเดียวได้อย่างไร?”
ศิษย์น้องที่สวมเสื้อผ้าหรูหราไม่แพ้ศิษย์พี่มีสีหน้าบูดบึ้งขึ้นมา เมื่อเห็นสหายและศิษย์คนอื่นๆ ต่างมองไปที่หญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย
ตลอดมานางมั่นใจในความงามของตัวเองมาก แต่ในตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าความมั่นใจของนางกำลังถูกทำลายลงอย่างช้าๆ
“ถ้านิกายหยุนไห่เป็แค่กลุ่มสวะมารวมตัวกัน แล้วทำไมศิษย์ของนิกายชิงอีถึงไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นในรัศมีร้อยเมตรของนิกายหยุนไห่ล่ะ? มิหนำซ้ำยังโค้งคำนับทุกครั้งที่เจอศิษย์จากนิกายหยุนไห่อีกด้วย?”
หลินเฟิงแสยะยิ้มอย่างเ็า นิกายชิงอีเป็เพียงนิกายขนาดเล็ก แต่ที่พวกเขากล้าวิพากษ์วิจารณ์นิกายหยุนไห่ ก็เพราะว่านิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมไปแล้วว่าเคยโค้งคำนับให้กับศิษย์ของนิกายหยุนไห่มาก่อน ช่างเป็พวกไร้ยางอายจริงๆ
“ที่นิกายหยุนไห่ยังคงเจริญรุ่งเรืองได้ ก็เป็เพราะมีเคล็ดวิชาจำนวนมากถึงได้ประคองตัวเองเป็นิกายใหญ่ไปวันๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนิกายชิงอีของพวกเราล้วนมีศักดิ์ศรี! พวกเราไม่เคยก้มหัวให้ศิษย์สวะจากนิกายหยุนไห่!!!”
ตอนนี้เองชายหนุ่มในชุดหรูหราและสหายของพวกเขาก็เหมือนได้สติขึ้นมา พวกเขาหันไปมองหลินเฟิงด้วยสายตาที่ไม่เป็มิตร
ชายที่สวมเสื้อผ้าเรียบๆ เหมือนยาจก กลับสามารถเดินเคียงคู่กับหญิงงามคนนี้ได้ มันทำให้พวกเขารู้สึกอิจฉา สาวงามแบบนี้ควรจะมาอยู่กับเขาต่างหากถึงจะถูก!!!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ชายคนนั้นก็หันมาจ้องหลินเฟิงเขม็ง พลางปลดปล่อยจิตสังหารออกมา
“หืม?”
หลินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจก็พลันเ็าขึ้นมา จู่ๆ ชายคนนี้ก็เปิดเผยเจตนาที่จะเอาชีวิตของเขาอย่างโจ่งแจ้ง ช่างไม่รู้จักที่ตาย!!!
ในโลกนี้ผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็เหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ไม่จำเป็ต้องมีความเมตตาใดๆ หากอยากฆ่า ก็ฆ่าเสีย!
“ตามที่เ้ากล่าวมา ศิษย์ของนิกายชิงอีแข็งแกร่งกว่าศิษย์ของนิกายหยุนไห่ ถูกต้องไหม?” หลินเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเ็า
“แน่นอน สวะจากนิกายหยุนไห่จะมาเทียบกับศิษย์นิกายชิงอีอย่างพวกข้าได้อย่างไร?”
คำพูดของชายหนุ่มเริ่มก้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆ เพราะอยากแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองต่อหน้าสาวงาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเคยท้าประลองกับศิษย์สายในของนิกายหยุนไห่และพ่ายแพ้มา ในเมื่อได้ยินว่าเ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ถ้าอย่างนั้นมาประลองกับข้าสักครั้งไหม!”
หลินเฟิงฉีกยิ้มออกมาด้วยท่าทางซื่อๆ ทำให้เขาดูไม่เป็พิษเป็ภัยนัก
“ฮ่าๆ ศิษย์สายในของนิกายหยุนไห่นับเป็อะไรได้?! อย่าเอาพวกมันมาเทียบกับข้า แต่ในเมื่อเ้าอยากจะลองประลองกับข้า งั้นข้าจะแสดงให้เ้าเห็นว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหน”
ชายหนุ่มในชุดหรูหราคิดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะเป็คนเอ่ยปากท้าประลองก่อน ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีขึ้นมา ไอ้หมอนี่ช่างรนหาที่ตายแท้ๆ
“ขยะอย่างเ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะปกป้องสาวงามแบบนี้ หากเ้าตายไปซะ ข้าก็จะปกป้องนางแทนเ้าเอง”
ชายหนุ่มคนนั้นแอบคิดในใจอย่างชั่วร้ายก่อนจะชักดาบออกมา แล้วฟันคลื่นดาบโจมตีที่ไปที่หลินเฟิงอย่างเชื่อมั่น
“ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2?! เหอะ ช่างเพ้อฝันจริงๆ ที่จะสังหารข้า”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาแล้ววาดมือไปในอากาศ ทันใดนั้นคลื่นดาบไร้ลักษณ์ก็ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลกดทับไปที่ร่างของชายอวดดีคนนั้น ฉับพลันสีหน้าของชายคนนั้นก็ขาวซีด
“การที่เ้าใช้ดาบ นับว่าเป็ความอัปยศของดาบแล้ว!!!”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ร่างของชายหนุ่มคนนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ และที่ลำคอของเขาก็ปรากฏรอยกรีดขึ้นมา สีหน้าของชายหนุ่มคนนี้ดูหวาดกลัวเป็อย่างมากขณะที่ล้มลงไปกองกับพื้น
สีหน้าของสหายก็พลันเปลี่ยนไป แค่กระบวนท่าเดียวกลับสามารถสังหารศิษย์พี่ของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
แข็งแกร่งยิ่งนัก ช่องว่างระหว่างพวกเขามันห่างกันเกินไป!!!
เมื่อหลินเฟิงปรายตามองมาที่พวกเขา ร่างของพวกเขาก็พลันสั่นเทาขึ้นมา ดวงตาเต็มไปความหวาดกลัว
“สังหารขยะอย่างพวกเ้าจำเป็ต้องใช้เคล็ดวิชาด้วยหรือ?”
มุมปากของหลินเฟิงแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น ในชั่วพริบตาจากคนที่ไม่มีพิษมีภัยก็กลายเป็ปีศาจร้ายในทันที
“บอกข้ามาว่า พวกเ้ามาที่นิกายหยุนไห่ทำไม?”
“นิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ดังนั้นพวกข้าจึงมาแสวงโชค เผื่อว่าจะได้รับเคล็ดวิชาดีๆ ติดไม้ติดมือกลับไป นอกจากนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกข้าเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ต่างก็มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์นี้เช่นกัน”
ศิษย์ชายของนิกายชิงอีคนหนึ่งละล่ำละลักตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“หลังจากที่คนพวกนั้นทำลายนิกายหยุนไห่ไปแล้ว พวกเขาไม่ได้กวาดทรัพยากรของนิกายหยุนไห่ไปหมดหรือ?” หลินเฟิงถาม
“หลังจากที่คนพวกนั้นทำลายนิกายหยุนไห่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็รั้งอยู่ที่นิกายหยุนไห่ 3 วัน เพื่อเก็บกวาดทรัพยากรทั้งหมด แต่ว่าบางทีอาจจะมีเคล็ดวิชาที่หลุดรอดไปจากสายตาของพวกเขาก็ได้ และ…” สีหน้าของชายหนุ่มคนนี้ดูอับอายมาก
“และอะไร?”
“และที่หุบเขาเฮยเฟิงของนิกายหยุนไห่ก็มีซากศพจำนวนนับไม่ถ้วน บนร่างของศพพวกนั้นมีของมีค่ามากมาย”
“บึ้ม!”
หลินเฟิงตัวสั่นั้แ่หัวจรดเท้า ศพ?! ไอ้พวกเดรัจฉานเหล่านี้ยังกล้าขึ้นมาปล้นของจากศพอีกหรือ?! กระทั่งพวกเขาตายไป พวกมันก็ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาจากไปอย่างสงบ!!!
ทันใดนั้นคลื่นดาบอันทรงพลังก็แพร่กระจายออกมาในอากาศ
เหล่าศิษย์จากนิกายชิงอีพากันถอยร่นอย่างรวดเร็ว สีหน้าของพวกเขาขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ คลื่นดาบที่ทรงพลังแบบนี้ ชายหนุ่มคนนี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
“ทำลายการบ่มเพาะของตัวเองและไสหัวไปซะ”
น้ำเสียงของหลินเฟิงเ็าเป็อย่างมาก เดิมทีหลินเฟิงคิดจะปล่อยคนพวกนี้จากไปดีๆ แต่หลังจากที่ได้ยินจุดมุ่งหมายของพวกเขาที่จะไปปล้นของจากศพ ก็ทำให้หลินเฟิงเปลี่ยนใจทันที
ศิษย์เ่าั้พากันตัวสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม
“ข้าให้เวลาเ้าเพียง 3 ลมหายใจ หากไม่ทำลาย ก็ตายซะ!!!”
คำว่า ‘ตาย’ ที่หลุดออกมาอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารอันน่าหวาดกลัว
“ถ้าข้าทำลายการบ่มเพาะตัวเอง มันก็เหมือนถูกเ้าฆ่าตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“งั้นก็ตายไปเลยดีไหม?”
คลื่นดาบที่รุนแรงพลันพุ่งออกไปกดทับร่างของพวกเขา แรงกดดันที่หนักหน่วงนี้พยายามบดขยี้ร่างของเขา
“ข้าจะทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง!!!” ศิษย์เ่าั้พูดเสียงลอดไรฟันออกมา ก่อนจะใช้ลมปราณของตัวเองทำลายการบ่มเพาะของพวกเขา ทันใดนั้นร่างของพวกเขาก็พลันทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
“เมิ่งฉิงไปกันเถอะ”
หลินเฟิงหันมาพูดกับหญิงสาวที่มาพร้อมกับเขา เมิ่งฉิง คือชื่อที่หลินเฟิงช่วยตั้งให้นาง เพราะว่านางบอกกับหลินเฟิงว่าไม่มีชื่อ
ชื่อนี้เป็ชื่อเดียวที่ปรากฏขึ้นมาในจิตใจของหลินเฟิง เพราะเมิ่งหมายถึงความฝัน และฉิงหมายถึงคนรัก แล้วไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ใฝ่ฝันว่าจะมีหญิงสาวที่งดงามเช่นนางมาเป็คนรัก ด้วยเหตุนี้เมิ่งฉิงจึงเหมาะสมกับนางแล้ว
แน่นอนว่าเมิ่งฉิงไม่รู้ความหมายของสองคำนี้ ความจริงแล้วไม่ว่าหลินเฟิงจะตั้งชื่อนางว่าอย่างไรนางก็ตกลงทั้งนั้น เพราะโลกภายนอกสำหรับนางล้วนเป็สิ่งแปลกใหม่ นางก็เหมือนผ้าขาวดีๆ นี่เอง
“ทำไมเ้าถึงไม่สังหารพวกเขา?”
จู่ๆ เมิ่งฉิงก็ถามเขาขึ้นมา ทำให้หลินเฟิงต้องชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองเมิ่งฉิงด้วยสายตาประหลาดใจ
“สายตาที่พวกเขาจ้องมองข้า มันทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยง” เมิ่งฉิงตอบตามความรู้สึก
“แต่ข้าไม่รู้สึกขยะแขยงเวลาที่เ้ามองข้า หลังจากนี้ข้าอนุญาตให้เ้ามองข้าได้”
เมิ่งฉิงครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตหลินเฟิงให้มองหน้านางได้ ซึ่งประโยคนี้ทำให้หลินเฟิงตกตะลึงขึ้นมา
บางทีเมิ่งฉิงอาจไม่รู้ตัวว่าหากนางพูดแบบนี้ออกมา มันอาจทำให้ชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยยืนโง่งมอยู่กับที่ ซึ่งหลินเฟิงก็ไม่มีข้อยกเว้น
ยามที่หลินเฟิงมองเมิ่งฉิง เขารู้สึกชื่นชมในความงาม ความไร้เดียงสา และความบริสุทธิ์ของนาง เมิ่งฉิงเป็เหมือนนางในภาพวาดที่ทำให้คนอื่นๆ ไม่กล้าคิดชั่วร้ายใดๆ กับนาง ด้วยเหตุนี้สายตาของเขาจึงไม่มีความคิดชั่วร้ายใดๆ เลย กลับกันมันยังเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชมจากใจจริง ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกอยากใกล้ชิดด้วย
